ปีหน้า คือปี 2565 รถ EV จะถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าลดลง ทำให้ราคาขายถูกลง
เพื่อเป็นการสนับสนุนให้คนไทยหันมาใช้ รถ EV เป็นสัดส่วน 30% ของรถในประเทศ ในปี 2568
โดยปัจจุบัน รถ EV จากจีน ได้สิทธิทางภาษีนำเข้า ดีที่สุด คือ ภาษี 0%
รองลงมาคือรถ EV จากญี่ปุ่น ที่เสียภาษี 20%
ต่อมาคือ EV จากเกาหลี เสียภาษี 40%
ส่วนรถ EV จากนุโรป เสียภาษีแพงสุด คือ 80% เท่ากับรถสันดานภายในจากยุโรป
และเป้าหมายในการจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ ให้เป็นรถ EV ทั้งหมด
ภายในปี 2573 หรืออีก 9 ปี นับจากนี้ (น่าจะเป็นแผนของเบนซ์ ตาม คลิปใหม่นี้)
เพิ่มเติมข้อมูลจากคลิปใหม่
สรุป แหล่งข่าวจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) เผยว่า
กระทรวงการคลัง เตรียมอนุมัติมาตรการทางภาษี เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่จะเริ่มใช้ในต้นปี 2022 นี้
ซึ่งจะทำให้ราคาขายรถยนต์ไฟฟ้าถูกลง เพื่อผลักดันให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ 30% ของจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในปี 2025
"โดยในระยะแรก จะใช้มาตรการส่งเสริมการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากต่างประเทศก่อน
เพื่อกระตุ้นการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น
ควบคู่กับการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะสถานีชาร์จ และคาดว่าเร็วๆนี้
คลังจะประกาศรายละเอียดของมาตรการส่งเสริมเป็นแพ็คเกจ ทั้งที่เป็นมาตรการภาษีและไม่ใช่มาตรการภาษี
เช่น การลดภาษีรถยนต์ประจำปี การลดราคาค่าทางด่วน หรือการสนับสนุนที่จอดรถยนต์สำหรับรถไฟฟ้าเป็นกรณีพิเศษ"
หากเรามาดูโครงสร้างภาษีในปัจจุบัน การนำเข้ารถยนต์ยนต์เครื่องสันดาปเข้ามาในไทย จะคำนวนจาก
อัตราอากรนำเข้า: 80% อัตราภาษีสรรพสามิตร: 30% อัตราภาษีเพื่อมหาดไทย: 10% อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม: 7% ของฐานราคาประเมิน
ซึ่งหากมีการปรับลดอัตราอาการนำเข้าซึ่งเป็นส่วนที่เสียมากที่สุด จะทำให้รถยนต์ EV เป็นรถที่มีอัตราภาษีต่ำที่สุดทันที
สำหรับอัตราภาษีสรรพสามิต ของรถไฟฟ้าแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.รถยนต์นั่งที่มีเครื่องยนต์ Hybrid ต่ำกว่า 3,000 cc. จะลดภาษีลงครึ่งหนึ่งจาก 8% เป็น 4% จนถึงปี 2025
และหากเครื่องยนต์มากกว่า 3,000 cc. จะเสียภาษี 16-26% ตามปริมาณการปล่อย CO2 แต่ระหว่างนี้จนถึงปี 2025
กรมสรรพาสามิตจะลดภาษีให้ครึ่งนึงเช่นกัน
2. รถ BEV หรือรถยนต์ไฟฟ้า 100% จะไม่เสียภาษีสรรถสามิตรเลย ในช่วงปี 2018-2022
และจะขยับเป็น 2% ในปี 2023-2025
เพราะการนำเข้ารถ EV จากต่างประเทศจะยังคงเสียภาษีอากรขาเข้าในอัตรา 80% ของราคาประเมินอยู่
ซึ่งยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาค่าภาษีทั้งหมด ยกเว้นรถยนต์นำเข้าจากประเทศจีน ที่ไม่มีภาษีอากรนำเข้าใดๆ
เนื่องจากมีข้อตกลงการค้าเสรี FTA อาเซียน-จีน แต่รถยนต์ EV ที่นำเข้าจากประเทศอื่นๆ ยังคงเสียภาษีส่วนนี้อยู่
จึงไม่สามารถทำราคาขายสู้รถจีนได้เลยแม้แต่น้อย
การมีรถไฟฟ้าตอนนี้ถือว่าสะดวกขึ้นเยอะ
เพราะมีสถานีชาร์จเยอะกว่าที่ใครหลายคนคิด รวมกันมีมากกว่า 800 สถานีแล้ว ทั้งภาครัฐและเอกชน
แต่ถ้าเทียบกับปั๊มน้ำมันถือว่ายังตามกันอีกห่างมาก เพราะปั๊มน้ำมันในไทยตอนนี้มีมากถึง 30,000 ปั๊ม
ไทยได้เฮ การคลังยืนยันเอง ปีหน้ารถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยถูกลงแน่ !!?
