💛มาลาริน/สุดยอดการเยียวยา วันแรก'แท็กซี่-มอเตอร์ไซค์'รับจ้างแห่รับสิทธิเยียวยา 1.3 พันคน/คนละครึ่งเงินสะพัด 1.1 แสนล้าน

เพี้ยนดีออกวันแรก'แท็กซี่-มอเตอร์ไซค์'รับจ้างแห่รับสิทธิเยียวยาโควิด 1.3 พันคน
25 ตุลาคม 2564 เวลา 16:49 น.



เริ่มแล้ว!!! ลงทะเบียนรับสิทธิช่วยเหลือสำหรับผู้ขับรถแท็กซี่และมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่อายุเกิน 65 ปี ประกอบอาชีพใน 29 จังหวัดตามประกาศ ศบค. ระหว่างวันที่ 25 ต.ค. – 5 พ.ย.64 วันแรกมีผู้ทะเบียน 1,300 คนแนะจองคิวล่วงหน้าและเตรียมหลักฐานให้ครบถ้วนเพื่อความสะดวกรวดเร็ว

25 ต.ค. 2564 นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก(ขบ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอโครงการช่วยเหลือ กลุ่มอาชีพผู้ขับรถแท็กซี่และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ที่มีอายุเกิน 65 ปี ไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ ประกอบอาชีพขับรถอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (29 จังหวัด) และยังไม่ได้รับการช่วยเหลือนั้น

ทั้งนี้ในวันที่ 25 ตุลาคม 2564 กรมฯ ได้ให้ผู้ขับรถแท็กซี่และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่จองคิวล่วงหน้า เริ่มลงทะเบียนขอรับสิทธิช่วยเหลือด้วยตนเองเป็นวันแรกพร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งในกรุงเทพมหานคร มีสถานที่ลงทะเบียนทั้งหมด 5 แห่ง ประกอบด้วย กรมการขนส่งทางบก ณ อาคาร 6 ชั้น 7, กลุ่มวิชาการขนส่ง สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1, 2, 3 และ 4 พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกให้สามารถเดินทางไปลงทะเบียนได้ที่กลุ่มวิชาการขนส่ง สำนักงานขนส่งจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ โดยจะเปิดรับลงทะเบียนระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน 2564 สามารถจองคิวลงทะเบียนล่วงหน้า ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือเว็บไซต์ https://gecc.dlt.go.th ซึ่งปัจจุบันมีผู้ขับรถแท็กซี่และรถจักรยานยนต์สาธารณะจองคิวลงทะเบียนทั่วประเทศทั้งสิ้น 7,600 คน จากจำนวนผู้มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือตามโครงการ 16,000 คน



สำหรับภาพรวมการลงทะเบียนวันแรก มีผู้ขับรถแท็กซี่และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ที่จองคิวล่วงหน้าเดินทางมาลงทะเบียนอย่างต่อเนื่อง มียอดลงทะเบียนขอรับสิทธิช่วยเหลือ ณ กรมการขนส่งทางบกประมาณ 1,300 คน แบ่งเป็นผู้ที่จองคิวลงทะเบียนล่วงหน้าประมาณ 800 คน และผู้ที่ไม่ได้จองคิวล่วงหน้าประมาณ 500 คน โดยเมื่อผู้ขับรถแท็กซี่และรถจักรยานยนต์สาธารณะมาถึงจุดลงทะเบียนเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบสิทธิ พร้อมเอกสารตามที่กำหนด ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชน ใบอนุญาตขับรถสาธารณะ บัตรประจำตัวผู้ขับรถสาธารณะ หากพบว่ามีสิทธิตรงตามเงื่อนไข เจ้าหน้าที่จะให้กรอกข้อมูลในใบคำขอเพื่อรับสิทธิช่วยเหลือและให้เอกสารแนบท้ายใบคำขอฯ ไว้เพื่อเป็นหลักฐาน

