ตอนที่ 4 : การปฏิวัติครั้งสุดท้าย
เรื่องราวก็ดำเนินมาถึงตอนที่ 4 อันเป็นตอนสุดท้ายของซีรี่ย์แยงกี้พระนายกองของเราแล้ว หากท่านต้องการรับชมเรื่องราวความเป็นมาของเขาสามารถอ่านย้อนหลังได้ตามนี้ครับ
ตอนที่ 1 :
https://www.facebook.com/103698488387311/posts/223205633103262/?d=n
ตอนที่ 2 :
https://www.facebook.com/103698488387311/posts/226032256153933/?d=n
ตอนที่ 3 :
https://www.facebook.com/103698488387311/posts/253378613419297/?d=n
ในตอนนี้จะเป็นตอนจบของเรื่องราวในชีวิตของบิลลี่ มอร์แกนทั้งหมด หลังจากที่เขาได้ผ่านเรื่องราวมามากมายในชีวิต ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อมายังต่างแดนเพื่อทำตามอุดมการณ์ และตามความฝัน
แต่แล้วชีวิตเขาก็ต้องมาเผชิญกับจุดพลิกผัน ที่ทำให้ชีวิตของเขากำลังมุ่งไปสู่จุดจบโดยฝีมือของคนที่เขาเคยเรียกว่าเพื่อนแท้ แล้วชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวเรามาติดตามไปพร้อมๆกันเลยครับ

1.ความเดิมตอนที่แล้ว
ความเดิมตอนที่แล้ว เมื่อฟิเดลเริ่มมีสัญญานว่าจะไม่ทำตามคำมั่นที่ให้กับบิลลี่ และสหายร่วมรบ พวกเขารู้สึกเหมือนว่าถูกหักหลัง บางคนก็กลับเข้าป่าอีกครั้งเข้าไปจับอาวุธลุกขึ้นสู้เพื่อขับไล่ฟิเดล
รัฐบาลปล่อยให้พวกนั้นขึ้นเขาเอสคัมเบรย์ไปโดยไม่ขัดขวาง เพื่อที่เขาจะได้ใช้วิธีปิดล้อมและไล่จับในที่สุด จนสุดท้ายมีสหายคนหนึ่งของบิลลี่ถูกจับได้ และนำตัวไปขังไว้ที่ค่ายทหารลา คาบาน่า บิลลี่จึงรีบไปพบเขา
2.การปฏิวัติครั้งสุดท้าย
เมื่อบิลลี่ไปถึง เขาก็เอ่ยปากกับทหารยามว่าขอพบเพื่อนเก่าคนนี้หน่อย ทหารยามรักษาการณ์ไม่อนุญาต บิลลี่หน้าแดงด้วยความโกรธ เขาคำรามดังออกมา “นี่กู แยงกี้คอมมันดันเต้นะโว่ย ปล่อยเพื่อนกูออกมา!!!”
เพียงเท่านั้นแหละ ทหารยามก็ปล่อยตัวเพื่อนของเขาออกมา ซึ่งในภายหลังเพื่อนคณะปฏิวัติหลายคนก็ออกมาเตือนเขาว่า เอ็งทำอย่างนี้ ระวังตัวหน่อยนะ ฟิเดลไม่เอาเอ็งไว้แน่
ต่อมาเมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าฟิเดลเอาใจเข้าหาโซเวียต และกระชับอำนาจเอาไว้ โดยไม่มีทีท่าจะจัดการเลือกตั้งแน่นอน เขาก็รู้สึกเหมือนคนใจสลาย โดยหันหลังให้กับฟิเดลและเข้าร่วมกบฏไม่ว่าจะเป็นการคอยส่งกำลังบำรุงหรือส่งอาวุธให้อย่างลับๆ
ฝ่ายกบฎประกอบไปด้วยบรรดาชาวคิวบาลี้ภัยจากอเมริกา ทหารรับจ้าง และบรรดากลุ่มนักปฏิวัติเก่าที่ผิดหวังกับฟิเดล พวกเขาต่อสู้กับรัฐบาลจนร่นถอยมายึดเขาเอสครัมเบรย์เป็นฐานที่มั่น โดยหารู้ไม่ว่ารัฐบาลได้วางแผนไว้แล้วว่าจะโจมตีจากทุกทิศทุกทาง
3.จุดเริ่มต้นของจุดจบ
