เรื่องสั้น เรื่องนี้ เขียนจบแล้ว
แต่ที่แบ่ง เป็นสองบท เพราะอยากให้ นักอ่านร่วมสนุกด้วย
ว่าอะไร คืออะไร
บทเฉลย จะตามมาในวันสองวันนี้ครับ


เวลาดึก อรวียังนอนไม่หลับ เธอได้ยินเสียงกุกกักดังขึ้นมาจากชั้นล่างของบ้าน หญิงสาวนอนนิ่งเงียบในความมืดด้วยอาการหัวใจเต้นระทึก มือควานหามีดที่วางใว้ใต้หมอนทุกคืนแห่งการหลับใหล เพราะไม่เคยเชื่อใจใครทั้งนั้นนอกจากตัวเอง โลกเต็มไปด้วยอันตราย โดยเฉพาะในป่าคอนกรีตแห่งความรุ่งเรือง แต่เป็นความร่วงโรยน่ากลัวและมืดดำสำหรับใครหลายคน
เธอแน่ใจว่าก่อนเข้านอน ได้จัดการปิดประตูหน้าต่างสนิทแน่นทุกบาน เพราะปกรณ์ สามีของเธอไม่ได้กลับบ้านหลายวันแล้ว บางทีเขาอาจไม่กลับมาอีกแล้วก็ได้ เพราะความสัมพันธ์ของเธอและเขาห่างเหินเย็นชามากขึ้นตามวันเวลา ในขณะที่ความสัมพันธ์ของปกรณ์กับวีรยาผู้เปรียบเสมือนมือที่สาม กลับทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ นึกแล้วก็แค้นใจไม่หาย เธอไม่เคยคิดว่าสามีกับเพื่อนรักสมัยเรียนของเธอ จะแอบมีใจให้กัน ไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจมีกายให้แก่กันเรียบร้อยไปแล้วก็เป็นได้
หญิงสาวสลัดความคิดวุ่นวายออกจากหัวสมอง นอนเงี่ยหูฟังเสียงจากด้านล่าง ที่ฟังอย่างไรก็เหมือนเสียงคนกำลังเดินไปเดินมา รื้อค้นข้าวของอย่างแผ่วเบา
ขโมย...ไม่น่าใช่ ประตูหน้าต่างแข็งแรงมั่นคงเกินกว่าจะให้คนบุกรุกเข้ามาได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต
หรือจะเป็นปกรณ์แอบกลับมา คนมีลูกกุญแจเปิดประตูเข้าบ้านได้มีเพียงเธอและสามีเท่านั้น เขาอาจมารื้อค้นหาสิ่งของสำคัญบางอย่างก็เป็นได้ นึกแบบนี้ความกรุ่นโกรธค่อยปะทุเชื้อขึ้นทีละน้อย แต่ถ้าไม่ใช่ปกรณ์ล่ะ จะเป็นใคร
ขณะกำลังนอนนิ่งเดาเหตุการณ์ แว่วเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมายังชั้นบนแบบไม่เก็บเสียงการเดินเอาเสียเลย อรวีใจเต้นแรง มือกำด้ามมีดทำครัวเล่มยาวแน่น เวลาในการตัดสินใจไม่มากนัก จะทำอะไรก็ต้องรีบทำ นึกได้จึงลุกขึ้นยืนข้างเตียงอย่างแผ่วเบาเตรียมพร้อม หัวใจเต้นแรงเพราะความตื่นเต้นก้ำกึ่งหวาดกลัว อุ่นใจว่าประตูห้องนอนล็อกเรียบร้อย ใครบางคนด้านนอกจะต้องเปิดประตูเข้ามาไม่ได้ รออยู่เหตุการณ์ไปก่อน เหลือบ่ากว่าแรงค่อยโทรศัพท์แจ้งตำรวจ
แต่เวลานี้ ประตูที่คิดว่าปิดล็อกสนิทแน่นเปิดออกอย่างช้า ๆ แสงไฟจากเพดานระเบียงหน้าห้องส่องเข้ามาในห้องทีละน้อย เหมือนปีศาจค่อยเผยอเปลือกตาอย่างแช่มช้าและมุ่งร้าย หญิงสาวพยายามสะกดเสียงร้องไม่ให้ปะทุออกมา ร้องบอกตัวเองในใจว่าเราอยู่ในความมืด คนข้างนอกอยู่ในแสงสว่าง จะต้องใช้เวลาปรับตัวกับสักระยะหนึ่ง เธอจะอาศัยจุดนี้เป็นข้อได้เปรียบ
แต่ความคาดการณ์ของอรวีผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะหลอดไฟบนเพดานสว่างจ้าขึ้นมาชนิดไม่ทันตั้งตัว มือของผู้บุกรุกค้างคากดเปิดสวิตซ์ไฟข้างผนังอย่างคนคุ้นเคยสถานที่
พอมองเห็นภาพคนบุกรุกยามวิกาลและท่าทางมือซ้ายยังยกแตะอยู่กับสวิตซ์ไฟข้างผนัง อรวีก็ต้องยืนปากอ้าตาค้าง อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
