นางฟ้าเปื้อนเลือด ตอนที่ 19

กระทู้คำถาม
เลเลียน่าต่างจากมิเลนนัสทั้งที่เป็นเมืองชายขอบทวีปเหมือนกัน มิเลนนัสเต็มไปด้วยพวกหัวรุนแรงสร้างเรื่องวิวาทไม่เว้นแต่ละวันส่วนผู้คนในเลเลียน่าต่างรักสงบร่วมร้องรำกันบ่อยจนมีงานเทศกาลหลายครั้งในช่วงปี มีบางคนเคยบอกว่าทั้งสองแห่งคือแม่เหล็กสองขั้วคอยดึงดูดสิ่งตรงข้ามกัน
 
            เฟเรซิสถูกใช้มนตร์เคลื่อนย้ายไปเลเลียน่าเมื่อพนักงานประจำแผนกผู้วิเศษมาถึงสำนักงาน เพราะบอกทุกคนว่าไปรักษานางจึงถือโอกาสถามผู้เคยไปประจำที่นั่นว่ามีอะไรน่าทานบ้างโดยเฉพาะขนม หญิงสาวเคยไปมิเลนนัสแต่ไม่เคยไปเลเลียน่า เหตุเพราะเมืองหลังเปี่ยมไปด้วยความสงบราบคาบจนมีแค่หน่วยเฝ้าระวังก็เพียงพอ 
 
            หลังแสงจากมนตร์เคลื่อนย้ายดับหญิงสาวก็พบความเหมือนในความต่าง ทั้งสองเมืองเคยอยู่ในที่ราบกว้างใหญ่ก่อนเสาค้ำจุนสูงสุดตัดทวีปเทพออกมาไม่เหมือนเอสคอร์ซึ่งติดทะเลมานานแสนนาน ในเมืองส่วนมากมีผู้สูงอายุหรือกิจการเก่าแก่ ส่วนคนรุ่นใหม่ต่างขยับขยายไปชายฝั่งซึ่งมีทางเติบโตมากกว่าจนกลายเป็นหมู่บ้านข้างเคียง แม้แต่มิเลนนัสยังเต็มไปด้วยผู้ก่อการร้ายระดับวัยกลางคนขึ้นไป
 
            ทั้งสองเมืองเหมือนกระจกสะท้อนด้านตรงข้ามของกันและกันจนน่าสงสัย ความอยากรู้อยากเห็นของหญิงสาวเพิ่มพูนตอนเดินไปหารถม้าซึ่งทางศูนย์กลางเตรียมให้ นางควานหาผ้าคลุมในกระเป๋าถือมาใส่ให้เหมือนกับหญิงอีกคนที่รอนางอยู่ พวกนางเก็บปีกจากนั้นก็เดินคุยกันเกี่ยวกับศูนย์จนถึงทางขึ้นเพื่อรถม้าสร้างความสับสนให้ผู้เฝ้าดู เมื่อสบโอกาสหญิงสาวอีกคนก็ก้าวขึ้นรถม้าพร้อมบอกสารถีว่าผู้โดยสารพร้อมแล้ว ส่วนเฟเรซิสก็ทำเป็นเดินทอดน่องไปร้านอาหารใกล้ๆจุดรอรถม้า นางต้องรอพีเตอร์มาสมทบ
 
            ผู้รักษาการตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดนั่งคิดเรื่องร่างกายอันบอบบาง นางอยากสู้ต่อด้วยใจหากยังมีความหวั่นกลัวว่าหลังผ่านเรื่องร้ายแรงร่างจะไปต่อไม่ไหว เมื่อเช้าฝ่ายพัฒนาอุปกรณ์เวทมนตร์ส่งของจำพวกปรับสมดุลในร่างกายมาให้ หากใช้ก็จะสามารถฝืนสภาพปวดเกร็งได้หลายนาทีเพื่อยืดเวลาใช้กำลัง มันมีผลกระทบภายหลังแต่พอหักลบกับสิ่งที่ได้แล้วจัดว่าคุ้ม 
 
