แชร์ประสบการณ์ชีวิตของคนที่อยู่ในครอบครัวที่มีทรัพย์สิน 10 หลัก+

เนื่องจากมีคนหลังไมค์มามาก รบกวนเข้าไปอ่านกระทู้นี้ครับ https://pantip.com/topic/41087529

เราเป็นคนที่อ่าน pantip มาตั้งแต่มัธยมจนตอนนี้เรียนปริญญาโทที่อังกฤษเพิ่งมาสมัคร account เพื่อจะตั้งกระทู้เป็นวิทยาทานเนื่องจากพอมาเห็นวิถีชีวิตของ Western World แล้วอยากให้คนไทยสามารถเปิดมุมมองของชีวิตเพิ่มขึ้น เห็นส่วนมากมีแต่คนถามเรื่องชีวิตของคนระดับนี้ กับวิถีชีวิตที่หลายๆคนมาแชร์ข้อมูลกัน อ่านดูก็จริงบ้าง มโนบ้าง เลยอยากถือโอกาสละเวลามาให้ข้อมูลกับทุกคนใน  pantip เพื่อให้เป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนพยายามสู้กับชีวิตกันต่อไปในแบบของตัวเอง

พื้นฐานชีวิตในวัยเด็กจนถึงมหาลัย 

ทางเราถือว่าต้นทุนชีวิตดีกว่าทุกท่านมากๆ เกิดในครอบครัวที่เรียกว่ามีฐานะ ตอนเด็กๆมีพี่เลี้ยง คนขับรถ กับแม่ครัว คอยดูแล ข้อดีของจุดตรงนี้คือเราไม่ต้องดิ้นรนเหมือนคนอื่น ในการหาเลี้ยงชีพ แบบอารมณ์แบบไม่ต้องมาเครียดเรื่องอื่น สามารถเข้ามา Focus กับการเรียน และสิ่งที่เราอยากทำได้เลย ต้องบอกเลยว่าเราโชคดีกว่าคนอื่นที่มีเงินระดับ นี้ตรงที่ ครอบครัว เรา support ในทุกเรื่องที่อยากทำ อยากเรียนพิเศษอะไรก็ได้เรียน เราลองเรียนทุกอย่าง เปียโน เทนนิส กอล์ฟ ว่ายน้ำ ตีแบต คอมสามมิติ ศิลปะ แบบหลายอย่างคือจ้างครูด้านนั้นๆมาสอนที่บ้านได้เลย จนสุดท้ายเรารู้ว่าตัวเราเองชอบหรือไม่ถนัดอะไร แต่เนื่องจากงานที่บ้านเราทุกคนต้องช่วยกันทำงานทำให้เวลาที่เราไปใช้กับครอบครัวคือพ่อแม่ คือจะไม่ได้เยอะเหมือนคนอื่น แต่ที่โชคดีคือครอบครัวเรายังมีการแบ่งเวลาที่ว่างพาเราออกไปเที่ยวบ้าง แต่เราก็ไม่เคยเสียดายเพราะเราถือว่าเราต้นทุนดีกว่าคนอื่นเลย อยากใช้โอกาสให้มากที่สุด
ปู่เราบอกเราตลอดว่าเค้าเคยได้ที่หนึ่งของโรงเรียนตอนเด็กๆแต่ต้องลาออกต่อเพราะตอนนั้นไม่มีเงินแล้วต้องออกมาทำงานเลี้ยงน้อง คำพูดนี้ทำให้เราผลักดันตัวเองตลอดเพราะเรารู้สึกว่าโชคดีมากที่ทางครอบครัวเราสร้างตัวจนทำให้เรามีโอกาสมากกว่าคนอื่น 

ข้อคิดจากชีวิตวัยนี้: 

ลูกคนมีเงินหลายคนจะพลาดโอกาสในช่วงเวลานี้ไปมากๆ เพราะส่วนมาเอาเงินไปเที่ยวเล่นกันมากกว่า จะเอามาพัฒนาตนเองซึ่งเรามองว่ามันไม่ผิดที่เค้าทำอย่างนั้นแต่แค่รู้สึกเสียดายโอกาสมากกว่า น่าจะให้โอกาสนี้กับคนอื่นที่มีความพยายาม ( เราเจอเพื่อนหลายคนมากที่พยายามมากๆแต่ไม่ได้มีโอกาสเพราะเรื่องฐานะ) ทำให้เราค่อนข้างที่จะ negative กับลูกคนรวยที่มี negative mindset กับ lifestyle มากๆ คือเราเลือกที่จะไม่คบคนเหล่านั้นเพราะรู้สึกเสียเวลาชีวิตเพราะคนเหล่านี้มักจะซื้อรถ ซื้อกระเป๋า มาอวดกันมากกว่า 