วีรยา หน้าตาท่าทางแบบนี้จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากเพื่อนสนิทผู้กลับกลายเป็นมือที่สามบนเส้นทางรักของเธอนั่นเอง
วีรยา...มาหาเธอถึงในบ้านด้วยชุดนอนสีขาวแบบเดียวกับที่อรวีสวมใส่อยู่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
สายตาของวีรยาจ้องมองแน่นิ่งอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
“วี... เธอเข้ามาได้ยังไง” เจ้าของบ้านเป็นฝ่ายหลุดปากถามอย่างตื่นตระหนก มือกำด้ามมีดแน่น เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล และไม่สมเหตุไม่สมผล ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทกันแค่ไหนก็ไม่ควรบุกขึ้นมาบนบ้านคนอื่นแบบนี้ ผู้บุกรุกสาวยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนยกมือขวา ใช้นิ้วชี้เหวี่ยงหมุนพวงลูกกุญแจในมือเป็นวงกลม ก่อนปล่อยห้อยลงโชว์พวงลูกกุญแจคล้องนิ้วให้มองเห็นถนัดตา เดินตรงมาสองสามก้าวเพื่อการมองชัดเจนมากขึ้น
“ไม่น่าโง่เลย” วีรยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนสมเพทเวทนา มองอย่างเย้ยหยัน “ทำไมจะเข้ามาไม่ได้ ในเมื่อกรณ์เขาเป็นคนให้พวงลูกกุญแจกับฉันเอง นึกไม่ถึงสินะ”
“เธอต้องการอะไร...” อรวีถอยหลังสองก้าวอย่างระมัดระวัง อย่างน้อยอุ่นใจว่าไม่เห็นเพื่อนเก่ามีอาวุธอะไรติดมือมาด้วย ความคิดจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก
“ก็ไม่มีอะไร...” วีรยาพูดเสียงเอื่อยเฉื่อย “ก็แค่อยากมาถามว่า ทำไมต้องสั่งคนไปฆ่าฉันด้วย”
คำพูดตรงไปตรงมาของผู้บุกรุกทำให้อรวีสะดุ้ง ความลับรั่วไหลได้อย่างไรกัน ทั้งที่เรื่องนี้มีเพียงเธอกับนักฆ่าผู้ไม่เคยเห็นหน้า ติดต่อกันทางโทรศัพท์เท่านั้นที่รู้ ไหนร่ำลือว่าเป็นนักฆ่าฝีมือดี ทำงานไม่เคยผิดพลาด กับผู้หญิงคนเดียวยังจัดการไม่ได้ ยังดีว่าเพิ่งจ่ายค่าจ้างไปเพียงส่วนเดียว ทำงานพลาดเงินค่าจ้างที่เหลือก็อย่าหวัง
พอเริ่มตั้งตัวตั้งสติได้ อรวีเริ่มมีความมั่นใจกลับคืนมา นี่บ้านของเธอ อย่างไรก็ต้องได้เปรียบ เป็นฝ่ายถูกกระทำ ส่วนวีรยาไม่ต่างจากผู้บุกรุกยามวิกาลเท่านั้น
“ฉันรู้นะว่าเธอกับกรณ์แอบคบกันอยู่” เจ้าของบ้านเอ่ยอย่างเคียดแค้น เป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาพร้อมมีดในมือ “เสียดายที่เป็นเพื่อนกันมานานตั้งแต่เด็ก ไม่คิดเลยว่าเธอจะทรยศฉันได้”
“คิดไปเองทั้งนั้น” วีรยายืนประจันหน้าไม่ยอมถอยหนี ไม่มีทีท่าหวั่นเกรงแม้ว่าในมือปราศจากอาวุธ “ฉันกับกรณ์ไม่เคยคิดเกินเลยมากกว่าความเป็นเพื่อน เธอคิดเองเออเองจนเป็นโรคประสาท ขนาดสั่งคนมาฆ่าฉัน เธอมันใจร้ายมากไปแล้ว”
“อย่ามาโกหก ฉันมีหลักฐาน” อรวีระเบิดอารมณ์แผดเสียงเข้าใส่ พลางหันไปทางหัวเตียงซึ่งมีโต๊ะไม้ขนาดเล็กวางอยู่ด้านข้าง เธอเดินตรงไปดึงลิ้นชักโต๊ะหยิบภาพถ่ายออกมาสี่ห้าแผ่น คลี่ชูให้อีกฝ่ายดูเป็นหลักฐาน
“ดูให้ดีสิ นี่ไงหลักฐาน ว่าเธอไปมีอะไร ๆ กับกรณ์ที่ไหน ยังไง ฉันแอบให้คนสะกดรอยตามถ่ายภาพเป็นหลักฐานไว้หมดทุกที่...”
