เช้าของวันที่จะไปดูร่างทรง เพื่อนสนิทคนหนึ่งก็คอลมาถามว่าจะไปดูจริงๆ มั้ย กระแสคนไม่ชอบแรงใช้ได้อยู่นะ โดยเฉพาะครึ่งหลัง จริงๆ ก็พอรู้แหละว่าเสียงแตก ชอบก็ชอบเลย ไม่ชอบก็ไม่ซื้อเลย แต่ผมก็ตอบเพื่อนกลับไปอย่างมั่นใจว่าดู จองตั๋วแล้ว และแรงดึงดูดบางอย่างจากเทรเลอร์ทำให้ค่อนข้างมั่นใจว่าหนังจะเอาผมอยู่ และไม่ทำให้ผิดหวัง ความเสียงแตกที่เกิดขึ้นก็เลยไม่ส่งผลอะไร
.
รอบที่ไปดูมาคือรอบจิตแข็งที่ทางค่ายหนังโปรโมทว่าน่ากลัวกว่ารอบปกติ ... ก็คือแพ้การตลาดน่ะแหละฮะ ตอนนั้นก็จินตนาการไปร้อยแปดว่าทีมงานจะทำอะไร จะมา jumpscare หลังดูจบมั้ยหรือจะปล่อยอะไรแปลกๆ เข้ามาในโรง ให้ตกใจเล่น แต่เปล่าครับ ก็แค่ทีมงานคอสเพลย์เป็นตัวละครมิ้ง มายืนนิ่งๆ ให้ถ่ายรูปเท่านั้นแหละ แต่คิดถูกจริงๆ ที่เลือกไปดูเรื่องนี้ เพราะได้ของพรีเมียมมาด้วย หนึ่งในนั้นก็คือยาดม ที่ได้ใช้งานจริงๆ เพราะหนังพาไปถึงจุดที่กดดัน จนต้องหาตัวช่วยเพิ่มความผ่อนคลายได้จริง
พอได้เข้าไปดูจริงๆ แล้ว สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าทำไมครึ่งหลังถึงกลายเป็นความป่วยของหนังเรื่องนี้ ทีมงานเลือกที่จะทำให้บทไปในเวย์วิบากและยากที่จะคุมให้อยู่ แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าลองนึกย้อนไปดีๆ ทุกพฤติกรรมของทุกๆ ตัวละคร มีการอธิบายใส่เหตุผลรองรับไว้แล้วเกือบหมดตลอดทั้งเลือก ผ่านไดอะล็อกที่หลายครั้งก็ดูไม่ใช่บทสนทนาสำคัญ แต่นั่นแหละ เขาบอกไว้แล้ว
และสำหรับผม ความเล่นใหญ่รัชดาลัยของฉากไคลแมกซ์ ไม่ได้ลดทอนความสุดยอดของเรื่องนี้ได้เลยครับ
.
ร่างทรง ไม่ได้ใช้ผีมาเป็นคีย์หลักที่ทำให้คนดูกลัว แต่สิ่งที่ทำงานได้เต็มข้อมากๆ คือการบิลท์บรรยากาศให้ไต่ระดับความกลัวได้ไปจนสุดปลายปรอท (ทะลุปรอทยังได้) แค่ color grading ก็อึมครึมพออยู่แล้ว ยิ่งพอเข้าช่วงที่มิ้งเริ่มแสดงอาการโดนผีเข้า บรรยากาศหลังจากนั้นทุกวินาทีไม่มีคำว่าปลอดภัยอีกต่อไป ไม่มีสักช็อตเดียวที่ไม่รู้สึกอันตราย มันกดดัน มันอึดอัด เครียดไปหมดว่าหนังจะโยนอะไรมาใส่ แล้วทุกดอกที่โยนมาล้วนได้ผล ส่งผลต่ออารมณ์เต็มที่มากๆ ขนาดที่ต้องใช้ยาดมที่ได้แจกมา แถมแทนที่ผมจะมั่นคง คอยปลอบแฟนที่เซนซิทีฟต่อหนังผีแบบสุดๆ ยังรู้สึกได้เลยว่ามือผมสั่นและมีเหงื่อออก ยังไงก็ตามผมโคตรคารวะการสร้างบรรยากาศของเรื่องนี้เลยครับ ไปสุดทางมากๆ ความสิ้นหวังที่เกิดขึ้นกับทุกตัวละคร มันทำให้เชื่อได้เหลือเกินว่าไม่น่าจะหาทางลงแบบแฮปปี้ได้ สำหรับตัวเองในวัยนี้ที่ดูหนังผีหลายเรื่องได้อย่างเฉยๆ เครดิตขึ้นก็จบกัน ร่างทรงสามารถทำให้เกิดอาการร้อนๆ หนาวๆ ต้องข่มตาและสั่งตัวเองไม่ให้ลืมตาถึงจะหลับได้จนถึงเช้า หนังสามารถเล่นงานผมได้ขนาดนั้น

ถ้าไม่ชมในการเขียนครั้งนี้ ผมคงต้องด่าตัวเอง ถ้าบรรยากาศคือหนึ่งในการไปสุดทางของร่างทรง อีกหนึ่งที่สุดจัดไปกว่านั้นคือการแสดงของคุณญดาที่เล่นเป็นมิ้ง และตัวละครหลักแวดล้อม (ไม่นับทีมสารคดี) อีกสามสี่คนที่เป็นคนในครอบครัวน่ะแหละ ทุกคนทำให้หนังไปสู่ another level การแสดงทรงพลังและดูจริงมากเหลือเกิน สีหน้าแววตา อากัปกริยามีความเป็นมนุษย์ที่ต้องต่อสู้และหวาดกลัวต่อสิ่งเหนือธรรมชาติที่ทรงพลังสุดๆ
.