การสู้รบของกลุ่มกบฎเอสคัมเบรย์ดำเนินต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรัฐบาลคณะปฏิวัติสามารถจับกุมตัวฝ่ายตรงข้ามได้ รวมไปถึงเพื่อนของบิลลี่ที่เขาเคยช่วยเหลือ รวมกบฎที่ถูกจับในตอนนั้นก็ราวๆ หลายร้อยคนด้วยกัน
สถานการณ์ต่างๆ เริ่มเลวร้ายมากยิ่งขึ้น บิลลี่ โดยลอบโจมตีและก่อกวนทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย เขาจึงย้ายเข้ามายังเซฟเฮาส์ในกรุงฮาวานา โดยมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา โดยไม่คิดว่ารัฐบาลจะล่วงรู้ถึงการแอบช่วยเหลือกลุ่มกบฎ
แล้ววันหนึ่งเขาก็ถูกเรียกตัวไปยังสำนักงานการปฏิรูปการเกษตรแห่งชาติ โดยคิดว่าคงจะพูดคุยกันเรื่องฟาร์มกบของเขา เมื่อปรากฏบิลลี่ไม่ได้กลับบ้านในวันนั้น โอลก้ารู้ได้โดยสัญชาตญานว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาแน่ เพราะปกติเขากลับตรงเวลา
เมื่อโอลก้ากำลังจะออกไปหาเขา ก็มีทหารนำทางไปหาบิลลี่ พอไปถึงที่หมายโอลก้าก็ลมแทบจับ เมื่อเธอพบว่าเขาถูกจับและโดนตั้งข้อหาร้ายแรง ทหารพาเธอไปยังที่ควบคุมตัวบิลลี่ ซึ่งเขาถูกคุมตัวพร้อมกับสหายที่เขาเคยขอให้ทหารปล่อยตัว
4.ความผิดที่ไม่ได้ก่อ?
บิลลี่ถูกตั้งข้อหาว่าสมรู้ร่วมคิดโดยเป็นสายลับให้กับชาติศัตรู เขาปฏิเสธตลอดว่าไม่เคยคิดทรยศหรือเป็นสายให้กับอเมริกาเลย แถมเขาเองยังถูกถอดสัญชาติอีกต่างหาก ในที่สุดจากแยงกี้พระนายกองขุนศึกคู่ใจของฟิเดล ก็กลายเป็นศัตรูแห่งชาติไป
เกียรติยศต่างๆ ของเขาถูกถอด บิลลี่กลายเป็นคนที่อเมริกาก็ไม่ต้องการ คิวบาก็ไม่อยากได้ เขากำลังตกที่นั่งลำบากแม่ของเขาเมื่อได้รับทราบข่าวก็พยายามวิ่งเต้นเพื่อหาทางให้รัฐบาลอเมริกาช่วยเหลือ ซ้ำร้าย โอลก้าก็ถูกจับในข้อหาสมคบคิดด้วยกับเขา
แม้จะโดนตั้งข้อหาว่าเป็นสายลับให้กับรัฐบาลสหรัฐ แต่ทว่ารายงานของซีไอเอ และเอฟบีไอต่างยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า แม้จะเคยให้ความสนใจที่จะใช้บิลลี่เป็นสายลับ แต่ก็ไม่สำเร็จ อีกทั้งหลังจากเหตุการณ์ที่ทำแสบไว้เมื่อครั้งก่อน เขาเลยไม่เคยถูกติดต่อให้ทำงานอีกเลย
5.วันพิพากษา
เมื่อถึงเดือนมีนาปี 1961 หลังจากถูกขังเป็นเวลานาน แยงกี้พระนายกองก็ถูกขึ้นพิจารณาคดี มีคนให้การมากมายรวมถึงผู้อำนวยการสำนักงานต่อต้านข่าวกรอง ออกมาระบุว่าบิลลี่เป็นสายให้อเมริกาจริง
บิลลี่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แถมทนายของเขาก็มัวทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้และเพิ่งมารู้ข้อหาที่ถูกฟ้อง การพิจารณาถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็วใช้เวลาเพียงวันเศษๆ ศาลก็มีคำตัดสินให้ลงโทษประหารโดยการยิงเป้าฐานเป็นศัตรูต่อชาติตนเอง
