JJNY : 4in1 หอค้าชี้GDP64คาดโตแค่1.5%│ภรรยาถูกตัดขาเสียชีวิตเชื่อฉีดแอสตร้า│ส่งออกข้าวรองอินเดีย-เวียตนาม│หน.พท.แนะก.ก.

สุดแรงเข็น! ‘หอการค้า’ ชี้จีดีพี ปี’64 ดันไม่ขึ้นคาดโตแค่ 1.5%
https://www.matichon.co.th/economy/news_3018008
 
สุดแรงเข็น! ‘หอการค้า’ ชี้จีดีพี ปี’64 ดันไม่ขึ้นคาดโตแค่ 1.5%
 
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2564 คาดว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ของประเทศไทย ทั้งปี 2564 จะเติบโตอยู่ช่วง 1-1.5% และยังไม่มีโอกาสพลิกโผ ทั้งการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ แม้ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ จะมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วก็ตาม โดยสิ่งที่ยังต้องเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิดคือ การแพร่ระบาดโควิด-19 ในสายพันธุ์ใหม่ๆ ส่วนยาโมลนูพิราเวียร์ ที่ใช้ในการรักษาโควิด-19 หากนำเข้ามาในไทยแล้ว จะมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะมองว่าทุกส่วนทั้งเศรษฐกิจ และสาธารณสุขต้องไปด้วยกัน
 
นายสนั่น กล่าวว่า จากการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น อยากเห็นรัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากงบประมาณที่คงค้างอยู่ หลังจากที่รัฐบาลมีการขยายเพดานหนี้จาก 60% เป็น 70% และมีงบประมาณเหลือใช้ในไตรมาส 4/2564 ประมาณ 5 แสนล้านบาท เหลือใช้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ประมาณ 5 แสนล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งนำงบประมาณที่มีอยู่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อต่อลมหายใจให้กับภาคธุรกิจ และภาคประชาชนได้ทันเวลา ส่วนข้อกังวลเรื่องการกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศอีกครั้ง เชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้นหากรัฐสามารถควบคุมไม่ให้เกิดการติดเชื้อโควิด-19 ที่รุนแรงได้ บวกกับในปัจจุบันประชาชนเริ่มเข้าถึงวัคซีนได้มากขึ้นแล้ว และปัจจุบันสาธารณสุขเร่งฉีดวัคซีนได้แล้วกว่า 1 ล้านโดสต่อวัน โอกาสที่จะเกิดการระบาดระลอกใหม่ที่รุนแรงก็น้อยลง และโอกาสที่รัฐบาลจะกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้งก็น้อยลงตาม
 
นายสนั่น กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่สหพันธ์การขนส่งแห่งประเทศไทย เตรียมหยุดเดินรถขนส่งสินค้า 20% หรือประมาณ 7-8 หมื่นคัน ทั่วประเทศ เป็นเวลา 7 วันต่อเนื่อง เริ่มในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ นั้น การหยุดเดินรถในครั้งนี้ มาจากกลุ่มผู้ประกอบการขนส่งสินค้าที่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) หรือกลุ่มที่ต้องเช่ารถเพื่อขนส่งสินค้า ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จากอดีตที่ราคาน้ำมันโลกมีราคาอยู่แค่เพียง 20-30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่ปัจจุบันมีโอกาสสูงถึง 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นต่อเนื่องถึงปี 2565 โดยในระยะสั้นนี้คงไม่มีโอกาสเห็นราคาน้ำมันต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร แน่
 
“ในช่วงเวลานี้หากมีอะไรที่รัฐบาลพอช่วยผู้ประกอบการได้ ควรที่จะเร่งดำเนินการ เพื่อลดการเผชิญหน้ากัน แต่หลังจากนี้ในส่วนของภาคประชาชน หรือผู้บริโภคเองก็ต้องเตรียมใจกับราคาสินค้าที่จะแพงขึ้นจากปัญหาเหล่านี้ รวมถึงได้เห็นสินค้าอุปโภค บริโภค หรือวัสดุก่อสร้าง มีราคาสูงขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2564 หรือต้นปี 2565 ซึ่งจะสร้างผลกระทบทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นอีกด้วย แต่คงไม่หนักมาก” นายสนั่น กล่าว
 


ร้องสื่อ!! ภรรยาถูกตัดขาเสียชีวิต เชื่อสาเหตุฉีดแอสตร้าเซเนก้า
https://www.nationtv.tv/news/378849504
 
