วันนี้ (26 ต.ค. 2564) นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของอีอีซี กรณีที่ บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด หรือเดิมคือกลุ่มซีพีต้องเข้ารับโอนสิทธิ์ดำเนินการบริหารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิงก์ในวันที่ 24 ต.ค. 2564 ตามสัญญาร่วมทุนพร้อมชำระค่าให้สิทธิร่วมลงทุน แอร์พอร์ต เรลลิงก์ จำนวน 10,671.09 ล้านบาท ให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) แต่เนื่องจากผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ผู้โดยสารลดลงจากประมาณ 7-8 หมื่นคน/วัน ในช่วงที่ทำสัญญา เหลือเพียง 1-2 หมื่นคน/วัน ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่คาดการณ์มาก่อน
คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ได้มีนโยบายให้หาทางแก้ไขโดยไม่ให้กระเทือนต่อผู้โดยสาร ซึ่งเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2564 รฟท. และเอกชนได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ในการบริหารสัญญาร่วมลงทุน และแก้ไขปัญหาโครงการฯ เพื่อให้เอกชนเข้ารับดำเนินการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ และให้มีบริการได้อย่างต่อเนื่อง
โดย MOU มีระยะเวลา 3 เดือน เพื่อให้เจรจาหาทางออกร่วมกัน โดยรัฐต้องไม่เสียประโยชน์ และเป็นธรรมกับเอกชน ซึ่งการเจรจาจะดำเนินการโดยคณะทำงานที่แต่งตั้งโดย รฟท. และคณะกรรมการกำกับ เพื่อนำเสนอรฟท. กพอ. และ ครม. ต่อไป
สำหรับในส่วนของ MOU มีรายละเอียด ดังนี้
· เอกชนเข้ารับดำเนินการ แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ นับจากวันที่ 24 ตุลาคม 2564 ตามกำหนดการที่วางไว้
· เอกชนคู่สัญญารับผิดชอบค่าใช้จ่าย รวมถึงบุคลากรปฏิบัติงานทั้งหมด รับผิดชอบความเสี่ยงทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานที่ได้รับมอบหมาย และการดำเนินการอื่นใด เพื่อทำให้การเดินรถไฟ และซ่อมบำรุงรักษาระบบแอร์พอร์ต เรลลิงก์ เป็นไปตามมาตรฐานดัชนีชี้วัด หรือ KPI ที่ รฟท. กำหนด
· ก่อนการเข้ารับดำเนินการเอกชนได้ลงทุนไปแล้วกว่า 1,1 00 ล้านบาท ในการดำเนินการปรับปรุงระบบและบริการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ และฝึกอบรมพนักงานปฏิบัติการมาอย่างต่อเนื่อง จึงมีความพร้อมด้านเทคนิคและบุคคลากร
· วันที่ลงนาม MOU เอกชนฯ นำเช็คเงินสดจำนวน 1,067.11 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของค่าสิทธิร่วมลงทุนในแอร์พอร์ต เรลลิงก์ จำนวน 10,671.09 ล้านบาท ให้แก่ รฟท. เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามบันทึกข้อตกลง
·
รฟท. ยังเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารเหมือนเดิม เพราะยังไม่มีการโอนสิทธิ์และรายได้ให้เอกชน จนกว่าจะมีการแก้ไขปัญหาการชำระค่าแอร์พอร์ต เรลลิงก์แล้วเสร็จ
· จะให้เอกชนนำค่าโดยสารดังกล่าวไปหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น หากกำไรต้องส่งคืน รฟท. ดังนั้น รฟท. จึงไม่ต้องรับภาระขาดทุนการการดำเนินงานแอร์พอร์ต เรลลิงก์ อีกต่อไป
