หากใครยังจำกันได้ เมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีประเด็นที่ตกเป็นที่วิพากวิจารย์ถึงการทำงานของรัฐฯ เมื่อทาง ครม.มีมติเห็นชอบมาตการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 1 ล้านคนเข้าไทย หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ 1 ล้านล้านบาท โดยให้สิทธิชาวต่างชาติถือวีซ่ายาว พร้อมปลดล๊อคซื้อที่ดินในประเทศไทย นโยบายนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก นำไปสู่วาทกรรมโจมตีรัฐบาลว่าเป็นการประเคนสมบัติให้ต่างชาติมายึดครองผืนแผ่นดินไทย จนรัฐบาลทนกระแสไม่ไหวขอเวลาไปทบทวนปรับแก้ข้อกฏหมายให้รัดกุม จึงยังไม่มีผลบังคับใช้
ซึ่งเรื่องนี้มีที่มาที่ไปจาก เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา ทางครม.เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาเพื่อพำนักและลงทุนระยะยาวในประเทศไทย โดยการออกวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว ให้กับชาวต่างชาติ 4 กลุ่ม คือ
กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
เป้าหมายก็เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีฐานะดี หรือมีความรู้ความเชี่ยวชาญเข้ามาอยู่ประเทศไทย เพื่อช่วยดึงกำลังซื้อ และถ่ายทอดความรู้ทักษะขั้นสูงให้กับแรงงานไทย ให้มีความสามารถทัดเทียมระดับโลก
แต่ไม่วายตกเป็นประเด็นถกเถียงกันในโลกโซเชียลว่าแนวคิดดังกล่าว
จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประเทศไทยฟื้นจากพิษโควิดได้จริง
หรืออันที่จริงแล้วเป็นการเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามายึดประเทศ กอบโกยทรัพยากรในชาติกันแน่
หากจะว่ากันจริงๆแล้ว เมื่อมองไปยังหลายประเทศทั่วโลก ล้วนมีการใช้มาตรการให้สิทธิการพำนักในประเทศระยะยาวหรือ Long term Visa ให้แก่เหล่ามหาเศรษฐีเพื่อใช้ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศในสหภาพยุโรป แคนาดา สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย หรือแม้แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์ ซึ่งแน่นอนว่ากลุ่มคนเหล่านี้ที่เข้ามาจะต้องมีเงินลงทุนหรือนำเงินเข้าไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ กิจการตามที่แต่ละประเทศระบุมากน้อยแตกต่างกัน
ซึ่งแทบไม่ต่างกับมาตรการที่ภาครัฐบ้านเรานำมากำหนดเป็นเงื่อนไข ไ
ม่ใช่ว่าจะให้ต่างชาติที่ไหนเข้ามาก็ได้ แต่เข้ามาแล้วต้องสร้างประโยชน์ให้ประเทศ ต้องมาจ่ายภาษีให้ประเทศไทย มาถ่ายทอดความรู้ความสามารถให้กับคนไทย และอีกเหตุผลสำคัญ ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว เด็กเกิดใหม่น้อยลงในทุกวัน อนาคตเราจะประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน ดังนั้นการเปิดรับต่างชาติเข้ามาจึงสามารถคัดเลือกบุคลากรเก่งๆ เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี ทักษะขั้นสูงให้กับแรงงานในบ้านเราได้ จึงเป็นทางลัดที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน
ซึ่งนโยบายดังกล่าว ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับแก้ข้อกฏหมาย ซึ่งยังไม่สะเด็ดน้ำ ตามสไตล์ระบบราชการที่ต้องผ่านหลายขั้นตอนยุ่งยาก และอาจกินเวลาถึง 90 วัน หากเป็นไปตามกำหนดการนี้ กว่าจะมีผลบังคับใช้จริงก็คงต้องร้องเพลงรอถึงปีหน้า เพราะปีนี้คงจะไม่ทัน
ในสถานการณ์วิกฤตที่ประเทศต้องการ
“ยาแรง” ให้กลับสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด เรื่องอะไรสมควรทำอย่างเร่งด่วนก็ควรจัดสรร ลดขั้นตอนความยุ่งยาก ตัดคอขวดออกบ้าง ยิ่งในภาวะปัจจุบันที่ท่านนายกฯ รวบอำนาจหลายตำแหน่งไว้ในมือเป็น single command อะไรๆก็ควรรวดเร็วกว่านี้มิใช่หรือ?