เมื่อถึงเวลาประหาร บิลลี่ ก็ถูกพาตัวไปยังกำแพงค่ายลา คาบาน่า ที่เก่าแก่ที่ถูกสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ในช่วงที่สเปนปกครอง รอยเลือดที่สาดกระเซ็นที่เกิดหลังจากการยิงเป้าเพื่อนของเขาคนที่บิลลี่เคยขอให้ปล่อยตัวไม่ทันแห้งดีเขาก็ถูกนำตัวให้มายืนตรงนั้น
6.คำขอสุดท้าย
ก่อนที่จะเริ่มพิธีการประหาร บิลลี่ขอติดต่อแม่ของเขา แต่ก็ถูกปฏิเสธ แล้วก็ขอพบกับโอลก้าอีก ก็ถูกปฏิเสธเช่นกันเขาจึงขอเขียนจดหมายโดยเขารู้ว่าจดหมายต้องถูกเซนเซอร์ก่อนแน่นอนเขาจึงเขียนโดยระมัดระวัง
แต่เนื้อความนั้นก็มีพาดพิงไปโดนฟิเดลอยู่บ้างโดยมีอยู่ว่า “ไม่มีใครที่มีสิทธิที่จะยัดเยียดความเชื่อของเขาให้ผู้อื่นผมรู้สึกเสียใจสำหรับคนที่กล่าวหาผม พวกเขากล่าวหาผมด้วยความกลัวและความอคติ โดยหารู้ไม่ว่าความดีนั้นมันไม่เคยมาจากความชั่วร้าย
หนทางแห่งอิสรภาพเป็นไปด้วยความยากลำบากและต้องแลกมาด้วยเลือด เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีชีวิตที่ดีกว่า การกระทำของเราในวันนี้จะถูกตัดสินโดยคนที่มีชีวิตอยู่ในวันข้างหน้า แม้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่ได้ทำ แต่สุดท้ายทุกคนจะได้รับผลกรรมจากสิ่งที่ตนทำ”
7.อวสานแยงกี้พระนายกอง
“เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง” เสียงปืนดังขึ้นสี่นัดเป็นการลั่นใส่ร่างของบิลลี่ ปิดฉากตำนานแยงกี้พระนายกอง ทหารจากต่างชาติที่แม้จะเป็นชาวอเมริกันแต่เขาก็นับว่าเป็นชาวคิวบาเสียยิ่งกว่าชาวคิวบาบางคน
เมโนโยเล่าในภายหลังว่า “บิลลี่ไม่เคยทรยศเลยสักครั้ง ไม่เหมือนใครบางคนที่ปากพร่ำบอกเสมอว่าจะเป็นประชาธิปไตยแต่กลับไปเป็นคอมมิวนิสต์ บิลลี่จะอยู่ในใจผมตลอด เขาจะเป็นพี่น้องผมตลอดไป”
ท้ายสุดเมโนโยก็นำทัพพวกต่อต้านรัฐบาล แต่ก็ไม่สำเร็จสักที ส่วนโอลก้าก็ถูกลงโทษจำคุก 30 ปี พอผ่านไป 10 ปีเธอก็ถูกปล่อยตัว โดยช่วงที่ถูกขังนั้น ลูกของเธอก็ถูกครูในโรงเรียนสอนว่าพ่อแม่ของเธอคือผู้ทรยศ ทำเอาเธอตายทั้งเป็น
หลังจากถูกปล่อยตัวเธอก็ลี้ภัยไปใช้ชีวิตกับแม่สามีของเธอที่อเมริกา และคอยสนับสนุนกลุ่มต่อต้านมาตลอดจนถึงทุกวันนี้
8.จุดจบที่นำไปสู่จุดเริ่มต้นของยุคมืด
หลังจากที่ประหารแยงกี้พระนายกองไปเรียบร้อย สหรัฐก็สั่งยกพลขึ้นบกที่เบย์ออฟพิก เมื่อเสร็จจากการรบครั้งนั้นฟิเดล คาสโตรก็ประกาศในที่สุดว่าตนเป็นสังคมนิยม และหันเข้าหาโซเวียตเต็มตัว
ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าใครที่รู้จักฟิเดลก็จะรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นนักสังคมนิยม แต่เป็นเผด็จการที่หวงอำนาจ ที่ใช้ระบบอะไรก็ได้ที่ยังรักษาอำนาจของตนไว้ พวกอดีตคณะปฏิวัติก็ถูกจับบ้าง ถูกฆ่าบ้าง ทั้งที่เป็นเพื่อนร่วมรบกันมา ไม่เว้นแม้กระทั่งเชเกบาราเพื่อนรัก
แม้เชจะไม่ได้ถูกฆ่าหรือถูกขัง แต่เมื่อเขาเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ฟิเดล เชก็ถูกถอดออกจากทุกตำแหน่ง และกลายเป็นคนไร้ตัวตนในสายตาฟิเดล จนท้ายที่สุดเขาก็ต้องไปตายที่โบลิเวียอย่างน่าอนาถเพื่ออุดมการณ์ของตน รวมไปถึงคนอื่นๆที่คิดจะต่อกรกับฟิเดล แถมเขายังเข่นฆ่าศัตรูทางการเมืองนับครั้งไม่ถ้วน
อย่างไรก็ตามฟิเดลก็ครอบครองประเทศได้นานกว่า 50 ปี ก่อนที่จะโอนอำนาจให้กับราอูลน้องชายในปี 2011 ในระหว่างที่ครองบัลลังก์นั้นว่ากันว่าเขาถูกลอบสังหารหลายร้อยครั้ง แม้จะเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง แต่ชีวิตเขาก็อยู่อย่างไม่เคยเป็นสุข ต้องอยู่อย่างระวังก่อนที่จะเสียชีวิตลงในปี 2016
9.บทส่งท้าย
คงจะกล่าวได้ว่ามันช่างเป็นจุดจบที่น่าเศร้าของใครสักคนที่เสียสละเพื่อชาติที่ตนรักอย่างแท้จริงแม้ไม่ใช่ชาติกำเนิดก็ตาม จากคนที่อยากจะมีจุดยืนในสังคม ในที่ที่เขามีตัวตน และบิลลี่ก็ทำสำเร็จแล้วแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม
แต่แล้วในท้ายที่สุดก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขายชาติ มันช่างเจ็บปวดที่กัดกินเข้าไปในห้วงลึกของจิตใจของใครก็ตามที่โดนกล่าวหา แต่เรื่องนี้ก็เป็นบทเรียนที่ทำให้เรารู้ว่าแท้ที่จริงใครทำเพื่อชาติและใครเป็นศัตรูของชาติอย่างแท้จริง
อย่างที่บิลลี่ได้เขียนจดหมายเอาไว้ ว่าท้ายที่สุดผลของการกระทำในบั้นปลายมันก็จะถูกตัดสินในที่สุด ความจริงทั้งหลายก็ปรากฏขึ้นว่าเขานั้นถูกปรักปรำ แม้มันจะนานกว่าความจริงจะปรากฏ แต่ความจริงก็คือความจริง ถึงมันจะถูกปิดบังมานานก็ตาม
หากบิลลี่จะทำอะไรผิด ก็คงจะเป็นความผิดจากการที่เขาเชื่อมั่นความจริงใจจากคนหลอกลวง คนที่ไม่เคยพูดความจริงและต้องคอยสร้างเรื่องโกหกอยู่เรื่อยไป เป็นอันปิดฉากเรื่องราวตำนานของแยงกี้พระนายกอง ขอขอบคุณที่ร่วมติดตามมาจนถึงตอนสุดท้ายครับ
หากใครอยากติดตามเรื่องราวของคนอื่นๆเพิ่มเติม เชิญรับชมได้ที่เพจ Someone in History : ใครสักคนในประวัติศาสตร์ได้เลยนะครับ
https://www.facebook.com/someoneinhistory/
Cr :
https://wwwดอตnewyorkerดอตcom/magazine/2012/05/28/the-yankee-comandante
https://enดอตmดอตwikipediaดอตorg/wiki/William_Alexander_Morgan
https://wwwดอตbuzzfeednewsดอตcom/article/mikesallah/adam-driver-yankee-comandante-william-morgan-cuba