วีรยามองดูภาพถ่ายในมือของเจ้าของบ้านสาว แล้วพยักหน้าอย่างรับรู้ ไม่ได้มีสีหน้าท่าทางแปลกใจสักนิด กลับบอกว่า
“ใช่ เป็นหลักฐานจริง ๆ หลักฐานที่ว่าเธอฆ่าปกรณ์กับมือของเธอเอง ขนาดเก็บหลักฐานชั้นดีไว้ขนาดนี้ เธอใจกล้ามาก ฉันยอมรับนับถือเธอเลย ลองดูภาพถ่ายให้ดีสิ”
“พูดบ้าอะไรของเธอ...” อรวีพลิกภาพในมือกลับมาดูอย่างไม่เข้าใจ แล้วเธอก็สะดุ้งเฮือกทั้งร่างใจหายวาบ เมื่อมองเห็นภาพถ่ายในมือ
ไม่ใช่ ไม่ใช่ แบบนี้
แสงไฟบนเพดานส่องให้เห็นภาพของตัวเธอเอง กำลังใช้มีดจ้วงแทงลงไปยังร่างของปกรณ์ที่นอนอยู่บนเตียง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งกระหายเลือดอย่างชัดเจนที่สุด
เป็นไปไม่ได้!
อรวียืนตะลึง ไม่ยอมเชื่อสายตาตัวเองอย่างเด็ดขาด ไม่มีเหตุผลเลยสักนิดว่าเธอจะต้องฆ่าปกรณ์ ต่อให้อยากฆ่าเขามากเพียงใดก็ตามเสียงหัวเราะของวีรยาดังขึ้นอย่างชนิดที่ไม่เคยเห็นเธอหัวเราะน่ากลัวแบบนี้มาก่อน แต่พอหันไปมองอีกครั้ง วีรยาก็หายจากห้องไปเสียแล้ว มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
หญิงสาวยืนงุนงงสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสังเกตเห็นพวงลูกกุญแจวางทิ้งหน้าประตู เธอจึงคิดว่าวีรยาอาจรีบร้อนหลบหนีออกไปด้วยความรีบร้อน จนทำหล่นเอาไว้
ประตูห้องเปิดอ้าค้างคา เป็นหลักฐานว่าเธอไม่ได้ประสาทหลอนไป วีรยาเข้ามาในห้องของเธอจริง ๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอีกฝ่ายเข้ามาหาทำไมในยามวิกาล ดูมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
กล้าบุกเข้ามาในบ้านแบบนี้จะปล่อยเฉยไม่ได้ จะต้องจัดการเพื่อนตัวแสบ ความสงสัยลังเลเริ่มเปลี่ยนเป็นความกรุ่นโกรธชนิดไม่เคยเป็นมาก่อน หญิงสาวค่อยเดินออกจากห้องนอนอย่างระมัดระวัง มือขวากำด้ามมีดแน่น แสงไฟตามทางเดินและชั้นล่างเปิดสว่าง เสียงเหมือนวัตถุหนัก ๆ หล่นลงพื้น ยิ่งทำให้แน่ใจว่าวีรยายังไม่ได้ออกจากบ้านอย่างแน่นอน
พอย่องลงมาถึงห้องนั่งเล่น ใครบางคนกำลังนั่งหันหลังอยู่บนโซฟาตัวโปรด เห็นเฉพาะศีรษะโผล่พ้นเบาะพนักพิงขึ้นมา ทีวีข้างผนังเปิดทิ้งเอาไว้แต่มีเพียงข้อความสีขาวปรากฏบนจอภาพ ‘ไม่มีสัญญาณ’
นี่กล้าขนาดนั่งดูทีวีในบ้านคนอื่นแบบสบายใจเฉิบ มันจะมากเกินไปแล้ว ความโมโหทะลักล้นกับท่าทางไม่รู้สึกไม่รู้สมของเพื่อนรักหักเหลี่ยมใจ ก้าวตรงเข้าไปหาทันที แต่ต้องชะงัก
ร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาไม่ได้มีเส้นผมยาวประบ่า
ไม่ใช่วีรยา
ถ้าไม่ใช่เพื่อนตัวแสบ คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากปกรณ์ ถ้าวีรยาเข้าบ้านมาได้ ปกรณ์ก็ต้องเข้ามาได้ ทั้งสองต้องร่วมมือกันปั่นประสาทเธออย่างไม่ต้องสงสัย หญิงสาวก้าวเท้าเร็ว ๆ อ้อมไปดูด้านหน้า ดูให้ถนัดชัดตา
เป็นปกรณ์ สามีของเธอจริง ๆ
ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ใบหน้าขาวซีดจ้องมองไปข้างหน้า อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินแบบชุดทำงานตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือบริเวณหน้าอกด้านซ้ายมีมีดทำครัวเล่มหนึ่งปักลงไปครึ่งเล่ม เลือดไหลเป็นทางชุ่มโชก ท่าทางของชายหนุ่มเหมือนคนตายไปแล้วและถูกจับมานั่งบนโซฟา
อรวียืนตกตะลึง ความรู้สึกโกรธเกรี้ยวเปลี่ยนเป็นความตกใจและหวาดกลัว เรื่องบ้าอะไรกัน ใครเป็นคนฆ่าปกรณ์ ไม่ใช่เธออย่างแน่นอน ขณะกำลังยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ หันหน้าซีดขาวอย่างเชื่องช้า ใบหน้าไร้ความรู้สึกอย่างน่าขนลุก ขยับริมฝีปากส่งเสียงครั่นครืนในโสต
ประสาท
“อร...คุณฆ่าผมทำไม”
พูดจบร่างของปกรณ์ลุกขึ้นด้วยท่าทางแข็งทื่อเหมือนหุ่นชักใย มือทั้งสองข้างยกขึ้นชูยื่นตรงมา ก่อนจะถาโถมเข้าหาแบบไม่ให้ตั้งตัว
หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียง
“อร...คุณเป็นอะไรไป”
เสียงร้องของใครบางคนทะลุทลวงเสียงกรีดร้องของตัวเอง สลับการถูกมือใครบางคนเขย่าร่างไปมา หญิงสาวยังคงส่งเสียงร้องพลางสะบัดตัวไปมาแบบคนสติกระเจิดกระเจิงก่อนค่อย ๆ รับรู้ว่าตัวเองกำลังนั่งตัวสั่นงันงกอยู่บนเตียง โดยมีปกรณ์นั่งอยู่ข้าง ๆ และเขย่าบ่าของเธอแรง ๆ เป็นการเรียกสติให้กลับคืน
“ใจเย็น ๆ อร นี่ผมเอง คุณแค่ฝันร้ายไปเท่านั้น”
เสียงบอกย้ำให้หญิงสาวหลุดพ้นออกมาจากห้วงแห่งฝันร้ายน่าสะพรึง สติสัมปชัญญะค่อยเรียงตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นทีละน้อย ใช่แล้ว...เธอเพียงฝันร้าย แต่ภาพน่ากลัวของสามียังคงเด่นชัดในความรู้สึก แต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงความฝัน
อรวีมองไปรอบห้องเพื่อความแน่ใจ ประตูห้องนอนปิดสนิท แสงไฟบนเพดานสว่างจ้า คงเป็นปกรณ์ที่ลุกขึ้นไปเปิดไฟเพราะความตกใจเสียงร้องของภรรยา
“ฝัน....อรฝันน่ากลัว....” หญิงสาวหันมาจ้องหน้าสามีที่ยังคงเอามือกุมไหล่ของเธอด้วยสายตาห่วงใย อยากจะเล่าความฝันให้เขาฟัง แต่พูดอะไรไม่ออก ฝันเป็นตุเป็นตะ ขนาดว่าเห็นวีรยาเข้ามาในห้องนอน แถมยังเห็นปกรณ์ถูกแทงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นอย่างน่ากลัว ภาพที่ร่างของเขาลุกขึ้นถาโถมเข้ามาหายังคงเต็มความรู้สึก
“ไม่ต้องกลัวนะอร ผมอยู่ข้างคุณเสมอ” ปกรณ์รั้งศีรษะของภรรยามากอดอย่างปลอบใจ กระซิบข้างหู “ผมไม่ได้ถูกแทงตายซะหน่อย วีรยาก็ไม่ได้เข้ามาในบ้านของเรา”
อรวีสะดุ้งสุดตัว รีบผละห่างออกจากอ้อมแขนของสามีทันที เบิกตากว้างจ้องหน้าถามเสียงสั่นระรัวด้วยความรู้สึกไม่ชอบมาพากล
“กรณ์...คุณรู้ยังไงว่าอรฝันเรื่องอะไร อรยังไม่ได้เล่าให้คุณฟังเลยนะ”
“ทำไมผมจะไม่รู้” ปกรณ์ลุกขึ้นยืนช้า ๆ สีหน้าเปลี่ยนจากความมีชีวิตชีวากลายเป็นขาวซีดแบบซากศพจนน่ากลัวในฉับพลัน น้ำเสียงที่พูดออกมาฟังดูเย็นเยือกจับขั้วหัวใจ “ก็คุณเป็นคนแทงผมเองไม่ใช่เหรอ คุณก็รู้นี่....”
“ไม่...!!!”
.
