เมื่อจ้าวตุนตายในปีที่ 601 ก่อนคริสตกาล จ้าวคั่วที่เป็นน้องชาย (แต่คนละแม่) ก็ได้ขึ้นเป็นประมุขของสกุลจ้าวแทน โดยมีจ้าวทง (น้องชายของจ้าวคั่ว) เป็นผู้ช่วย ส่วนบรรดาศักดิ์และเขตกินเมืองของจ้าวตุนก็ตกทอดแก่จ้าวซั่วที่เป็นลูกชายของจ้าวตุน

จ้าวซั่วได้แต่งงานกับนางจวงจี ซึ่งเป็นลูกสาวของจิ้นเฉิงกง ดังนั้นเมื่อจิ้นเฉิงกงตายในปี 600 ก่อนคริสตกาล และจิ้นจิ่งกง (ซื่อจื่อจวู้) ขึ้นเป็นเจ้าแคว้นแทน จ้าวซั่วเลยมีศักดิ์เป็นน้องเขยของจิ้นจิ่งกงไปด้วย

ในยุคของจิ้นจิ่งกงนั้นมีการก่อตั้งกองทัพทั้งหกขึ้นมาในแคว้นจิ้น แล้วให้เหล่าเสนาบดีสกุลต่างๆเช่น สกุลจ้าว สกุลหาน สกุลจื่อ สกุลหลวน สกุลจงหาง เป็นต้น เป็นคนดูแลกองทัพแต่ละหน่วย เพื่อเพิ่มศักยภาพในการสู้รบสำหรับชิงอำนาจเหนือจงหยวนกับฉู่จวงอ๋องที่กำลังขยายอำนาจอย่างน่าสะพรึงอยู่ทางใต้ ด้วยเหตุนี้สกุลจ้าวจึงมีกองทัพส่วนตัวที่ขยายจำนวนและกำลังพลมากขึ้นไปด้วย

จ้าวคั่วกับจ้าวทงนั้น แม้สติปัญญาจะสู้จ้าวตุนไม่ได้ แต่ฐานอำนาจของสกุลจ้าวก็เข้มแข็งมากเพราะครองเมืองมายาวนานถึง 20 กว่าปี ซึ่งจิ้นจิ่งกงไม่พอใจสิ่งนี้มาก แต่เพราะพึ่งขึ้นเป็นเจ้าครองแคว้นจึงยังไม่สามารถทำลายสกุลจ้าวได้โดยสะดวก เขาจึงหันไปสนับสนุนสกุลซีและสกุลหลวนผู้ที่มีกองทัพส่วนตัวเช่นกัน ให้ขึ้นมาเป็นใหญ่เพื่อคานอำนาจของสกุลจ้าว โดยตั้งให้ซีเฉวี่ย ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองทัพทั้งหก

ซีเฉวี่ยนั้น เป็นขุนทหารที่รับราชการมาถึง 4 แผ่นดิน บิดาของซีเฉวี่ยคือ ซีรุ่ย ซึ่งเป็นคนสนิทของจิ้นฮุ่ยกง ภายหลังจิ้นฮุ่ยกงตาย ซีรุ่ยก็พยายามช่วยงานจิ้นไฮว๋กงต่อ แต่พอจิ้นไฮว๋กงถูกฆ่าตาย ซีรุ่ยก็แสร้งสวามิภักดิ์จิ้นเหวินกง ก่อนจะพยายามวางแผนกำจัดจิ้นเหวินกงเพื่อล้างแค้นให้จิ้นไฮว๋กง แต่แผนแตกเสียก่อนและซีรุ่ยก็ถูกประหารไป ซีเฉวี่ยถูกลดศักดิ์เป็นไพร่อยู่หลายปี

ต่อมาจิ้นเซียงกงเห็นว่าซีเฉวี่ยเป็นคนเก่งมีความสามารถเลยเรียกกลับมารับราชการใหม่ ซีเฉวี่ยก็เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานเรื่อยมา จนตกถึงยุคของจิ้นเฉิงกงอาวุโสของซีเฉวี่ยเลยเป็นรองแค่จ้าวตุน และพอจ้าวตุนตาย ซีเฉวี่ยก็ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่คุมกำลังทหาร พอซีเฉวี่ยป่วยตายในปี 598 ก่อนคริสตกาล จิ้นจิ่งกงก็ให้จงหางหลินฝู (หรือสวินหลิวฝู เพราะจงหางเป็นซื่อไม่ใช่แซ่) ขึ้นเป็นแม่ทัพแทน