ตามหัวข้อเราอยากถามว่าการปฏิบัติตนของเราถือเป็นการปฏิบัติตนที่เหมาะสม หรือรังเกียจเกินกว่าเหตุมั้ยคะ
>>เหตุเกิดจากมีญาติเราคนนึงบ้านใกล้ๆกัน ติดโควิด แล้วมีคนในบ้านเราเค้าไปทานข้าวที่บ้านญาติคนนั้น แล้วเหมือนเป็นวัฒนธรรมปกติของที่นี่ คือถ้าเป็นญาติสนิทกัน จะทานข้าวไม่มีช้อนกลาง ทานน้ำจากกระบวยหรือแก้วน้ำเดียวกัน ไม่แยกของใครของมัน โดยในวันที่คนในบ้านเราไปทานข้าว ญาติคนดังกล่าวไปตรวจโควิดที่รพ.แล้วผลเป็นบวก
>>เมื่อเราทราบก็พูดคุยกับคนในบ้านที่ไปว่าให้กักตัวก่อน แล้วไปตรวจโควิดที่รพ.ในวันรุ่งขึ้น เนื่องจากพึ่งทราบผลของญาติในช่วงเย็น เราคิดว่าคนในบ้านเรามีความเสี่ยงค่อนข้างสูงนะ แต่ปรากฎว่าเค้ายังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ไม่กักตัว ไม่ใส่แมส ใส่แมสใต้คางกับคนในบ้าน ไม่แยกทานอาหารน้ำดื่ม เรามีลูกยังเล็ก และทำงานในสถานที่ราชการด้วย ในวันดังกล่าวจึงมานอนที่บ้านอีกแห่ง ด้วยความที่ลูกยังเล็กใส่แมสก็ไม่ปิดจมูกบ้างตามประสาเด็ก เราเลยไม่ให้ลงรถตอนเราไปเอาของที่บ้าน ก็วางแผนว่าวันรุ่งขึ้นเรากับสามี และให้คนที่บ้านไปตรวจโควิดที่รพ.กันให้หมดเลย และได้แจ้งกับที่ทำงานว่าเรามีความเสี่ยงติดโควิดนะเพราะคนที่บ้านเราไปทานข้าวที่บ้านญาติที่เป็นโควิด ที่ทำงานเราจึงให้ไปตรวจโควิดที่รพ.ก่อน ถ้าผลเป็นลบค่อยมาทำงาน ปรากฎว่าไปรพ.แล้วรพ.ไม่ให้ตรวจ อ้างว่าต้องให้คนในบ้านญาติที่เป็นตรวจก่อน ถ้าเป็น คนในบ้านเราที่ไปทานข้าวถึงจะมีสิทธิตรวจ และถ้าคนในบ้านเราเป็น เราถึงจะมีสิทธิตรวจ เราจึงซื้อชุดตรวจ ATK มาตรวจเอง และขอให้คนในบ้านเราตรวจด้วย อย่างน้อยสองรอบก็ยังดี ช่วง 7 วันแรกนี้เราเลยแยกอยู่กับที่บ้านไปก่อน เพราะเราต้องทำงาน ลูกๆก็เอาไปทำงานด้วย พูดตรงๆว่าเผื่อว่าคนในบ้านติด เราและครอบครัวอาจยังไม่ติด จะได้ปลอดภัย หลังจากตรวจแล้วพบว่านอกจากญาติที่เป็น คนอื่นไม่มีใครติดเลย และผลการตรวจ ATK ของทุกคนในบ้านเราก็เป็นลบหมด เราเลยกลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิม
***ประเด็นคือกลายเป็นว่าคนในบ้านเราคนนั้นหาว่าเรารังเกียจ ทำตัวเกินเหตุ บอกว่าทีเราออกไปทำงานข้างนอก ไปต่างจังหวัด ไปทานข้าวกับเพื่อนๆ ที่อยู่ในจังหวัดและบอกก่อนว่าเพื่อนๆที่ไปทาน ทางบริษัทเค้าให้ตรวจโควิดทุกอาทิตย์อยู่แล้ว บอกว่าเราต่างห่างที่ทำตัวเสี่ยง ตัวเค้าอยู่กับบ้าน แค่บังเอิญวันนั้นไปทานข้าวบ้านญาติที่คิดโควิด แต่ไม่ได้กินด้วยกันกับญาติคนนั้น แค่ทานกับพ่อแม่ มันไม่ติดหรอก หาว่าเรารังเกียจเค้าเกินไป
เราก็บอกว่าไม่ได้รังเกียจ แค่ป้องกัน ถ้าเป็นขึ้นมาอย่างน้อยถ้าเราไม่ติด เราจะได้ส่งข้าวส่งน้ำได้ งานของเค้าถ้าเราช่วยได้เราก็ยินดีช่วย อีกอย่างงานของเรา ต้องพบปะผู้คน ทั้งประชาชนทั้งเพื่อนร่วมงาน บางทีต้องติดต่อประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ หลายหน่วยงาน ขนาดผลออกแล้วว่าไม่เป็น เราไปทำงานยังมีเพื่อนร่วมงานบางคนมองหน้า เหมือนจะบอกเราว่าเราไม่น่ามาทำงานเลย
เค้ากลับบอกว่าจะไปบอกที่ทำงานทำไม ไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ เราคิดว่าในเมื่อเราเองก็ยังไม่มั่นใจ 100% หรอกว่าเราไม่ติด เราเองอาจติดก็ได้ ถ้าปรากฎว่าเราเองเกิดติดขึ้นมา แล้วเราปกปิดที่ทำงาน เอาความเสี่ยงไปให้คนอื่น ไม่ให้เค้ารู้ตัวว่าต้องเว้นระยะจากเรา เราไม่ยิ่งผิดกว่าหรอ เพราะญาติที่เป็นเค้าติดเชื้อมาได้ 5 วันแล้วถึงตรวจพบ
แล้วทุกวันนี้ญาติก็ออกมารักษาตัวต่อที่บ้านแล้ว พ่อแม่เค้าก็กักตัวอยู่ จะครบแล้ว ซึ่งมีคนอื่นในหมู่บ้าน ที่ถึงขนาดว่าญาติเราที่ออกมารักษาตัวต่อที่บ้านเกิดไปดื่มน้ำเย็น แล้วเกิดอาการหายใจไม่ออกหน้าเขียวไปหมด พ่อแม่เค้าเลยฝากซื้อข้าวมาแขวนหน้าบ้าน เพื่อให้ญาติเราทานก่อนไปรพ. เค้ายังไม่รับฝากเลยเพราะกลัว แบบนั้นไม่เรียกเกินเหตุหรอ ส่วนเราไปได้หมดนะ สบายมาก แค่เราต้องป้องกันตัวเอง ปิดแมสดีๆ ฉีด Lกฮ ทำทุกอย่างที่ป้องกันได้ จะให้เราเอาอาหารไปให้ ไปส่งรพ. เราก็ทำได้ หรือจริงๆ ถ้าจะต้องอยู่ร่วมบ้านกันก็ทำได้ แต่ทุกคนต้องป้องกันตัวเอง ไม่ใช่มาคิดว่าคนอื่นรังเกียจ แล้วถ้าไม่รังเกียจต้องทำยังไง ต้องเปิดแมสอยู่ด้วยกัน กินข้าวกินน้ำช้อนเดียวกัน แก้วเดียวกันเหมือนเดิมหรอ เรางงมาก
อย่างเรา ทุกวันนี้โดนคนในบ้านพูดจากระแนะกระแหนตลอด ว่าเราเนี่ยแหละเสี่ยงเราก็ไม่เถียงนะ เพราะทุกวันนี้การต้องพบเจอพูดคุยกับคนแปลกหน้าก็นับว่าเสี่ยงแล้ว เพราะเราไม่รู้ว่าเค้าเป็นรึเปล่า