            บางทีหลังจากนี้อาจต้องศึกษาเรื่องอุปกรณ์เวทมนตร์ขั้นสูง เฟเรซิสถอนหายใจเฮือกใหญ่
 
            “เห็นพวกนั้นว่าเจ็บหนักแต่มองยังไงก็ปกติดีนี่” เสียงของพีเตอร์เรียกหญิงสาวให้ละจากจานอาหาร ชายหนุ่มสวมชุดสมบุกสมบันทว่ามีรอยยิ้มเหมือนทุกครั้ง นางยกมือทักทายโดยไม่เผลอพูดออกมา
 
            หญิงสาวยังทานอาหารไม่เสร็จพีเตอร์จึงนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มถามตามปกตินิสัยว่าเหตุใดนางไม่ทานมื้อเช้าก่อนมาจากศูนย์กลาง 
 
            “โดนลากไปเข้างานตอนกำลังนั่งรอในร้านอาหาร” หญิงสาวประท้วงว่าบทจะเร่งทุกคนก็เร่งราวกับฟ้าถล่มจนลืมมารยาทเบื้องต้น “ถ้าทำอาหารง่ายๆที่ห้องเหมือนทุกวันคงรอด แต่คราวนี้อาจไม่กลับในหลายวันหากปล่อยของเหลือไว้จะเน่าคาครัว”
 
            “อย่างนั้นก็เอาให้เสร็จก่อน ถ้าไปเจอพวกนั้นอาจต้องทนหิวต่ออีก” ชายหนุ่มยอมให้นางกินต่ออย่างสงบ “เห็นว่าอยากไปอยู่ที่เกียนหรือ...ก็เหมือนเมืองนี้ล่ะแต่มีคนหนุ่มสาวเยอะหน่อย เหมือนกันตรงที่ทุกคนถูกสุมหัวด้วยความคิดเก่าแก่ไร้พัฒนาการ พวกเราก้าวเดินไปข้างหน้าแต่ยังหมกกับความเชื่อและพิธีกรรมล้าหลัง บางอย่างก็เป็นรากที่ดีแต่บางอย่างควรเลิกอย่างศักดินาในตระกูล การทำน้ำสาบานเมื่อคนจากสองสายมาดองหรือแค่เป็นเพื่อน การวัดอำนาจแข่งบุคลากรระหว่างกลุ่มสาย เหมือนม่านลวงตาของเทพีจะกั้นความเจริญจากภายนอกเข้ามาด้วยอย่างนั้นล่ะ”
 
            เฟเรซิสไม่สามารถโต้ตอบได้เนื่องจากมีเส้นกับน้ำซอสในปาก นางเชื่อว่าหากอยากได้ความจริงต้องฟังจากคนในไม่ใช่คนนอกไปเช้าเย็นกลับ พีเตอร์ได้โอกาสก็เล่าถึงเรื่องวีกรรมของพวกเขาซึ่งพอลไลน์อยู่ในกลุ่มเช่นกัน หญิงสาวสามารถร่วมมือด้วยได้แต่เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด
 
            “ไม่ใช่ว่าไม่มีคนพยายามอย่างเรานะ เหมือนทั้งเมืองชอบวิถีเก่ามากกว่าแม้จะได้เห็นภายนอกอาณาเขตแล้ว เรื่องใหม่ๆเข้ามาเหมือนเทน้ำหวานลงทะเล มันละลายเข้าด้วยกันแต่ไม่ยอมมีรสหวานสักที พอลไลน์คิดลองล้างสมองเด็กรุ่นใหม่ที่เข้าเรียนเวทมนตร์ในเมือง พวกสูงวัยเห็นอย่างนั้นก็แค่พยักหน้าบอกให้ทำอย่างเต็มที่ ปกติจะต้องห้ามใช่ไหม”
 
            หญิงสาวคิดว่าเมืองเกียนจากมุมมองของพีเตอร์นั้นพิลึก แต่ถ้าถามความเห็นเกี่ยวกับศูนย์กลางจากเขาก็คงได้คำตอบไม่ต่างกันเท่าไรนัก แทนที่จะกินของหวานต่อนางขอหยุดแค่นี้แล้วจ่ายเงิน หากปล่อยนานไปอีกฝ่ายอาจพูดโน่นนี่จนติดพันไม่ได้งานตามหวัง
 
            ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบพาเฟเรซิสไปจุดรวมพลทันที ชานเมืองทางทิศซึ่งพีเตอร์จะนำไปเกิดพายุเพลิงสูงเสียดฟ้าแข่งแสงตะวันยามเช้า ทุกสายตาในเมืองจับจ้องเหตุประหลาดว่ามีสาเหตุจากอะไร ชายหนุ่มหลุดคำหยาบตามความเคยชินว่าเหตุนี้เองพวกวิเรียนจึงอยากเร่งหญิงสาวให้มาเร็วๆ
 
            “หมอนั่นว่าจะเจรจาก่อนค่อยใช้กำลัง คิดว่าอย่างเก่งคงเกือบเที่ยง ไม่คิดว่าจะเร็วแบบนี้!” พีเตอร์ร้อนใจว่าการปะทะมาก่อนกำหนดการ เฟเรซิสจะเรียกปีกขึ้นมาบินไปดูแต่พีเตอร์บอกให้หยุด “ตอนนี้ออกแรงมากได้แค่เวลาสั้นๆดังนั้นเดินไปดูดีกว่า คงไม่อยากหมดเปลืองพลังงานกับสิ่งไร้สาระหรอก นั่นอาจเป็นพวกอื่นก็ได้”
 
            ในเมื่อไม่สามารถบินก็ต้องสาวเท้าไปอย่างเร่งรีบ หญิงสาวร้อนใจจนลืมไปว่าต้องพักบ้าง ยิ่งเสียงต่อสู้กับแผ่นดินเคลื่อนตัวดังสนั่นยิ่งเรียกให้ไปเร็วขึ้น นางไม่รู้ว่าใครกำลังเดือดร้อนอยู่แต่ต้องเป็นพวกเดียวกันแน่นอน และหน้าที่ของนางคือเป็นผู้ช่วยเหลือ!
 
            “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ข้าเป็นห่วงชาวบ้านไม่ใช่หมอนั่น เราอยากให้เขาตายแต่ต้องได้ความจริงมาก่อน!” พีเตอร์แสดงความกังวลทางน้ำเสียง เฟเรซิสรู้ได้ทันทีว่ากำลังจะได้พบใคร “นั่นล่ะ จะเป็นใครไม่ได้นอกจากตัวปัญหาของเราทั้งหมด!”
 
            หญิงสาวนึกสงสัยว่าวิเรียนทำอย่างไรให้ผู้ล่าอย่างพวกพอลไลน์กับเป้าหมายอย่างโทนาชมาจับมือกัน ราวกับมีเส้นแบ่งระหว่างหัวกะทิกับคนธรรมดาขวางเอาไว้ทำให้ไม่สามารถเลียนแบบได้ ครั้นจะอ้าปากถามรายละเอียดเจ้าตัวก็สำแดงฤทธิ์ให้เห็นอีก ความร้อนสูงท่วมท้นบ้านเรือนรอบด้านดุจคลื่นไฟยักษ์ เสียงชาวบ้านกับอาคารกำลังพังทลายดังระงม!
 
            “ต้องไปช่วยคนก่อน!” พีเตอร์ทิ้งเฟเรซิสไปช่วยคนจากพายุความร้อนสูง 
 
            เฟเรซิสไม่คิดปิดบังตัวจริงอีกต่อไป หากวิเรียนอยู่ตรงนั้นด้วยคงโดนเอ็ดว่าไร้หัวคิด! นางถอดเสื้อคลุมปลดกระเป๋าสัมภาระไว้ข้างอาคารข้างๆแล้วเรียกปีกออกมา เพียงกระโจนครั้งเดียวหญิงสาวก็ขึ้นไปยืนบนหลังคาอย่างเก้ๆกังๆเพราะฝืนทำ มันเป็นหนึ่งในรายการสิ่งที่อยากทำสักครั้งก่อนตายแต่หาเหตุผลให้ดูเหมือนเด็กหัดบินไม่ได้จนบัดนี้ ยิ่งสูงยิ่งมองเห็นได้ไกลเสมอ!
 
            เวทมนตร์จากปีกส่งผลกับกล้ามเนื้ออย่างที่พอลไลน์แนะนำ ราวกับความเหนื่อยถูกชะลอให้ช้าลงแต่หากทำต่อเนื่องสายรั้งคงขาดแน่! หลังผ่าตัดหญิงสาวคิดถึงวันเวลาแห่งการโบยบินของปีกสีขาวตลอด นางจะทำให้ดีที่สุดจนถึงการบินครั้งสุดท้าย!
 