· ซึ่งในปี 2564 รฟท. ขาดทุนการจากการดำเนินงานแอร์พอร์ต เรลลิงก์ประมาณ 600 ล้านบาท และประเมินว่าในปี 2565 หากรฟท .ดำเนินการเองจะขาดทุนประมาณ 700 ล้านบาท ดังนั้น เมื่อให้เอกชนเข้ามาบริหารเท่ากับรฟท. ตัดเรื่องขาดทุน ส่วนเอกชนเข้ามารับความเสี่ยงแทน ขณะที่รฟท. เองไม่ได้จัดเตรียมงบประมาณที่จะบริหารโครงการต่อ
· เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2564 เอกชนได้เข้าดำเนินการโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ตาม MOU แล้ว และการดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่พบปัญหาอุปสรรคใดๆ ในการให้บริการประชาชน
· โดยรฟท. ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด
· พร้อมกันนี้เอกชนได้เสนอแผนการลงทุนเพื่อพัฒนา แอร์พอร์ต เรลลิงก์ เป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท โดยได้ลงทุนไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท จึงไม่มีเหตุผลที่จะชะลอการรับงานของเอกชน ส่วนที่เหลือจะมีการลงทุนในการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าเพิ่มเติม และจัดทำทางเดินเชื่อมใต้ดินจากสถานีรถไฟฟ้า MRT มายังสถานีแอร์พอร์ต เรลลิงก์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน
· ขณะนี้เอกชนส่งบุคลากรจำนวน 475 คน เข้าบริหารโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์แล้ว แบ่งเป็น ฝ่ายปฎิบัติการ 250 ฝ่ายซ่อมบำรุง 225 คน การถ่ายโอนการบริหารจึงไม่มีปัญหา แต่การโอนสิทธิ์ ต้องรอการเจรจาให้ได้ข้อยุติภายใน 3 เดือนก่อน
ส่วนการส่งมอบพื้นที่เพื่อก่อสร้างให้เอกชนมีสาระสำคัญ ดังนี้
· เอกชนจะต้องก่อสร้างโครงการช่วงสุวรรณภูมิถึงอู่ตะเภา ระยะทางประมาณ 160 กิโลเมตร ซึ่งรฟท. ได้ส่งมอบพื้นที่ไปแล้ว 98.11% คิดเป็นพื้นที่ 3,513 ไร่ 1 งาน 3 ตารางวา
· เอกชนคู่สัญญาได้ทยอยเข้าเตรียมการก่อสร้างแล้วตั้งแต่ปลายปี 2563 ประกอบด้วย
- การสร้างถนนและสะพานชั่วคราวของโครงการ
- การสร้างโรงหล่อชิ้นส่วนทางวิ่งรถไฟ
- การสร้างบ้านพักคนงาน
· ส่วนที่เหลืออีก 1.89% จะส่งมอบภายในเดือนม.ค. 2565
· เมื่อเอกชนตรวจรับพื้นที่แล้วเสร็จ รฟท. จะออกหนังสือแจ้งเริ่มงานก่อสร้างอย่างเป็นทางการ (NTP) ประมาณเดือน มี.ค. 2565
· ปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นตอนที่เอกชนคู่สัญญาต้องได้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน เพราะสัญญาร่วมลงทุนกำหนดว่า ให้เอกชนคู่สัญญาทำสัญญาสินเชื่อโครงการกับสถาบันการเงิน (หรือสัญญาจัดหาเงินสนับสนุนสำหรับโครงการฯ ภายใน 240 วัน นับจากวันที่ รฟท. ออก NTP ดังนั้น ขั้นตอนการหาสินเชื่อจะแล้วเสร็จประมาณเดือนพ.ย. 2565 โดยเงินกู้จะนำมาใช้สำหรับการก่อสร้างโครงการช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ประมาณ 1 แสนล้านบาท
การร่วมลงทุนรัฐและเอกชนในอีอีซี สู่ต้นแบบ “รัฐประหยัดงบประมาณ ดึงเงินเอกชนร่วมพัฒนาประเทศ”
- โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในอีอีซี พร้อมเป็นตัวอย่างของการร่วมทุนรัฐและเอกซน เพื่อประหยัดงบประมาณและนำเงินทุนภาคเอกชนมาร่วมในการพัฒนาประเทศ
- การร่วมทุนคือ