วัยมหาลัย ( ปริญญาตรี) 

ตอนยื่นเข้ามหาลัยเราเลือกอยู่หลากหลายคณะมากๆ แต่สุดท้ายก็จบลงที่เลือกสายการเงิน เพราะ เราชอบตัวเลขมาตั้งแต่เด็กกับตอนนั้นคิดว่าน่าจะมาต่อยอดธุรกิจที่บ้านได้ เข้ามาเหมือนเปิดโลกเพราะคณะที่เราเรียนมีแต่เพื่อนๆที่อยากทำงานในสายธุรกิจแล้วทุกคนมี passion กับสิ่งที่ตัวเองอยากทำกันมากๆ เป็น positive environment ที่คอยทำให้เราพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา สามารถพัฒนาตนเองตลอด เราเข้าร่วมชมรม กิจกรรม มหาลัยหลายอย่างมากๆ รู้สึกว่ามันพัฒนาตัวเอง เราก็ไม่ทิ้งการเรียนแบบเหมือนอยากจะทำทุกอย่างๆให้ดีพร้อมๆกัน 

ช่วง ตกต่ำกับการกลับมา reflect ชีวิตตัวเองใหม่ 

ช่วงประมาณก่อนเรียนจบ เรามีโอกาสไปแข่งขันในหลายการแข่งขันมากแต่เนื่องจากเราใช้ร่างกายหนักมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้เกิดการ burnout แบบ มีช่วงที่เหนื่อยจนอยากพักแล้วอยู่เฉยๆ ประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมเราก็ลดลง จนเราเรื่มสงสัยใน ความสามารถของตัวเอง จุดตรงนี้ทำให้เราแบบรู้สึก fail มากๆ แต่โชคดีที่มีเพื่อน กับ ครอบครัวที่ดึงเรากลับมา ทำให้เราสามารถกลับมาเป็นปกติได้ 

ข้อคิดจากชีวิตวัยนี้: 

ลูกคนรวยหลายคนถ้าไม่ตั้งใจที่จะเข้ามาเรียนจะไม่ได้เพื่อนในคณะที่มีคุณภาพ ทำให้การพัฒนาตนเองอาจจะไม่ได้ดีเท่ากับโอกาสที่ได้รับ อีกเรื่องคือเรารู้ว่า work life balance มีความสำคัญมากขนาดไหนในการใช้ชิวต ซึ่งจะส่งผลต่อการเลือกงานแรกของเราด้วย 

งานแรกหลังเรียนจบ ( First Jobber) 

บทเรียนเรื่อง work life balance ทำให้เราไม่เลือกงานสาย IB (Investment Banking) กับ Consulting เลยเนื่องจากเรามองว่าเราไม่อยากเสียสุขภาพไปกับงาน แม้ว่างานจะจ่ายเงินเดือน 50,000-100,000 ต่อเดือนสำหรับเด็กจบใหม่ก็ตาม ( รุ่นนึงรับไม่เกิน 5-10 คน) เราเลือกมาทำงานสายการเงินเป็น Buy side analyst ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลย เพราะเจอหัวหน้างานที่ดีมากๆ แล้วในช่วง 2 ปี เรามีโอกาสเรียนรู้หลายอย่างมากๆจากตลาดหุ้น โดยเฉพาะช่วงโควิดเป็น big learning curve มากๆ แต่พอเราทำงานไปแล้วสองปีเนื่องจากเรามีแผนจะกลับไปช่วยธุรกิจที่บ้านเลยตัดสินใจลาออกมาเรียนต่อที่อังกฤษ 

ข้อคิดจากชีวิตวัยนี้: 

เรามีโอกาสมากกว่าคนอื่นตรงที่เรามีทางบ้านคอยดูแลเรื่องค่ากินอยู่ทำให้ งานแรกเราสามารถเลือกทำงานโดยไม่ต้องสนเงินเดือน เน้นประสบการณ์กับความรู้เป็นหลัก โดยงานแรกเราถึงเงินจะน้อยเทียบกับ Consulting กับ IB แต่เป็นการพัฒนาสกิลที่ดีมากๆ อีกเรื่องนึงคือการเลือกหัวหน้างานสำหรับเด็กจบใหม่เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เพราะถ้าได้ทีมกับหัวหน้าที่ดีจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีมากๆ จุดนี้เราเห็นเพื่อนๆหลายคนที่มีฐานะยังเรียนไม่จบบ้างเพราะติดเล่นก็แบบแอบเสียดายโอกาสเหมือนกัน 