ส่วนตัวละครที่ควรไปพักก็คือทีมสารคดีทุกคน เกือบทุกการกระทำดูหลุดตรรกะและร้อยทั้งร้อย ในชีวิตจริง เป็นคนจริงๆ ก็คงเลือกทำในสิ่งตรงกันข้ามกับตัวละคร แถมในแง่ของวิชาชีพ ตัวละครกลุ่มนี้ก็ดูจะไร้จริยธรรมไปแบบเกินเบอร์ (ไม่) พอสมควร ทำให้หงุดหงิดและอิหยังวะมากๆ กลายเป็นแผลเหวอะที่สุดของเรื่องนี้ที่ต่อให้มองส่วนดีที่เหลือมากมายยังไง ก็ต้องได้กลิ่นตุๆ และมองเห็นจากหางตาอยู่ดี
.
ผมชอบซีนท้ายสุดมากๆ เป็นซีนสั้นๆ ที่ให้คำว่า the best ได้อีกหนึ่งฉาก impact และจุกในอารมณ์มากๆ (ผมจะไม่บอกอะไรเกี่ยวกับฉากนี้มาก เป็นฉากที่อยากให้ประสบด้วยตัวเองจริงๆ)
ไม่ว่าร่างทรงจะเป็นหนังที่เสียงแตกแค่ไหน แต่กับผม ร่างทรงเป็นหนังผีที่ยอดเยี่ยม จุดชวนหงุดหงิดมี แต่จุดดีมากๆ มีมากกว่า รักในการเล่นกับศรัทธา ความเชื่อ และบริบทสังคมปัจจุบันที่มุมมองต่อเรื่องนี้เปลี่ยนไปมากพอสมควร เป็นการปะทะกันของความเชื่อดั้งเดิมและแนวคิดของคนจากทั้งสองยุคที่อยู่และผูกผันกับสิ่งๆ นี้มาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุและหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ ที่แนวคิดไม่เหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป
.
รักในความสิ้นหวังและบรรยากาศที่เล่นงานได้เห็นผลชะงัด ไม่สามารถข่มอาการหวาดกลัวได้เลยแม้แต่น้อย และทิ้งคำถามไว้ตัวโตๆ ที่จนป่านนี้ผมก็ยังคิดไม่ตกว่าถ้าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์บีบคั้น ยังจะศรัทธาเชื่อมั่นในอะไรก็ตามที่เคยเชื่ออย่างสุดหัวใจมาตลอดชีวิตได้อยู่อีกไหม
[เวิ่นเว้อ] ร่างทรง หนังผีที่ทำงานกับอารมณ์ได้ดีจริงๆ
.