หลอน ซ่อนหลอน..1/2
แต่ที่แบ่ง เป็นสองบท เพราะอยากให้ นักอ่านร่วมสนุกด้วย
ว่าอะไร คืออะไร
บทเฉลย จะตามมาในวันสองวันนี้ครับ
เวลาดึก อรวียังนอนไม่หลับ เธอได้ยินเสียงกุกกักดังขึ้นมาจากชั้นล่างของบ้าน หญิงสาวนอนนิ่งเงียบในความมืดด้วยอาการหัวใจเต้นระทึก มือควานหามีดที่วางใว้ใต้หมอนทุกคืนแห่งการหลับใหล เพราะไม่เคยเชื่อใจใครทั้งนั้นนอกจากตัวเอง โลกเต็มไปด้วยอันตราย โดยเฉพาะในป่าคอนกรีตแห่งความรุ่งเรือง แต่เป็นความร่วงโรยน่ากลัวและมืดดำสำหรับใครหลายคน
เธอแน่ใจว่าก่อนเข้านอน ได้จัดการปิดประตูหน้าต่างสนิทแน่นทุกบาน เพราะปกรณ์ สามีของเธอไม่ได้กลับบ้านหลายวันแล้ว บางทีเขาอาจไม่กลับมาอีกแล้วก็ได้ เพราะความสัมพันธ์ของเธอและเขาห่างเหินเย็นชามากขึ้นตามวันเวลา ในขณะที่ความสัมพันธ์ของปกรณ์กับวีรยาผู้เปรียบเสมือนมือที่สาม กลับทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ นึกแล้วก็แค้นใจไม่หาย เธอไม่เคยคิดว่าสามีกับเพื่อนรักสมัยเรียนของเธอ จะแอบมีใจให้กัน ไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจมีกายให้แก่กันเรียบร้อยไปแล้วก็เป็นได้
หญิงสาวสลัดความคิดวุ่นวายออกจากหัวสมอง นอนเงี่ยหูฟังเสียงจากด้านล่าง ที่ฟังอย่างไรก็เหมือนเสียงคนกำลังเดินไปเดินมา รื้อค้นข้าวของอย่างแผ่วเบา
ขโมย...ไม่น่าใช่ ประตูหน้าต่างแข็งแรงมั่นคงเกินกว่าจะให้คนบุกรุกเข้ามาได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต
หรือจะเป็นปกรณ์แอบกลับมา คนมีลูกกุญแจเปิดประตูเข้าบ้านได้มีเพียงเธอและสามีเท่านั้น เขาอาจมารื้อค้นหาสิ่งของสำคัญบางอย่างก็เป็นได้ นึกแบบนี้ความกรุ่นโกรธค่อยปะทุเชื้อขึ้นทีละน้อย แต่ถ้าไม่ใช่ปกรณ์ล่ะ จะเป็นใคร
ขณะกำลังนอนนิ่งเดาเหตุการณ์ แว่วเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมายังชั้นบนแบบไม่เก็บเสียงการเดินเอาเสียเลย อรวีใจเต้นแรง มือกำด้ามมีดทำครัวเล่มยาวแน่น เวลาในการตัดสินใจไม่มากนัก จะทำอะไรก็ต้องรีบทำ นึกได้จึงลุกขึ้นยืนข้างเตียงอย่างแผ่วเบาเตรียมพร้อม หัวใจเต้นแรงเพราะความตื่นเต้นก้ำกึ่งหวาดกลัว อุ่นใจว่าประตูห้องนอนล็อกเรียบร้อย ใครบางคนด้านนอกจะต้องเปิดประตูเข้ามาไม่ได้ รออยู่เหตุการณ์ไปก่อน เหลือบ่ากว่าแรงค่อยโทรศัพท์แจ้งตำรวจ
แต่เวลานี้ ประตูที่คิดว่าปิดล็อกสนิทแน่นเปิดออกอย่างช้า ๆ แสงไฟจากเพดานระเบียงหน้าห้องส่องเข้ามาในห้องทีละน้อย เหมือนปีศาจค่อยเผยอเปลือกตาอย่างแช่มช้าและมุ่งร้าย หญิงสาวพยายามสะกดเสียงร้องไม่ให้ปะทุออกมา ร้องบอกตัวเองในใจว่าเราอยู่ในความมืด คนข้างนอกอยู่ในแสงสว่าง จะต้องใช้เวลาปรับตัวกับสักระยะหนึ่ง เธอจะอาศัยจุดนี้เป็นข้อได้เปรียบ
แต่ความคาดการณ์ของอรวีผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะหลอดไฟบนเพดานสว่างจ้าขึ้นมาชนิดไม่ทันตั้งตัว มือของผู้บุกรุกค้างคากดเปิดสวิตซ์ไฟข้างผนังอย่างคนคุ้นเคยสถานที่
พอมองเห็นภาพคนบุกรุกยามวิกาลและท่าทางมือซ้ายยังยกแตะอยู่กับสวิตซ์ไฟข้างผนัง อรวีก็ต้องยืนปากอ้าตาค้าง อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