“ทั้งสองฝ่าย” “รัฐและเอกชน” เข้ามาร่วม
"รับความเสี่ยงด้วยกัน" โดยเอกชนนำเงินทุนมาลงทุนด้วย ต่างกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่เอกชนรับจ้างรัฐบาล ซึ่งรัฐลงเงินจ้างเอกชนทั้งหมด และรัฐรับความเสี่ยงแต่ฝ่ายเดียว
- หากเกิดเหตุสุดวิสัยที่ไม่ได้คาดมาก่อนการลงนามสัญญา ดังจะเห็นได้จากการที่รัฐขยายเวลาส่งมอบงานและยกเว้นค่าปรับในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทั่วไปให้กับผู้รับจ้างเมื่อเกิดโควิด-19
-
ในการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน จึงจำเป็นต้องมี "ความเข้าใจร่วมกัน" เป็นพื้นฐานที่จะเจรจาหาทางออกในกรณีสุดวิสัยที่ไม่คาดมาก่อน และนำไปสู่การแก้ไขสัญญาภายใต้ความเข้าใจร่วมกันให้โครงการประสบความสำเร็จ โดยรัฐและเอกชนไม่เสียเปรียบซึ่งกันและกัน
-
กรณีโควิด-19 ซึ่งอาจเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่อาจคาดการณ์มาก่อน เพราะรัฐบาลออกมาตรการกำหนดให้ธุรกิจและประชาชนหยุดการเดินทางเป็นระยะๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้จำนวนผู้โดยสารแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ลดลงเป็นจำนวนมาก
นำไปสู่ "การเจรจาเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด" อย่างเป็นธรรมโดยไม่มีฝ่ายใดเสียเปรียบ
กรณีโครงการร่วมทุนอื่นๆ ในอีอีซี ไม่จำเป็นต้องนำมาสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาเช่นกรณีแอร์พอร์ต เรลลิงก์
- โครงการท่าเรือมาบตาพุด และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก กำลังจะเริ่มก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าเมื่อก่อสร้างเสร็จใน 4 ปี ผลกระทบจากโควิดคงหมดไปแล้ว
- ส่วนโครงการท่าเรือแหลมฉบังที่กำลังจะลงนามได้พิจารณากระทบเหล่านี้ในสัญญาไว้แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขอบคุณข้อมูลจาก MGR และ สกพอ.
อีอีซีเคลียร์ชัด PPP ไฮสปีดเชื่อมสนามบิน รัฐเอกชนร่วมแก้ไข ไร้ปัญหา โปร่งใส เป็นธรรม ไม่เสียประโยชน์
คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ได้มีนโยบายให้หาทางแก้ไขโดยไม่ให้กระเทือนต่อผู้โดยสาร ซึ่งเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 2564 รฟท. และเอกชนได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ในการบริหารสัญญาร่วมลงทุน และแก้ไขปัญหาโครงการฯ เพื่อให้เอกชนเข้ารับดำเนินการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ และให้มีบริการได้อย่างต่อเนื่อง โดย MOU มีระยะเวลา 3 เดือน เพื่อให้เจรจาหาทางออกร่วมกัน โดยรัฐต้องไม่เสียประโยชน์ และเป็นธรรมกับเอกชน ซึ่งการเจรจาจะดำเนินการโดยคณะทำงานที่แต่งตั้งโดย รฟท. และคณะกรรมการกำกับ เพื่อนำเสนอรฟท. กพอ. และ ครม. ต่อไป
สำหรับในส่วนของ MOU มีรายละเอียด ดังนี้
· เอกชนเข้ารับดำเนินการ แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ นับจากวันที่ 24 ตุลาคม 2564 ตามกำหนดการที่วางไว้