พังงา - ร้องสื่อภรรยาป่วยถูกตัดขา 1 ข้างจนเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดเสียชีวิต เชื่อสาเหตุมาจากรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มแรก

30 ตุลาคม 2564 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่วัดประจันตคาม ต.ทุ่งคาโงก อ.เมืองพังงา หลังจากได้รับการร้องเรียนจาก นายประยุทธ วงค์ษา อายุ 47ปี อาชีพเกษตรกร อยู่บ้านเลขที่ 37/2 ม.1 ต.ทุ่งคาโงก อ.เมืองพังงา ว่าภรรยาชื่อนางสุนีย์ วงค์ษา อายุ46 ปี ได้เสียชีวิตลงหลังจากเข้ารับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลพังงา ทางญาติได้นำศพมาทำพิธีทางศาสนาที่วัด และจะฌาปนกิจในวันอาทิตย์ที่31 ตุลาคมนี้ ซึ่งตนเองและญาติๆต่างเชื่อกันว่าสาเหตุที่ภรรยาป่วยจนเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลพังงาจนถูกตัดขาและเสียชีวิตลงนั้น มาจากสาเหตุไปรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มแรก แอสตร้าเซนเนก้า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ขณะที่แพทย์ลงสาเหตุการเสียชีวิตไว้ว่า “ติดเชื้อในกระแสเลือด

นายประยุทธ  กล่าวว่า เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลพังงา ให้พาภรรยาไปรับวัคซีนเข็มที่ 1 ตนได้สอบถามว่าภรรยามีโรคประจำตัวหลายโรคจะฉีดได้ไหม ทางโรงพยาบาลบอกว่าวัคซีนตัวนี้สำหรับคนมีโรคประจำตัว ส่วนภรรยาตัวเองนั้นก่อนจะไปรับวัคซีนนั้น แม้จะมีโรคประจำตัว แต่ก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ หลังจากไปรับวัคซีนกลับมาก็เริ่มไม่สบายเป็นไข้ 
 
จากนั้นเกิดอาการปวดที่น่อง จึงไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลพังงา แพทย์บอกว่าเป็นโรคผิวหนัง ให้ยามาทาและกินประมาณ 2ครั้ง แต่ก็ยังไม่หาย มีอาการปวดอย่างรุนแรงจนเดินไม่ได้ จึงพาไปรักษาที่โรงพยาบาลพังงาอีกครั้งเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2564 ทางแพทย์แจ้งว่าเป็นโรคเส้นเลือดอุดตัน รับตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลพังงา 
           
และอีกประมาณ6วันแพทย์ได้แนะนำว่าต้องตัดขาเพราะจะทำให้เกิดติดเชื้อในกระแสเลือดหากไม่ตัด ทางตนเองและลูกสาวได้ยินยอมให้ตัดขาข้างซ้ายบริเวณเหนือเข่า ที่ผ่านมาตนได้เคยไปร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดพังงา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพังงาให้ช่วยสอบสวนมาครั้งหนึ่งแล้ว ว่าสาเหตุการป่วยของภรรยาน่าจะเกี่ยวข้องกับการรับวัคซีนเข็มแรก แอสตร้าเซนเนก้า เมื่อเดือนมิถุนายน อย่างแน่นอน
 
จนกระทั่งประมาณวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลพังงาและสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองพังงาได้เข้ามาพบและให้เขียนคำร้องขอเยียวยา แต่ภรรยาก็ได้มาเสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลพังงา เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 แพทย์ระบุสาเหตุมาจากติดเชื้อในกระแสเลือด จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวด้วย
 
นางรัชณีวรรณ ช่วยเกื้อ อายุ 30 ปี ลูกสาวผู้เสียชีวิต เล่าว่า ก่อนหน้านี้แม่ก็ใช้ชีวิตปกติดี แต่เมื่อไปฉีดวัคซีนกลับมาแม่ก็เป็นไข้ อาการอ่อนแรงลงเรื่อยๆ และเดินไม่ค่อยไหว ต้องเดินเกาะฝาบ้านออกมากินข้าวที่หน้าบ้าน  จากนั้นประมาณ2-3 อาทิตย์แม่ก็เดินไม่ได้ต้องใส่แพมเพิร์สนอนบนเตียง ที่น่องมีก้อนเนื้ออยู่1ก้อน จึงรีบพาไปรักษาตัวในโรงพยาบาลพังงา
 