วีรยา หน้าตาท่าทางแบบนี้จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจากเพื่อนสนิทผู้กลับกลายเป็นมือที่สามบนเส้นทางรักของเธอนั่นเอง
วีรยา...มาหาเธอถึงในบ้านด้วยชุดนอนสีขาวแบบเดียวกับที่อรวีสวมใส่อยู่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
สายตาของวีรยาจ้องมองแน่นิ่งอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า
“วี... เธอเข้ามาได้ยังไง” เจ้าของบ้านเป็นฝ่ายหลุดปากถามอย่างตื่นตระหนก มือกำด้ามมีดแน่น เริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล และไม่สมเหตุไม่สมผล ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทกันแค่ไหนก็ไม่ควรบุกขึ้นมาบนบ้านคนอื่นแบบนี้ ผู้บุกรุกสาวยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนยกมือขวา ใช้นิ้วชี้เหวี่ยงหมุนพวงลูกกุญแจในมือเป็นวงกลม ก่อนปล่อยห้อยลงโชว์พวงลูกกุญแจคล้องนิ้วให้มองเห็นถนัดตา เดินตรงมาสองสามก้าวเพื่อการมองชัดเจนมากขึ้น
“ไม่น่าโง่เลย” วีรยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนสมเพทเวทนา มองอย่างเย้ยหยัน “ทำไมจะเข้ามาไม่ได้ ในเมื่อกรณ์เขาเป็นคนให้พวงลูกกุญแจกับฉันเอง นึกไม่ถึงสินะ”
“เธอต้องการอะไร...” อรวีถอยหลังสองก้าวอย่างระมัดระวัง อย่างน้อยอุ่นใจว่าไม่เห็นเพื่อนเก่ามีอาวุธอะไรติดมือมาด้วย ความคิดจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก
“ก็ไม่มีอะไร...” วีรยาพูดเสียงเอื่อยเฉื่อย “ก็แค่อยากมาถามว่า ทำไมต้องสั่งคนไปฆ่าฉันด้วย”
คำพูดตรงไปตรงมาของผู้บุกรุกทำให้อรวีสะดุ้ง ความลับรั่วไหลได้อย่างไรกัน ทั้งที่เรื่องนี้มีเพียงเธอกับนักฆ่าผู้ไม่เคยเห็นหน้า ติดต่อกันทางโทรศัพท์เท่านั้นที่รู้ ไหนร่ำลือว่าเป็นนักฆ่าฝีมือดี ทำงานไม่เคยผิดพลาด กับผู้หญิงคนเดียวยังจัดการไม่ได้ ยังดีว่าเพิ่งจ่ายค่าจ้างไปเพียงส่วนเดียว ทำงานพลาดเงินค่าจ้างที่เหลือก็อย่าหวัง
พอเริ่มตั้งตัวตั้งสติได้ อรวีเริ่มมีความมั่นใจกลับคืนมา นี่บ้านของเธอ อย่างไรก็ต้องได้เปรียบ เป็นฝ่ายถูกกระทำ ส่วนวีรยาไม่ต่างจากผู้บุกรุกยามวิกาลเท่านั้น
“ฉันรู้นะว่าเธอกับกรณ์แอบคบกันอยู่” เจ้าของบ้านเอ่ยอย่างเคียดแค้น เป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาพร้อมมีดในมือ “เสียดายที่เป็นเพื่อนกันมานานตั้งแต่เด็ก ไม่คิดเลยว่าเธอจะทรยศฉันได้”
“คิดไปเองทั้งนั้น” วีรยายืนประจันหน้าไม่ยอมถอยหนี ไม่มีทีท่าหวั่นเกรงแม้ว่าในมือปราศจากอาวุธ “ฉันกับกรณ์ไม่เคยคิดเกินเลยมากกว่าความเป็นเพื่อน เธอคิดเองเออเองจนเป็นโรคประสาท ขนาดสั่งคนมาฆ่าฉัน เธอมันใจร้ายมากไปแล้ว”
“อย่ามาโกหก ฉันมีหลักฐาน” อรวีระเบิดอารมณ์แผดเสียงเข้าใส่ พลางหันไปทางหัวเตียงซึ่งมีโต๊ะไม้ขนาดเล็กวางอยู่ด้านข้าง เธอเดินตรงไปดึงลิ้นชักโต๊ะหยิบภาพถ่ายออกมาสี่ห้าแผ่น คลี่ชูให้อีกฝ่ายดูเป็นหลักฐาน
“ดูให้ดีสิ นี่ไงหลักฐาน ว่าเธอไปมีอะไร ๆ กับกรณ์ที่ไหน ยังไง ฉันแอบให้คนสะกดรอยตามถ่ายภาพเป็นหลักฐานไว้หมดทุกที่...”