เพราะในขณะที่หลายประเทศเค้าล้มฟุบจากโควิด ต่างทยอยลุกขึ้นเตรียมความพร้อมกันขนานใหญ่ ล่วงหน้าเราไปไกลแล้ว อย่าให้ไทยเราเสียเปรียบด้านการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านไปมากกว่านี้เลย ประเทศไทยมีของดีอยู่กับตัว บรรยากาศดี ผู้คนอัธยาศัยดี มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม และยังได้เปรียบเรื่องชัยภูมิที่ติดต่อถึง 4 ประเทศทั้ง เมียนมา กัมพูชา ลาวและมาเลเซีย ซึ่งสามารถเชื่อมโยงการค้าไปยังประเทศอินเดีย จีน เวียดนามได้อีก เราควรใช้จุดแข็งนี้ดึงดูดนักลงทุนให้มาอยู่บ้านเรา
ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องยอมรับให้ได้ว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานนั้นมันเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ออกนโยบายอะไรมา พอมีเสียงติติงเข้าหูเข้าหน่อย ก็ชะงักงันไม่สานต่อ ทำแบบนี้นอกจากประเทศไม่ก้าวไปข้างหน้าแล้ว ก็ยังถอยหลังลงคลอง เพราะเพื่อนบ้านแซงหน้ากันไปไกลจนไม่เห็นฝุ่นแล้ว
ระวังจากที่เคยคิดจะเป็น เสือตัวที่ 5 อาจเป็นได้แค่ถนนลูกรังที่กลายเป็นแค่ ”ทางเสือผ่าน”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
อย่าให้ติดหล่มระบบราชการ!!! ให้สิทธิต่างชาติถือวีซ่ายาว หรือไทยจะได้แค่ฝัน?
ซึ่งเรื่องนี้มีที่มาที่ไปจาก เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่ผ่านมา ทางครม.เห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาเพื่อพำนักและลงทุนระยะยาวในประเทศไทย โดยการออกวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว ให้กับชาวต่างชาติ 4 กลุ่ม คือ กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
เป้าหมายก็เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติที่มีฐานะดี หรือมีความรู้ความเชี่ยวชาญเข้ามาอยู่ประเทศไทย เพื่อช่วยดึงกำลังซื้อ และถ่ายทอดความรู้ทักษะขั้นสูงให้กับแรงงานไทย ให้มีความสามารถทัดเทียมระดับโลก
ซึ่งแทบไม่ต่างกับมาตรการที่ภาครัฐบ้านเรานำมากำหนดเป็นเงื่อนไข ไม่ใช่ว่าจะให้ต่างชาติที่ไหนเข้ามาก็ได้ แต่เข้ามาแล้วต้องสร้างประโยชน์ให้ประเทศ ต้องมาจ่ายภาษีให้ประเทศไทย มาถ่ายทอดความรู้ความสามารถให้กับคนไทย และอีกเหตุผลสำคัญ ประเทศไทยกำลังจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว เด็กเกิดใหม่น้อยลงในทุกวัน อนาคตเราจะประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน ดังนั้นการเปิดรับต่างชาติเข้ามาจึงสามารถคัดเลือกบุคลากรเก่งๆ เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยี ทักษะขั้นสูงให้กับแรงงานในบ้านเราได้ จึงเป็นทางลัดที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน
ซึ่งนโยบายดังกล่าว ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับแก้ข้อกฏหมาย ซึ่งยังไม่สะเด็ดน้ำ ตามสไตล์ระบบราชการที่ต้องผ่านหลายขั้นตอนยุ่งยาก และอาจกินเวลาถึง 90 วัน หากเป็นไปตามกำหนดการนี้ กว่าจะมีผลบังคับใช้จริงก็คงต้องร้องเพลงรอถึงปีหน้า เพราะปีนี้คงจะไม่ทัน
ในสถานการณ์วิกฤตที่ประเทศต้องการ “ยาแรง” ให้กลับสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด เรื่องอะไรสมควรทำอย่างเร่งด่วนก็ควรจัดสรร ลดขั้นตอนความยุ่งยาก ตัดคอขวดออกบ้าง ยิ่งในภาวะปัจจุบันที่ท่านนายกฯ รวบอำนาจหลายตำแหน่งไว้ในมือเป็น single command อะไรๆก็ควรรวดเร็วกว่านี้มิใช่หรือ?
เพราะในขณะที่หลายประเทศเค้าล้มฟุบจากโควิด ต่างทยอยลุกขึ้นเตรียมความพร้อมกันขนานใหญ่ ล่วงหน้าเราไปไกลแล้ว อย่าให้ไทยเราเสียเปรียบด้านการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านไปมากกว่านี้เลย ประเทศไทยมีของดีอยู่กับตัว บรรยากาศดี ผู้คนอัธยาศัยดี มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม และยังได้เปรียบเรื่องชัยภูมิที่ติดต่อถึง 4 ประเทศทั้ง เมียนมา กัมพูชา ลาวและมาเลเซีย ซึ่งสามารถเชื่อมโยงการค้าไปยังประเทศอินเดีย จีน เวียดนามได้อีก เราควรใช้จุดแข็งนี้ดึงดูดนักลงทุนให้มาอยู่บ้านเรา
ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องยอมรับให้ได้ว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานนั้นมันเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ออกนโยบายอะไรมา พอมีเสียงติติงเข้าหูเข้าหน่อย ก็ชะงักงันไม่สานต่อ ทำแบบนี้นอกจากประเทศไม่ก้าวไปข้างหน้าแล้ว ก็ยังถอยหลังลงคลอง เพราะเพื่อนบ้านแซงหน้ากันไปไกลจนไม่เห็นฝุ่นแล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้