ส่งออกข้าว 9 เดือนแรกลด 6.6% อยู่อันดับ 3 รองจาก 'อินเดีย-เวียดนาม'
https://www.thebangkokinsight.com/news/business/economics/738992/
 
ส่งออกข้าวเดือนก.ย. เพิ่ม 7.9% ขณะที่รวม 9 เดือน ปริมาณส่งออกลดลง 6.6% ไทยหล่นอยู่อันดับ 3 รองจากอินเดียและเวียดนาม
 
สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย รายงานว่าการส่งออกข้าวในเดือนกันยายน 2564 มีปริมาณ 638,397 ตัน มูลค่า 10,867 ล้านบาท โดยปริมาณและมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 7.9% และ 11.2% เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2564 ที่มีการส่งออกปริมาณ 591,717 ตัน มูลค่า 9,771 ล้านบาท
 
เนื่องจากในเดือนที่ผ่านมามีการส่งออกข้าวขาวและข้าวนึ่งไปยังตลาดสำคัญในแถบแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียเพิ่มขึ้น
ในเดือนกันยายน 2564 มีการส่งออกข้าวขาวปริมาณ 313,446 ตัน เพิ่มขึ้น 14.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยส่วนใหญ่ส่งไปยังตลาดจีน อิรัก มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สารธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก โมซัมบิก แองโกล่า เป็นต้น
 
ส่วนการส่งออกข้าวนึ่ง มีปริมาณ 176,693 ตัน เพิ่มขึ้น 9.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยส่วนใหญ่ส่งไปยังตลาดหลัก เช่น แอฟริกาใต้ ไนเจอร์ เบนิน เยเมน แคเมอรูน เป็นต้น
 
ขณะที่การส่งออกข้าวหอมมะลิ (ต้นข้าว) มีปริมาณ 91,395 ตัน เพิ่มขึ้น 15.9% เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยส่วนใหญ่ยังคงส่งไปยังตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง แคนาดา สิงคโปร์ เป็นต้น
 
การส่งออกข้าวในช่วง 9 เดือนของปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2564) มีปริมาณ 3,817,284 ตัน  มูลค่า 69,552 ล้านบาท ( 2,235.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ) โดยปริมาณส่งออกลดลง 6.6% และมูลค่าลดลง 18.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีการส่งออกปริมาณ 4,087,004 ตัน มูลค่า 85,153 ล้านบาท ( 2,724.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ )
 
สมาคมฯคาดว่าในเดือนตุลาคม 2564 จะส่งออกข้าวได้ประมาณ 700,000 ตัน เนื่องจากประเทศผู้นำเข้าที่สำคัญในแถบแอฟริกา ตะวันออกกลาง และเอเชีย ยังคงมีความต้องการข้าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อชดเชยสต็อกข้าวที่ลดลงและเตรียมไว้ใช้ในช่วงเทศกาลปลายปีนี้ ประกอบกับราคาข้าวของไทยยังอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ จึงคาดว่าการส่งออกข้าวขาวและข้าวนึ่งจะยังไปได้ดี
 
คาดว่าการส่งออกข้าวหอมมะลิจะชะลอลง แม้ว่าราคาจะปรับลดลงมาพอสมควรแล้ว เนื่องจากผู้ซื้อบางส่วนรอดูผลผลิตข้าวฤดูนาปีที่ใกล้ออกสู่ตลาดในเดือนหน้า ประกอบกับปัญหาด้านลอจิสติกส์ทั้งตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนและค่าระวางเรือที่สูงขึ้นยังไม่คลี่คลายไปในทางที่ดี ทำให้เป็นอุปสรรคในการส่งมอบสินค้า
 
ด้านสถานการณ์ราคาข้าวในช่วงนี้ค่อนข้างทรงตัวท่ามกลางภาวะค่าเงินบาทที่มีทิศทางแข็งค่าขึ้นจากการที่รัฐบาลประกาศเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้
 
ราคาข้าวขาว 5% ของไทยอยู่ที่ 403 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ราคาข้าวขาว 5% ของเวียดนาม อินเดีย และปากีสถาน  อยู่ที่ 433-437, 358-362 และ 363-367 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ
 
ส่วนข้าวนึ่งของไทยอยู่ที่ 406 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ข้าวนึ่งของอินเดีย และปากีสถานอยู่ที่ 353-357 และ 383-387 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามลำดับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่