แยงกี้พระนายกอง : ทหารเอกมะริกันของฟิเดล คาสโตร ตอนที่ 4 : การปฏิวัติครั้งสุดท้าย
เรื่องราวก็ดำเนินมาถึงตอนที่ 4 อันเป็นตอนสุดท้ายของซีรี่ย์แยงกี้พระนายกองของเราแล้ว หากท่านต้องการรับชมเรื่องราวความเป็นมาของเขาสามารถอ่านย้อนหลังได้ตามนี้ครับ
ตอนที่ 1 : https://www.facebook.com/103698488387311/posts/223205633103262/?d=n
ตอนที่ 2 : https://www.facebook.com/103698488387311/posts/226032256153933/?d=n
ตอนที่ 3 : https://www.facebook.com/103698488387311/posts/253378613419297/?d=n
ในตอนนี้จะเป็นตอนจบของเรื่องราวในชีวิตของบิลลี่ มอร์แกนทั้งหมด หลังจากที่เขาได้ผ่านเรื่องราวมามากมายในชีวิต ต้องพลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อมายังต่างแดนเพื่อทำตามอุดมการณ์ และตามความฝัน
แต่แล้วชีวิตเขาก็ต้องมาเผชิญกับจุดพลิกผัน ที่ทำให้ชีวิตของเขากำลังมุ่งไปสู่จุดจบโดยฝีมือของคนที่เขาเคยเรียกว่าเพื่อนแท้ แล้วชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวเรามาติดตามไปพร้อมๆกันเลยครับ
1.ความเดิมตอนที่แล้ว
ความเดิมตอนที่แล้ว เมื่อฟิเดลเริ่มมีสัญญานว่าจะไม่ทำตามคำมั่นที่ให้กับบิลลี่ และสหายร่วมรบ พวกเขารู้สึกเหมือนว่าถูกหักหลัง บางคนก็กลับเข้าป่าอีกครั้งเข้าไปจับอาวุธลุกขึ้นสู้เพื่อขับไล่ฟิเดล
รัฐบาลปล่อยให้พวกนั้นขึ้นเขาเอสคัมเบรย์ไปโดยไม่ขัดขวาง เพื่อที่เขาจะได้ใช้วิธีปิดล้อมและไล่จับในที่สุด จนสุดท้ายมีสหายคนหนึ่งของบิลลี่ถูกจับได้ และนำตัวไปขังไว้ที่ค่ายทหารลา คาบาน่า บิลลี่จึงรีบไปพบเขา
2.การปฏิวัติครั้งสุดท้าย
เมื่อบิลลี่ไปถึง เขาก็เอ่ยปากกับทหารยามว่าขอพบเพื่อนเก่าคนนี้หน่อย ทหารยามรักษาการณ์ไม่อนุญาต บิลลี่หน้าแดงด้วยความโกรธ เขาคำรามดังออกมา “นี่กู แยงกี้คอมมันดันเต้นะโว่ย ปล่อยเพื่อนกูออกมา!!!”
เพียงเท่านั้นแหละ ทหารยามก็ปล่อยตัวเพื่อนของเขาออกมา ซึ่งในภายหลังเพื่อนคณะปฏิวัติหลายคนก็ออกมาเตือนเขาว่า เอ็งทำอย่างนี้ ระวังตัวหน่อยนะ ฟิเดลไม่เอาเอ็งไว้แน่
ต่อมาเมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าฟิเดลเอาใจเข้าหาโซเวียต และกระชับอำนาจเอาไว้ โดยไม่มีทีท่าจะจัดการเลือกตั้งแน่นอน เขาก็รู้สึกเหมือนคนใจสลาย โดยหันหลังให้กับฟิเดลและเข้าร่วมกบฏไม่ว่าจะเป็นการคอยส่งกำลังบำรุงหรือส่งอาวุธให้อย่างลับๆ
ฝ่ายกบฎประกอบไปด้วยบรรดาชาวคิวบาลี้ภัยจากอเมริกา ทหารรับจ้าง และบรรดากลุ่มนักปฏิวัติเก่าที่ผิดหวังกับฟิเดล พวกเขาต่อสู้กับรัฐบาลจนร่นถอยมายึดเขาเอสครัมเบรย์เป็นฐานที่มั่น โดยหารู้ไม่ว่ารัฐบาลได้วางแผนไว้แล้วว่าจะโจมตีจากทุกทิศทุกทาง
3.จุดเริ่มต้นของจุดจบ