ปีหน้า คือปี 2565 รถ EV จะถูกจัดเก็บภาษีนำเข้าลดลง ทำให้ราคาขายถูกลง
เพื่อเป็นการสนับสนุนให้คนไทยหันมาใช้ รถ EV เป็นสัดส่วน 30% ของรถในประเทศ ในปี 2568
โดยปัจจุบัน รถ EV จากจีน ได้สิทธิทางภาษีนำเข้า ดีที่สุด คือ ภาษี 0%
รองลงมาคือรถ EV จากญี่ปุ่น ที่เสียภาษี 20%
ต่อมาคือ EV จากเกาหลี เสียภาษี 40%
ส่วนรถ EV จากนุโรป เสียภาษีแพงสุด คือ 80% เท่ากับรถสันดานภายในจากยุโรป
และเป้าหมายในการจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ ให้เป็นรถ EV ทั้งหมด
ภายในปี 2573 หรืออีก 9 ปี นับจากนี้ (น่าจะเป็นแผนของเบนซ์ ตาม คลิปใหม่นี้)
เพิ่มเติมข้อมูลจากคลิปใหม่
สรุป แหล่งข่าวจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) เผยว่า
กระทรวงการคลัง เตรียมอนุมัติมาตรการทางภาษี เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่จะเริ่มใช้ในต้นปี 2022 นี้
ซึ่งจะทำให้ราคาขายรถยนต์ไฟฟ้าถูกลง เพื่อผลักดันให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ 30% ของจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในปี 2025
อัตราอากรนำเข้า: 80% อัตราภาษีสรรพสามิตร: 30% อัตราภาษีเพื่อมหาดไทย: 10% อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม: 7% ของฐานราคาประเมิน
ซึ่งหากมีการปรับลดอัตราอาการนำเข้าซึ่งเป็นส่วนที่เสียมากที่สุด จะทำให้รถยนต์ EV เป็นรถที่มีอัตราภาษีต่ำที่สุดทันที
สำหรับอัตราภาษีสรรพสามิต ของรถไฟฟ้าแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.รถยนต์นั่งที่มีเครื่องยนต์ Hybrid ต่ำกว่า 3,000 cc. จะลดภาษีลงครึ่งหนึ่งจาก 8% เป็น 4% จนถึงปี 2025
และหากเครื่องยนต์มากกว่า 3,000 cc. จะเสียภาษี 16-26% ตามปริมาณการปล่อย CO2 แต่ระหว่างนี้จนถึงปี 2025
กรมสรรพาสามิตจะลดภาษีให้ครึ่งนึงเช่นกัน
2. รถ BEV หรือรถยนต์ไฟฟ้า 100% จะไม่เสียภาษีสรรถสามิตรเลย ในช่วงปี 2018-2022
และจะขยับเป็น 2% ในปี 2023-2025
เพราะการนำเข้ารถ EV จากต่างประเทศจะยังคงเสียภาษีอากรขาเข้าในอัตรา 80% ของราคาประเมินอยู่
ซึ่งยังถือว่าเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาค่าภาษีทั้งหมด ยกเว้นรถยนต์นำเข้าจากประเทศจีน ที่ไม่มีภาษีอากรนำเข้าใดๆ
เนื่องจากมีข้อตกลงการค้าเสรี FTA อาเซียน-จีน แต่รถยนต์ EV ที่นำเข้าจากประเทศอื่นๆ ยังคงเสียภาษีส่วนนี้อยู่
จึงไม่สามารถทำราคาขายสู้รถจีนได้เลยแม้แต่น้อย
การมีรถไฟฟ้าตอนนี้ถือว่าสะดวกขึ้นเยอะ
เพราะมีสถานีชาร์จเยอะกว่าที่ใครหลายคนคิด รวมกันมีมากกว่า 800 สถานีแล้ว ทั้งภาครัฐและเอกชน
แต่ถ้าเทียบกับปั๊มน้ำมันถือว่ายังตามกันอีกห่างมาก เพราะปั๊มน้ำมันในไทยตอนนี้มีมากถึง 30,000 ปั๊ม