ปริญญาโท (Master's Degree) 

ตอนแรกเราลังเลมากว่าจะเลือก US School หรือ UK school เพราะมีแต่คนเชียร์ให้ไปเรียน US แต่สุดท้ายเราตัดสินใจเลือก Top U ของ UK แทนเพราะเราชอบความ international ของมหาลัยใน UK มากกว่า การมาเรียนที่อังกฤษเหมือนเป็นการเปิดโลกมาก เพราะเรามีโอกาสเจออาจารย์ระดับ world-class เพื่อนๆ active และมี growth mindset มากๆ ทุกคนแบบเหมือนมี passion กับ skills เป็น interactive class ที่ทำให้เราต้องคอยพัฒนาตัวเองตลอดเวลา 

ข้อคิดจากชีวิตวัยนี้: 

เราว่าการเลือกมหาลัยตอนเรียนต่อโทสำคัญมากเพราะมหาลัยเราดังเรื่อง Finance มากๆ ทำให้เจอเพื่อนที่อยู่ในสายเดียวกับ ทำให้ class discussion มันสนุก และ interactive 

ตั้งแต่อ่านมาถึงตรงนี้ทุกคนคงสงสัยว่าทำไมเราไม่พูดเรื่องการใช้ของหรู กินหรู หรือ ชีวิตหรูหราเลย คือเราก็ใช้ของพวกนี้นะ แบบเวลาเข้าร้านอาหารเราสั่งอาหารแบบไม่ดูราคาเลยคือเลือกที่อยากกิน และก็เสื้อผ้าเราแบบมีเยอะจนแบบเต็มตู้ไปหมด เวลาไปไหนก็สามารถเรียกคนขับรถไปส่งได้ ขนาดไปทำงานตอนเป็น first jobber เรายังให้คนขับรถเราไปรับส่งอยู่เลย 555 แต่เราไม่ได้แบบมองว่ามันเป็นสิ่งสำคัญของลูกคนมีฐานะเลย เราคิดว่าสิ่งสำคัญคือการ leverage resource ที่มีเพื่อพัฒนาตัวเองมากกว่า ถ้าคนที่มีฐานะกันจริงๆเค้าใช้กันจนชิน เน้นดูกันที่ mindset กับความสามารถมากกว่า 

สิ่งที่อยากทำในอนาคต

จริงเราก็ยังถือว่ายังเด็กอยู่แบบยังไม่ถึง 30 เลยยังมีอีกหลายอย่างให้ explore แต่สิ่งที่เราอยากทำมากจริงๆคือ กองทุนเพื่อสังคม โดยระดมทุนจากคนมีฐานะมาตั้งเงินกองทุนเพื่อบริหารเงินแล้วเอาผลกำไรมาพัฒนาคุณภาพชีวิตคนที่ขาดโอกาส เรารู้สึกว่า โอกาสทางการศึกษาสำคัญมากๆสำหรับคนไทย เราเสียดายโอกาสของคนที่มีความสามารถกับขยันแต่ไม่สามารถมีโอกาสได้เพราะขาดเงินทุน ( เราเห็นเพื่อนเราหลายคนใช้เงินกินเที่ยวไปวันๆแล้วรู้สึกว่าอยากให้เงินเหล่านั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์มากกว่านั้) 

กองทุนที่เราคาดหวังไว้จะสามารถอยู่ได้เรื่อยๆด้วยตัวเอง แบบสามารถเอาผลกำไรออกมาช่วยสังคมได้เรื่อยๆ แม้ว่าเราจะตายไปแล้วก็ตาม จริงๆ ต่างประเทศมีพวก Foundation แบบนี้เยอะมากแต่เราแค่แปลกใจที่ไทยมีกองทุนแบบนี้น้อยมากๆ ทั้งที่สามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้

สรุป 
ขอบคุณทุกคนที่อ่านกันมาถึงตรงนี้ ถ้ามีอะไรที่เราเขียนไปแล้วไม่ถูกใจก็ขออภัยด้วย เราอยากให้ทุกคนเห็นมุมมองใหม่ๆของลูกคนรวยเพราะส่วนมากภาพลักษณ์ของพวกเราจะดูไม่ค่อยดีเพราะ ภาพที่สังคมเห็น แต่คนที่มี passion กับ อยากทำสิ่งดีๆของพวกเรายังทีอยู่แค่ทุกคนอาจจะไม่เคยสัมผัส
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่