วีรยามองดูภาพถ่ายในมือของเจ้าของบ้านสาว แล้วพยักหน้าอย่างรับรู้ ไม่ได้มีสีหน้าท่าทางแปลกใจสักนิด กลับบอกว่า
“ใช่ เป็นหลักฐานจริง ๆ หลักฐานที่ว่าเธอฆ่าปกรณ์กับมือของเธอเอง ขนาดเก็บหลักฐานชั้นดีไว้ขนาดนี้ เธอใจกล้ามาก ฉันยอมรับนับถือเธอเลย ลองดูภาพถ่ายให้ดีสิ”
“พูดบ้าอะไรของเธอ...” อรวีพลิกภาพในมือกลับมาดูอย่างไม่เข้าใจ แล้วเธอก็สะดุ้งเฮือกทั้งร่างใจหายวาบ เมื่อมองเห็นภาพถ่ายในมือ
ไม่ใช่ ไม่ใช่ แบบนี้
แสงไฟบนเพดานส่องให้เห็นภาพของตัวเธอเอง กำลังใช้มีดจ้วงแทงลงไปยังร่างของปกรณ์ที่นอนอยู่บนเตียง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งกระหายเลือดอย่างชัดเจนที่สุด
เป็นไปไม่ได้!
อรวียืนตะลึง ไม่ยอมเชื่อสายตาตัวเองอย่างเด็ดขาด ไม่มีเหตุผลเลยสักนิดว่าเธอจะต้องฆ่าปกรณ์ ต่อให้อยากฆ่าเขามากเพียงใดก็ตามเสียงหัวเราะของวีรยาดังขึ้นอย่างชนิดที่ไม่เคยเห็นเธอหัวเราะน่ากลัวแบบนี้มาก่อน แต่พอหันไปมองอีกครั้ง วีรยาก็หายจากห้องไปเสียแล้ว มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
หญิงสาวยืนงุนงงสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสังเกตเห็นพวงลูกกุญแจวางทิ้งหน้าประตู เธอจึงคิดว่าวีรยาอาจรีบร้อนหลบหนีออกไปด้วยความรีบร้อน จนทำหล่นเอาไว้
ประตูห้องเปิดอ้าค้างคา เป็นหลักฐานว่าเธอไม่ได้ประสาทหลอนไป วีรยาเข้ามาในห้องของเธอจริง ๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าอีกฝ่ายเข้ามาหาทำไมในยามวิกาล ดูมันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
กล้าบุกเข้ามาในบ้านแบบนี้จะปล่อยเฉยไม่ได้ จะต้องจัดการเพื่อนตัวแสบ ความสงสัยลังเลเริ่มเปลี่ยนเป็นความกรุ่นโกรธชนิดไม่เคยเป็นมาก่อน หญิงสาวค่อยเดินออกจากห้องนอนอย่างระมัดระวัง มือขวากำด้ามมีดแน่น แสงไฟตามทางเดินและชั้นล่างเปิดสว่าง เสียงเหมือนวัตถุหนัก ๆ หล่นลงพื้น ยิ่งทำให้แน่ใจว่าวีรยายังไม่ได้ออกจากบ้านอย่างแน่นอน
พอย่องลงมาถึงห้องนั่งเล่น ใครบางคนกำลังนั่งหันหลังอยู่บนโซฟาตัวโปรด เห็นเฉพาะศีรษะโผล่พ้นเบาะพนักพิงขึ้นมา ทีวีข้างผนังเปิดทิ้งเอาไว้แต่มีเพียงข้อความสีขาวปรากฏบนจอภาพ ‘ไม่มีสัญญาณ’
นี่กล้าขนาดนั่งดูทีวีในบ้านคนอื่นแบบสบายใจเฉิบ มันจะมากเกินไปแล้ว ความโมโหทะลักล้นกับท่าทางไม่รู้สึกไม่รู้สมของเพื่อนรักหักเหลี่ยมใจ ก้าวตรงเข้าไปหาทันที แต่ต้องชะงัก
ร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาไม่ได้มีเส้นผมยาวประบ่า
ไม่ใช่วีรยา
ถ้าไม่ใช่เพื่อนตัวแสบ คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากปกรณ์ ถ้าวีรยาเข้าบ้านมาได้ ปกรณ์ก็ต้องเข้ามาได้ ทั้งสองต้องร่วมมือกันปั่นประสาทเธออย่างไม่ต้องสงสัย หญิงสาวก้าวเท้าเร็ว ๆ อ้อมไปดูด้านหน้า ดูให้ถนัดชัดตา
เป็นปกรณ์ สามีของเธอจริง ๆ