รอบที่ไปดูมาคือรอบจิตแข็งที่ทางค่ายหนังโปรโมทว่าน่ากลัวกว่ารอบปกติ ... ก็คือแพ้การตลาดน่ะแหละฮะ ตอนนั้นก็จินตนาการไปร้อยแปดว่าทีมงานจะทำอะไร จะมา jumpscare หลังดูจบมั้ยหรือจะปล่อยอะไรแปลกๆ เข้ามาในโรง ให้ตกใจเล่น แต่เปล่าครับ ก็แค่ทีมงานคอสเพลย์เป็นตัวละครมิ้ง มายืนนิ่งๆ ให้ถ่ายรูปเท่านั้นแหละ แต่คิดถูกจริงๆ ที่เลือกไปดูเรื่องนี้ เพราะได้ของพรีเมียมมาด้วย หนึ่งในนั้นก็คือยาดม ที่ได้ใช้งานจริงๆ เพราะหนังพาไปถึงจุดที่กดดัน จนต้องหาตัวช่วยเพิ่มความผ่อนคลายได้จริง
พอได้เข้าไปดูจริงๆ แล้ว สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าทำไมครึ่งหลังถึงกลายเป็นความป่วยของหนังเรื่องนี้ ทีมงานเลือกที่จะทำให้บทไปในเวย์วิบากและยากที่จะคุมให้อยู่ แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าลองนึกย้อนไปดีๆ ทุกพฤติกรรมของทุกๆ ตัวละคร มีการอธิบายใส่เหตุผลรองรับไว้แล้วเกือบหมดตลอดทั้งเลือก ผ่านไดอะล็อกที่หลายครั้งก็ดูไม่ใช่บทสนทนาสำคัญ แต่นั่นแหละ เขาบอกไว้แล้ว
และสำหรับผม ความเล่นใหญ่รัชดาลัยของฉากไคลแมกซ์ ไม่ได้ลดทอนความสุดยอดของเรื่องนี้ได้เลยครับ
ร่างทรง ไม่ได้ใช้ผีมาเป็นคีย์หลักที่ทำให้คนดูกลัว แต่สิ่งที่ทำงานได้เต็มข้อมากๆ คือการบิลท์บรรยากาศให้ไต่ระดับความกลัวได้ไปจนสุดปลายปรอท (ทะลุปรอทยังได้) แค่ color grading ก็อึมครึมพออยู่แล้ว ยิ่งพอเข้าช่วงที่มิ้งเริ่มแสดงอาการโดนผีเข้า บรรยากาศหลังจากนั้นทุกวินาทีไม่มีคำว่าปลอดภัยอีกต่อไป ไม่มีสักช็อตเดียวที่ไม่รู้สึกอันตราย มันกดดัน มันอึดอัด เครียดไปหมดว่าหนังจะโยนอะไรมาใส่ แล้วทุกดอกที่โยนมาล้วนได้ผล ส่งผลต่ออารมณ์เต็มที่มากๆ ขนาดที่ต้องใช้ยาดมที่ได้แจกมา แถมแทนที่ผมจะมั่นคง คอยปลอบแฟนที่เซนซิทีฟต่อหนังผีแบบสุดๆ ยังรู้สึกได้เลยว่ามือผมสั่นและมีเหงื่อออก ยังไงก็ตามผมโคตรคารวะการสร้างบรรยากาศของเรื่องนี้เลยครับ ไปสุดทางมากๆ ความสิ้นหวังที่เกิดขึ้นกับทุกตัวละคร มันทำให้เชื่อได้เหลือเกินว่าไม่น่าจะหาทางลงแบบแฮปปี้ได้ สำหรับตัวเองในวัยนี้ที่ดูหนังผีหลายเรื่องได้อย่างเฉยๆ เครดิตขึ้นก็จบกัน ร่างทรงสามารถทำให้เกิดอาการร้อนๆ หนาวๆ ต้องข่มตาและสั่งตัวเองไม่ให้ลืมตาถึงจะหลับได้จนถึงเช้า หนังสามารถเล่นงานผมได้ขนาดนั้น
.
ส่วนตัวละครที่ควรไปพักก็คือทีมสารคดีทุกคน เกือบทุกการกระทำดูหลุดตรรกะและร้อยทั้งร้อย ในชีวิตจริง เป็นคนจริงๆ ก็คงเลือกทำในสิ่งตรงกันข้ามกับตัวละคร แถมในแง่ของวิชาชีพ ตัวละครกลุ่มนี้ก็ดูจะไร้จริยธรรมไปแบบเกินเบอร์ (ไม่) พอสมควร ทำให้หงุดหงิดและอิหยังวะมากๆ กลายเป็นแผลเหวอะที่สุดของเรื่องนี้ที่ต่อให้มองส่วนดีที่เหลือมากมายยังไง ก็ต้องได้กลิ่นตุๆ และมองเห็นจากหางตาอยู่ดี
ผมชอบซีนท้ายสุดมากๆ เป็นซีนสั้นๆ ที่ให้คำว่า the best ได้อีกหนึ่งฉาก impact และจุกในอารมณ์มากๆ (ผมจะไม่บอกอะไรเกี่ยวกับฉากนี้มาก เป็นฉากที่อยากให้ประสบด้วยตัวเองจริงๆ)
.
รักในความสิ้นหวังและบรรยากาศที่เล่นงานได้เห็นผลชะงัด ไม่สามารถข่มอาการหวาดกลัวได้เลยแม้แต่น้อย และทิ้งคำถามไว้ตัวโตๆ ที่จนป่านนี้ผมก็ยังคิดไม่ตกว่าถ้าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์บีบคั้น ยังจะศรัทธาเชื่อมั่นในอะไรก็ตามที่เคยเชื่ออย่างสุดหัวใจมาตลอดชีวิตได้อยู่อีกไหม