การสู้รบของกลุ่มกบฎเอสคัมเบรย์ดำเนินต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรัฐบาลคณะปฏิวัติสามารถจับกุมตัวฝ่ายตรงข้ามได้ รวมไปถึงเพื่อนของบิลลี่ที่เขาเคยช่วยเหลือ รวมกบฎที่ถูกจับในตอนนั้นก็ราวๆ หลายร้อยคนด้วยกัน
สถานการณ์ต่างๆ เริ่มเลวร้ายมากยิ่งขึ้น บิลลี่ โดยลอบโจมตีและก่อกวนทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย เขาจึงย้ายเข้ามายังเซฟเฮาส์ในกรุงฮาวานา โดยมีทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา โดยไม่คิดว่ารัฐบาลจะล่วงรู้ถึงการแอบช่วยเหลือกลุ่มกบฎ
แล้ววันหนึ่งเขาก็ถูกเรียกตัวไปยังสำนักงานการปฏิรูปการเกษตรแห่งชาติ โดยคิดว่าคงจะพูดคุยกันเรื่องฟาร์มกบของเขา เมื่อปรากฏบิลลี่ไม่ได้กลับบ้านในวันนั้น โอลก้ารู้ได้โดยสัญชาตญานว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาแน่ เพราะปกติเขากลับตรงเวลา
เมื่อโอลก้ากำลังจะออกไปหาเขา ก็มีทหารนำทางไปหาบิลลี่ พอไปถึงที่หมายโอลก้าก็ลมแทบจับ เมื่อเธอพบว่าเขาถูกจับและโดนตั้งข้อหาร้ายแรง ทหารพาเธอไปยังที่ควบคุมตัวบิลลี่ ซึ่งเขาถูกคุมตัวพร้อมกับสหายที่เขาเคยขอให้ทหารปล่อยตัว
4.ความผิดที่ไม่ได้ก่อ?
บิลลี่ถูกตั้งข้อหาว่าสมรู้ร่วมคิดโดยเป็นสายลับให้กับชาติศัตรู เขาปฏิเสธตลอดว่าไม่เคยคิดทรยศหรือเป็นสายให้กับอเมริกาเลย แถมเขาเองยังถูกถอดสัญชาติอีกต่างหาก ในที่สุดจากแยงกี้พระนายกองขุนศึกคู่ใจของฟิเดล ก็กลายเป็นศัตรูแห่งชาติไป
เกียรติยศต่างๆ ของเขาถูกถอด บิลลี่กลายเป็นคนที่อเมริกาก็ไม่ต้องการ คิวบาก็ไม่อยากได้ เขากำลังตกที่นั่งลำบากแม่ของเขาเมื่อได้รับทราบข่าวก็พยายามวิ่งเต้นเพื่อหาทางให้รัฐบาลอเมริกาช่วยเหลือ ซ้ำร้าย โอลก้าก็ถูกจับในข้อหาสมคบคิดด้วยกับเขา
แม้จะโดนตั้งข้อหาว่าเป็นสายลับให้กับรัฐบาลสหรัฐ แต่ทว่ารายงานของซีไอเอ และเอฟบีไอต่างยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า แม้จะเคยให้ความสนใจที่จะใช้บิลลี่เป็นสายลับ แต่ก็ไม่สำเร็จ อีกทั้งหลังจากเหตุการณ์ที่ทำแสบไว้เมื่อครั้งก่อน เขาเลยไม่เคยถูกติดต่อให้ทำงานอีกเลย
5.วันพิพากษา
เมื่อถึงเดือนมีนาปี 1961 หลังจากถูกขังเป็นเวลานาน แยงกี้พระนายกองก็ถูกขึ้นพิจารณาคดี มีคนให้การมากมายรวมถึงผู้อำนวยการสำนักงานต่อต้านข่าวกรอง ออกมาระบุว่าบิลลี่เป็นสายให้อเมริกาจริง
บิลลี่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แถมทนายของเขาก็มัวทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้และเพิ่งมารู้ข้อหาที่ถูกฟ้อง การพิจารณาถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็วใช้เวลาเพียงวันเศษๆ ศาลก็มีคำตัดสินให้ลงโทษประหารโดยการยิงเป้าฐานเป็นศัตรูต่อชาติตนเอง