ชายหนุ่มนั่งตัวตรง ใบหน้าขาวซีดจ้องมองไปข้างหน้า อยู่ในชุดสูทสีน้ำเงินแบบชุดทำงานตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือบริเวณหน้าอกด้านซ้ายมีมีดทำครัวเล่มหนึ่งปักลงไปครึ่งเล่ม เลือดไหลเป็นทางชุ่มโชก ท่าทางของชายหนุ่มเหมือนคนตายไปแล้วและถูกจับมานั่งบนโซฟา
อรวียืนตกตะลึง ความรู้สึกโกรธเกรี้ยวเปลี่ยนเป็นความตกใจและหวาดกลัว เรื่องบ้าอะไรกัน ใครเป็นคนฆ่าปกรณ์ ไม่ใช่เธออย่างแน่นอน ขณะกำลังยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ หันหน้าซีดขาวอย่างเชื่องช้า ใบหน้าไร้ความรู้สึกอย่างน่าขนลุก ขยับริมฝีปากส่งเสียงครั่นครืนในโสต
ประสาท
“อร...คุณฆ่าผมทำไม”
พูดจบร่างของปกรณ์ลุกขึ้นด้วยท่าทางแข็งทื่อเหมือนหุ่นชักใย มือทั้งสองข้างยกขึ้นชูยื่นตรงมา ก่อนจะถาโถมเข้าหาแบบไม่ให้ตั้งตัว
หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียง
“อร...คุณเป็นอะไรไป”
เสียงร้องของใครบางคนทะลุทลวงเสียงกรีดร้องของตัวเอง สลับการถูกมือใครบางคนเขย่าร่างไปมา หญิงสาวยังคงส่งเสียงร้องพลางสะบัดตัวไปมาแบบคนสติกระเจิดกระเจิงก่อนค่อย ๆ รับรู้ว่าตัวเองกำลังนั่งตัวสั่นงันงกอยู่บนเตียง โดยมีปกรณ์นั่งอยู่ข้าง ๆ และเขย่าบ่าของเธอแรง ๆ เป็นการเรียกสติให้กลับคืน
“ใจเย็น ๆ อร นี่ผมเอง คุณแค่ฝันร้ายไปเท่านั้น”
เสียงบอกย้ำให้หญิงสาวหลุดพ้นออกมาจากห้วงแห่งฝันร้ายน่าสะพรึง สติสัมปชัญญะค่อยเรียงตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นทีละน้อย ใช่แล้ว...เธอเพียงฝันร้าย แต่ภาพน่ากลัวของสามียังคงเด่นชัดในความรู้สึก แต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงความฝัน
อรวีมองไปรอบห้องเพื่อความแน่ใจ ประตูห้องนอนปิดสนิท แสงไฟบนเพดานสว่างจ้า คงเป็นปกรณ์ที่ลุกขึ้นไปเปิดไฟเพราะความตกใจเสียงร้องของภรรยา
“ฝัน....อรฝันน่ากลัว....” หญิงสาวหันมาจ้องหน้าสามีที่ยังคงเอามือกุมไหล่ของเธอด้วยสายตาห่วงใย อยากจะเล่าความฝันให้เขาฟัง แต่พูดอะไรไม่ออก ฝันเป็นตุเป็นตะ ขนาดว่าเห็นวีรยาเข้ามาในห้องนอน แถมยังเห็นปกรณ์ถูกแทงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นอย่างน่ากลัว ภาพที่ร่างของเขาลุกขึ้นถาโถมเข้ามาหายังคงเต็มความรู้สึก
“ไม่ต้องกลัวนะอร ผมอยู่ข้างคุณเสมอ” ปกรณ์รั้งศีรษะของภรรยามากอดอย่างปลอบใจ กระซิบข้างหู “ผมไม่ได้ถูกแทงตายซะหน่อย วีรยาก็ไม่ได้เข้ามาในบ้านของเรา”
อรวีสะดุ้งสุดตัว รีบผละห่างออกจากอ้อมแขนของสามีทันที เบิกตากว้างจ้องหน้าถามเสียงสั่นระรัวด้วยความรู้สึกไม่ชอบมาพากล
“กรณ์...คุณรู้ยังไงว่าอรฝันเรื่องอะไร อรยังไม่ได้เล่าให้คุณฟังเลยนะ”
“ทำไมผมจะไม่รู้” ปกรณ์ลุกขึ้นยืนช้า ๆ สีหน้าเปลี่ยนจากความมีชีวิตชีวากลายเป็นขาวซีดแบบซากศพจนน่ากลัวในฉับพลัน น้ำเสียงที่พูดออกมาฟังดูเย็นเยือกจับขั้วหัวใจ “ก็คุณเป็นคนแทงผมเองไม่ใช่เหรอ คุณก็รู้นี่....”
“ไม่...!!!”
.