ทั้งนี้ในส่วนของผู้ขับรถแท็กซี่ที่เป็นรถเช่าขับ ต้องเตรียมข้อมูลทะเบียนรถที่เช่าขับและผู้ให้เช่ารถ โดยกรมการขนส่งทางบกจะทำการตรวจสอบข้อมูลจากผู้ให้เช่าก่อนรับสิทธิ สำหรับผู้ที่จะได้รับเงินช่วยเหลือตามโครงการนี้ ต้องเป็นผู้ที่เข้าเกณฑ์เงื่อนไขผู้ขับรถแท็กซี่และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่มีอายุเกิน65 ปี ไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ ประกอบอาชีพขับรถอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (29 จังหวัด)

อย่างไรก็ตามส่วนผู้ที่ไม่ได้จองคิวล่วงหน้ามาก่อน กรมการขนส่งทางบกได้จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกช่วยดำเนินการจองคิวให้ เพื่อให้เดินทางมาลงทะเบียนภายหลังตามลำดับคิว พร้อมให้คำแนะนำการเตรียมเอกสารหลักฐาน ดังนั้น เพื่อให้ได้รับการบริการที่รวดเร็ว ขอให้จองคิวล่วงหน้าทางแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือเว็บไซต์ https://gecc.dlt.go.th โดยผู้ที่เข้าเกณฑ์เงื่อนไขในการรับสิทธิช่วยเหลือยังสามารถจองคิวได้จนถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. สายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง

https://www.thaipost.net/news/11633/



25 ต.ค. 2564 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า....👇

จากข้อมูล ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2564 โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสมจำนวน 25.44 ล้านราย  โดยมียอดการใช้จ่ายสะสมรวม 110,123.4 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายสะสม 55,975.3 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 54,148.1 ล้านบาท และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีประชาชนผู้ใช้สิทธิจำนวน 84,680 คน จากจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ 480,170 ราย โดยมียอดใช้จ่ายสะสมส่วนประชาชนรวม 2,764 ล้านบาท โดยมีมูลค่าการใช้จ่ายสะสมที่นำมาคำนวณสิทธิ e-Voucher 2,200 ล้านบาท และคิดเป็นมูลค่าสะสม e-Voucher ทั้งสิ้นกว่า 241 ล้านบาท และมูลค่าการใช้จ่ายส่วน e-Voucher 144 ล้านบาท

สำหรับข้อมูลการใช้จ่ายผ่านฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มล่าสุด (25 ตุลาคม 2564 เวลา 8.00 น.) โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 มีการใช้จ่ายสะสมประมาณ 752.2 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนใช้จ่าย 388.1 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 364.1 ล้านบาทสำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้มีการใช้จ่ายสะสมกว่า 600,000 บาท และในส่วนของผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่มในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ที่ขายอาหารและเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการฟู้ดเดลิเวอรี่แพลตฟอร์มล่าสุดขณะนี้ มีจำนวนกว่า 65,000 ราย 

ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 อย่างไรก็ดี ขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 เต็มจำนวน 28 ล้านสิทธิแล้ว โดยอยู่ระหว่างการประมวลผลจำนวนผู้ลงทะเบียนไม่สำเร็จเพื่อประกอบการพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำสิทธิดังกล่าวกลับมาเปิดให้ลงทะเบียนอีกครั้ง

สำหรับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ยิ่งใช้ยิ่งได้.com หรือผ่าน g-Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” จนกว่าจะครบ 1 ล้านสิทธิ ซึ่งยังมีสิทธิเหลือกว่า 5 แสนสิทธิ  

 https://www.thaipost.net/news/11714/

นานาเยี่ยม สุดยอดนโยบายเยียวยาประชาชนที่ถึงมือประชาชนโดยตรงจากรัฐบาลลุงตู่ กระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว ประชาชนเริ่มจับจ่ายใช้สอยกันด้วยความยินดี

ใครจะคิดว่านายกฯที่มาจากทหารจะเก่งในเรื่องดูแลประชาชนยิ่งกว่าสายที่มาจากนายทุนที่มักไม่ค่อยถึงมือประชาชน โดนจิ๊กไปแบ่งกันรวยอื้อ

นายกฯลุงตู่ท่านมือสะอาด ท่านดูแลประชาชนได้ไม่มีรั่วไหลหายไปไหนสักบาท ท่านแจกจ่ายอย่างทั่วถึง

เป็นนายกฯที่เป็นขวัญใจประชาชนส่วนใหญ่ที่ชอบนายกฯมือสะอาดยุคใหม่ค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่