· เอกชนคู่สัญญารับผิดชอบค่าใช้จ่าย รวมถึงบุคลากรปฏิบัติงานทั้งหมด รับผิดชอบความเสี่ยงทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานที่ได้รับมอบหมาย และการดำเนินการอื่นใด เพื่อทำให้การเดินรถไฟ และซ่อมบำรุงรักษาระบบแอร์พอร์ต เรลลิงก์ เป็นไปตามมาตรฐานดัชนีชี้วัด หรือ KPI ที่ รฟท. กำหนด
· ก่อนการเข้ารับดำเนินการเอกชนได้ลงทุนไปแล้วกว่า 1,1 00 ล้านบาท ในการดำเนินการปรับปรุงระบบและบริการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ และฝึกอบรมพนักงานปฏิบัติการมาอย่างต่อเนื่อง จึงมีความพร้อมด้านเทคนิคและบุคคลากร
· วันที่ลงนาม MOU เอกชนฯ นำเช็คเงินสดจำนวน 1,067.11 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของค่าสิทธิร่วมลงทุนในแอร์พอร์ต เรลลิงก์ จำนวน 10,671.09 ล้านบาท ให้แก่ รฟท. เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามบันทึกข้อตกลง
· รฟท. ยังเป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสารเหมือนเดิม เพราะยังไม่มีการโอนสิทธิ์และรายได้ให้เอกชน จนกว่าจะมีการแก้ไขปัญหาการชำระค่าแอร์พอร์ต เรลลิงก์แล้วเสร็จ
· จะให้เอกชนนำค่าโดยสารดังกล่าวไปหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น หากกำไรต้องส่งคืน รฟท. ดังนั้น รฟท. จึงไม่ต้องรับภาระขาดทุนการการดำเนินงานแอร์พอร์ต เรลลิงก์ อีกต่อไป
· ซึ่งในปี 2564 รฟท. ขาดทุนการจากการดำเนินงานแอร์พอร์ต เรลลิงก์ประมาณ 600 ล้านบาท และประเมินว่าในปี 2565 หากรฟท .ดำเนินการเองจะขาดทุนประมาณ 700 ล้านบาท ดังนั้น เมื่อให้เอกชนเข้ามาบริหารเท่ากับรฟท. ตัดเรื่องขาดทุน ส่วนเอกชนเข้ามารับความเสี่ยงแทน ขณะที่รฟท. เองไม่ได้จัดเตรียมงบประมาณที่จะบริหารโครงการต่อ
· เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2564 เอกชนได้เข้าดำเนินการโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ตาม MOU แล้ว และการดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่พบปัญหาอุปสรรคใดๆ ในการให้บริการประชาชน
· โดยรฟท. ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด
· พร้อมกันนี้เอกชนได้เสนอแผนการลงทุนเพื่อพัฒนา แอร์พอร์ต เรลลิงก์ เป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท โดยได้ลงทุนไปแล้วกว่า 1,000 ล้านบาท จึงไม่มีเหตุผลที่จะชะลอการรับงานของเอกชน ส่วนที่เหลือจะมีการลงทุนในการจัดหาขบวนรถไฟฟ้าเพิ่มเติม และจัดทำทางเดินเชื่อมใต้ดินจากสถานีรถไฟฟ้า MRT มายังสถานีแอร์พอร์ต เรลลิงก์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน
· ขณะนี้เอกชนส่งบุคลากรจำนวน 475 คน เข้าบริหารโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์แล้ว แบ่งเป็น ฝ่ายปฎิบัติการ 250 ฝ่ายซ่อมบำรุง 225 คน การถ่ายโอนการบริหารจึงไม่มีปัญหา แต่การโอนสิทธิ์ ต้องรอการเจรจาให้ได้ข้อยุติภายใน 3 เดือนก่อน
ส่วนการส่งมอบพื้นที่เพื่อก่อสร้างให้เอกชนมีสาระสำคัญ ดังนี้
· เอกชนจะต้องก่อสร้างโครงการช่วงสุวรรณภูมิถึงอู่ตะเภา ระยะทางประมาณ 160 กิโลเมตร ซึ่งรฟท. ได้ส่งมอบพื้นที่ไปแล้ว 98.11% คิดเป็นพื้นที่ 3,513 ไร่ 1 งาน 3 ตารางวา
· เอกชนคู่สัญญาได้ทยอยเข้าเตรียมการก่อสร้างแล้วตั้งแต่ปลายปี 2563 ประกอบด้วย