เมื่อถึงเวลาประหาร บิลลี่ ก็ถูกพาตัวไปยังกำแพงค่ายลา คาบาน่า ที่เก่าแก่ที่ถูกสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ในช่วงที่สเปนปกครอง รอยเลือดที่สาดกระเซ็นที่เกิดหลังจากการยิงเป้าเพื่อนของเขาคนที่บิลลี่เคยขอให้ปล่อยตัวไม่ทันแห้งดีเขาก็ถูกนำตัวให้มายืนตรงนั้น
6.คำขอสุดท้าย
ก่อนที่จะเริ่มพิธีการประหาร บิลลี่ขอติดต่อแม่ของเขา แต่ก็ถูกปฏิเสธ แล้วก็ขอพบกับโอลก้าอีก ก็ถูกปฏิเสธเช่นกันเขาจึงขอเขียนจดหมายโดยเขารู้ว่าจดหมายต้องถูกเซนเซอร์ก่อนแน่นอนเขาจึงเขียนโดยระมัดระวัง
แต่เนื้อความนั้นก็มีพาดพิงไปโดนฟิเดลอยู่บ้างโดยมีอยู่ว่า “ไม่มีใครที่มีสิทธิที่จะยัดเยียดความเชื่อของเขาให้ผู้อื่นผมรู้สึกเสียใจสำหรับคนที่กล่าวหาผม พวกเขากล่าวหาผมด้วยความกลัวและความอคติ โดยหารู้ไม่ว่าความดีนั้นมันไม่เคยมาจากความชั่วร้าย
หนทางแห่งอิสรภาพเป็นไปด้วยความยากลำบากและต้องแลกมาด้วยเลือด เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีชีวิตที่ดีกว่า การกระทำของเราในวันนี้จะถูกตัดสินโดยคนที่มีชีวิตอยู่ในวันข้างหน้า แม้สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่ได้ทำ แต่สุดท้ายทุกคนจะได้รับผลกรรมจากสิ่งที่ตนทำ”
7.อวสานแยงกี้พระนายกอง
“เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง” เสียงปืนดังขึ้นสี่นัดเป็นการลั่นใส่ร่างของบิลลี่ ปิดฉากตำนานแยงกี้พระนายกอง ทหารจากต่างชาติที่แม้จะเป็นชาวอเมริกันแต่เขาก็นับว่าเป็นชาวคิวบาเสียยิ่งกว่าชาวคิวบาบางคน
เมโนโยเล่าในภายหลังว่า “บิลลี่ไม่เคยทรยศเลยสักครั้ง ไม่เหมือนใครบางคนที่ปากพร่ำบอกเสมอว่าจะเป็นประชาธิปไตยแต่กลับไปเป็นคอมมิวนิสต์ บิลลี่จะอยู่ในใจผมตลอด เขาจะเป็นพี่น้องผมตลอดไป”
ท้ายสุดเมโนโยก็นำทัพพวกต่อต้านรัฐบาล แต่ก็ไม่สำเร็จสักที ส่วนโอลก้าก็ถูกลงโทษจำคุก 30 ปี พอผ่านไป 10 ปีเธอก็ถูกปล่อยตัว โดยช่วงที่ถูกขังนั้น ลูกของเธอก็ถูกครูในโรงเรียนสอนว่าพ่อแม่ของเธอคือผู้ทรยศ ทำเอาเธอตายทั้งเป็น
หลังจากถูกปล่อยตัวเธอก็ลี้ภัยไปใช้ชีวิตกับแม่สามีของเธอที่อเมริกา และคอยสนับสนุนกลุ่มต่อต้านมาตลอดจนถึงทุกวันนี้
8.จุดจบที่นำไปสู่จุดเริ่มต้นของยุคมืด
หลังจากที่ประหารแยงกี้พระนายกองไปเรียบร้อย สหรัฐก็สั่งยกพลขึ้นบกที่เบย์ออฟพิก เมื่อเสร็จจากการรบครั้งนั้นฟิเดล คาสโตรก็ประกาศในที่สุดว่าตนเป็นสังคมนิยม และหันเข้าหาโซเวียตเต็มตัว
ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าใครที่รู้จักฟิเดลก็จะรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นนักสังคมนิยม แต่เป็นเผด็จการที่หวงอำนาจ ที่ใช้ระบบอะไรก็ได้ที่ยังรักษาอำนาจของตนไว้ พวกอดีตคณะปฏิวัติก็ถูกจับบ้าง ถูกฆ่าบ้าง ทั้งที่เป็นเพื่อนร่วมรบกันมา ไม่เว้นแม้กระทั่งเชเกบาราเพื่อนรัก
แม้เชจะไม่ได้ถูกฆ่าหรือถูกขัง แต่เมื่อเขาเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ฟิเดล เชก็ถูกถอดออกจากทุกตำแหน่ง และกลายเป็นคนไร้ตัวตนในสายตาฟิเดล จนท้ายที่สุดเขาก็ต้องไปตายที่โบลิเวียอย่างน่าอนาถเพื่ออุดมการณ์ของตน รวมไปถึงคนอื่นๆที่คิดจะต่อกรกับฟิเดล แถมเขายังเข่นฆ่าศัตรูทางการเมืองนับครั้งไม่ถ้วน
อย่างไรก็ตามฟิเดลก็ครอบครองประเทศได้นานกว่า 50 ปี ก่อนที่จะโอนอำนาจให้กับราอูลน้องชายในปี 2011 ในระหว่างที่ครองบัลลังก์นั้นว่ากันว่าเขาถูกลอบสังหารหลายร้อยครั้ง แม้จะเอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง แต่ชีวิตเขาก็อยู่อย่างไม่เคยเป็นสุข ต้องอยู่อย่างระวังก่อนที่จะเสียชีวิตลงในปี 2016
9.บทส่งท้าย
คงจะกล่าวได้ว่ามันช่างเป็นจุดจบที่น่าเศร้าของใครสักคนที่เสียสละเพื่อชาติที่ตนรักอย่างแท้จริงแม้ไม่ใช่ชาติกำเนิดก็ตาม จากคนที่อยากจะมีจุดยืนในสังคม ในที่ที่เขามีตัวตน และบิลลี่ก็ทำสำเร็จแล้วแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม
แต่แล้วในท้ายที่สุดก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนขายชาติ มันช่างเจ็บปวดที่กัดกินเข้าไปในห้วงลึกของจิตใจของใครก็ตามที่โดนกล่าวหา แต่เรื่องนี้ก็เป็นบทเรียนที่ทำให้เรารู้ว่าแท้ที่จริงใครทำเพื่อชาติและใครเป็นศัตรูของชาติอย่างแท้จริง
อย่างที่บิลลี่ได้เขียนจดหมายเอาไว้ ว่าท้ายที่สุดผลของการกระทำในบั้นปลายมันก็จะถูกตัดสินในที่สุด ความจริงทั้งหลายก็ปรากฏขึ้นว่าเขานั้นถูกปรักปรำ แม้มันจะนานกว่าความจริงจะปรากฏ แต่ความจริงก็คือความจริง ถึงมันจะถูกปิดบังมานานก็ตาม
หากบิลลี่จะทำอะไรผิด ก็คงจะเป็นความผิดจากการที่เขาเชื่อมั่นความจริงใจจากคนหลอกลวง คนที่ไม่เคยพูดความจริงและต้องคอยสร้างเรื่องโกหกอยู่เรื่อยไป เป็นอันปิดฉากเรื่องราวตำนานของแยงกี้พระนายกอง ขอขอบคุณที่ร่วมติดตามมาจนถึงตอนสุดท้ายครับ
หากใครอยากติดตามเรื่องราวของคนอื่นๆเพิ่มเติม เชิญรับชมได้ที่เพจ Someone in History : ใครสักคนในประวัติศาสตร์ได้เลยนะครับ
https://www.facebook.com/someoneinhistory/
Cr : https://wwwดอตnewyorkerดอตcom/magazine/2012/05/28/the-yankee-comandante
https://enดอตmดอตwikipediaดอตorg/wiki/William_Alexander_Morgan
https://wwwดอตbuzzfeednewsดอตcom/article/mikesallah/adam-driver-yankee-comandante-william-morgan-cuba