            ศูนย์กลางการปะทะอยู่ไกลสักสี่ช่วงอาคาร มีคนอยู่กลางเขตสวนหย่อมกลางเมืองกำลังต่อสู้กันด้วยเวทมนตร์เห็นเพียงแสงวูบวาบ บางอย่างในความร้อนบอกว่าหนึ่งในนั้นคือโทนาช หากนางกระโจนขึ้นไปบนหลังคาบ้านหลังใกล้ๆอาจไปถึงเร็วว่าเดินบนพื้น อีกทั้งสามารถทดสอบการใช้เวทมนตร์พร้อมใช้กำลังมากด้วย คำเตือนของพอลไลน์ดังขึ้นแต่ถูกปัดตกทันที 
 
            “จะต้องมีสติตอนใช้ เวทมนตร์สายฟื้นฟูไม่ใช่แค่รักษา มันเพิ่มประสิทธิภาพร่างกายในระยะเวลาสั้นๆ นั่นทำให้พละกำลังมากขึ้นในขณะที่ส่งผลกระทบคล้ายยาเสพติด หากใช้มากเกินไปจะหยุดใช้ไม่ได้อีก เจ้าจะมั่นใจเกินไปและเมื่อไม่มีเวทมนตร์หล่อเลี้ยงก็จะสิ้นแรง! นั่นทำให้เราไม่นิยมรักษาตัวจนหายดีด้วยวิธีนี้”
 
            เฟเรซิสควบคุมตนเองได้เสมอ นางยอมรับว่าบางครั้งอาจพลาดบ้างเพราะความอยากรู้อยากเห็นแต่โดยรวมแล้วนางต่อต้านสิ่งยั่วยวนได้ดีระดับหนึ่ง ดูอย่างเรื่องการเที่ยวกับผู้ชายนั่นปะไร หากเป็นคนอื่นคงยอมกันถึงไหนต่อไหนแล้ว แม้แต่โทนาชยังเคยตั้งข้อสงสัยว่านางตอบปฏิเสธเรื่องนี้หลายสิบครั้งได้อย่างไร
 
            หญิงสาวส่งการฟื้นฟูจากปีกสู่ขาทั้งสองข้างเพื่อกระโจนถึงหลังคาบ้านหลังอื่นในครั้งเดียว คราวนี้ทั้งขาและปีกร้อนเหมือนอยู่หน้าเตาผิง แม้ต้องพักสักนาทีแต่คุ้มกับการทดลองว่าทำได้จริงหรือไม่
 
            นางกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสายลมในวินาทีนั้น จากเดิมเร็วอยู่แล้วเพราะมีปีกช่วยขับเคลื่อนก็เร็วขึ้นอีกเหมือนใช้มนตร์เคลื่อนย้าย พริบตาเดียวหญิงสาวพลันพบว่าตนพุ่งเลยจุดหมายลงไปหาต้นไม้ใกล้ๆกัน! โชคดีมันมีใบหนาและกิ่งมากมายช่วยรองรับไม่ให้เจ็บหนักจนถึงพื้นดิน กระนั้นก็จุกจนทำอะไรแผลงๆทันทีไม่ได้
 
            “ไม่เหมือนอย่างที่บอกไว้เลย มันดีกว่าตั้งหลายเท่า!” เฟเรซิสตรวจเบื้องต้นว่าไม่มีกระดูกชิ้นใดหัก เสียงระเบิดทำให้นางไม่อยากเสียเวลานั่งพักต้องเดินไปในสภาพโขยกเขยก  
 
            หญิงสาวฟื้นตัวเล็กน้อยจากการซื้อเครื่องดื่มในร้านเหล้าเล็กๆ เรื่องรุนแรงดังกล่าวไม่ถึงขนาดต้องอพยพแค่ให้คนไปหลบในอาคารบ้านเรือนเพื่อป้องกันตัวก็เพียงพอ บ้านหลายหลังถล่มลงมาเพราะลูกหลงแต่พีเตอร์กับพวกทหารก็ไปช่วยแล้ว
 
(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่