- การสร้างถนนและสะพานชั่วคราวของโครงการ
- การสร้างโรงหล่อชิ้นส่วนทางวิ่งรถไฟ
- การสร้างบ้านพักคนงาน
· ส่วนที่เหลืออีก 1.89% จะส่งมอบภายในเดือนม.ค. 2565
· เมื่อเอกชนตรวจรับพื้นที่แล้วเสร็จ รฟท. จะออกหนังสือแจ้งเริ่มงานก่อสร้างอย่างเป็นทางการ (NTP) ประมาณเดือน มี.ค. 2565
· ปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นตอนที่เอกชนคู่สัญญาต้องได้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน เพราะสัญญาร่วมลงทุนกำหนดว่า ให้เอกชนคู่สัญญาทำสัญญาสินเชื่อโครงการกับสถาบันการเงิน (หรือสัญญาจัดหาเงินสนับสนุนสำหรับโครงการฯ ภายใน 240 วัน นับจากวันที่ รฟท. ออก NTP ดังนั้น ขั้นตอนการหาสินเชื่อจะแล้วเสร็จประมาณเดือนพ.ย. 2565 โดยเงินกู้จะนำมาใช้สำหรับการก่อสร้างโครงการช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ประมาณ 1 แสนล้านบาท
การร่วมลงทุนรัฐและเอกชนในอีอีซี สู่ต้นแบบ “รัฐประหยัดงบประมาณ ดึงเงินเอกชนร่วมพัฒนาประเทศ”
- โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในอีอีซี พร้อมเป็นตัวอย่างของการร่วมทุนรัฐและเอกซน เพื่อประหยัดงบประมาณและนำเงินทุนภาคเอกชนมาร่วมในการพัฒนาประเทศ
- การร่วมทุนคือ “ทั้งสองฝ่าย” “รัฐและเอกชน” เข้ามาร่วม "รับความเสี่ยงด้วยกัน" โดยเอกชนนำเงินทุนมาลงทุนด้วย ต่างกับการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ที่เอกชนรับจ้างรัฐบาล ซึ่งรัฐลงเงินจ้างเอกชนทั้งหมด และรัฐรับความเสี่ยงแต่ฝ่ายเดียว
- หากเกิดเหตุสุดวิสัยที่ไม่ได้คาดมาก่อนการลงนามสัญญา ดังจะเห็นได้จากการที่รัฐขยายเวลาส่งมอบงานและยกเว้นค่าปรับในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทั่วไปให้กับผู้รับจ้างเมื่อเกิดโควิด-19
- ในการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน จึงจำเป็นต้องมี "ความเข้าใจร่วมกัน" เป็นพื้นฐานที่จะเจรจาหาทางออกในกรณีสุดวิสัยที่ไม่คาดมาก่อน และนำไปสู่การแก้ไขสัญญาภายใต้ความเข้าใจร่วมกันให้โครงการประสบความสำเร็จ โดยรัฐและเอกชนไม่เสียเปรียบซึ่งกันและกัน
- กรณีโควิด-19 ซึ่งอาจเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่อาจคาดการณ์มาก่อน เพราะรัฐบาลออกมาตรการกำหนดให้ธุรกิจและประชาชนหยุดการเดินทางเป็นระยะๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้จำนวนผู้โดยสารแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ลดลงเป็นจำนวนมาก นำไปสู่ "การเจรจาเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด" อย่างเป็นธรรมโดยไม่มีฝ่ายใดเสียเปรียบ
กรณีโครงการร่วมทุนอื่นๆ ในอีอีซี ไม่จำเป็นต้องนำมาสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาเช่นกรณีแอร์พอร์ต เรลลิงก์
- โครงการท่าเรือมาบตาพุด และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก กำลังจะเริ่มก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าเมื่อก่อสร้างเสร็จใน 4 ปี ผลกระทบจากโควิดคงหมดไปแล้ว
- ส่วนโครงการท่าเรือแหลมฉบังที่กำลังจะลงนามได้พิจารณากระทบเหล่านี้ในสัญญาไว้แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้