แต่ว่าเราว่า ”ไอ้พวกรังเกียจคนอื่นถ้าเป็นขึ้นมาจะรู้สึก” คือเราไม่ได้รังเกียจนะ เราแค่อยากเว้นระยะ และป้องกันตัวเองให้เหมาะสม การตรวจ ATK หรือการป้องกัน ใส่แมส กินร้อน ช้อนกลาง หลีกเลี่ยงการอยู่ร่วมกับบุคคลมีความเสี่ยง เราว่านอกจากเป็นการป้องกันตัวเองจากโควิดแล้ว ยังทำให้คนรอบๆ ตัวที่ต้องอยู่และทำงานร่วมกันกับเราเค้าสบายใจด้วย
เราอยากทราบว่าทุกท่านที่เข้ามาอ่านเห็นว่าที่เราทำมันเกินไปรึเปล่า อย่างที่เราทำเรียกว่ารังเกียจมั้ยคะ
การปฏิบัติตนต่อผู้มีความเสี่ยงในการติดโควิด
>>เหตุเกิดจากมีญาติเราคนนึงบ้านใกล้ๆกัน ติดโควิด แล้วมีคนในบ้านเราเค้าไปทานข้าวที่บ้านญาติคนนั้น แล้วเหมือนเป็นวัฒนธรรมปกติของที่นี่ คือถ้าเป็นญาติสนิทกัน จะทานข้าวไม่มีช้อนกลาง ทานน้ำจากกระบวยหรือแก้วน้ำเดียวกัน ไม่แยกของใครของมัน โดยในวันที่คนในบ้านเราไปทานข้าว ญาติคนดังกล่าวไปตรวจโควิดที่รพ.แล้วผลเป็นบวก
>>เมื่อเราทราบก็พูดคุยกับคนในบ้านที่ไปว่าให้กักตัวก่อน แล้วไปตรวจโควิดที่รพ.ในวันรุ่งขึ้น เนื่องจากพึ่งทราบผลของญาติในช่วงเย็น เราคิดว่าคนในบ้านเรามีความเสี่ยงค่อนข้างสูงนะ แต่ปรากฎว่าเค้ายังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ไม่กักตัว ไม่ใส่แมส ใส่แมสใต้คางกับคนในบ้าน ไม่แยกทานอาหารน้ำดื่ม เรามีลูกยังเล็ก และทำงานในสถานที่ราชการด้วย ในวันดังกล่าวจึงมานอนที่บ้านอีกแห่ง ด้วยความที่ลูกยังเล็กใส่แมสก็ไม่ปิดจมูกบ้างตามประสาเด็ก เราเลยไม่ให้ลงรถตอนเราไปเอาของที่บ้าน ก็วางแผนว่าวันรุ่งขึ้นเรากับสามี และให้คนที่บ้านไปตรวจโควิดที่รพ.กันให้หมดเลย และได้แจ้งกับที่ทำงานว่าเรามีความเสี่ยงติดโควิดนะเพราะคนที่บ้านเราไปทานข้าวที่บ้านญาติที่เป็นโควิด ที่ทำงานเราจึงให้ไปตรวจโควิดที่รพ.ก่อน ถ้าผลเป็นลบค่อยมาทำงาน ปรากฎว่าไปรพ.แล้วรพ.ไม่ให้ตรวจ อ้างว่าต้องให้คนในบ้านญาติที่เป็นตรวจก่อน ถ้าเป็น คนในบ้านเราที่ไปทานข้าวถึงจะมีสิทธิตรวจ และถ้าคนในบ้านเราเป็น เราถึงจะมีสิทธิตรวจ เราจึงซื้อชุดตรวจ ATK มาตรวจเอง และขอให้คนในบ้านเราตรวจด้วย อย่างน้อยสองรอบก็ยังดี ช่วง 7 วันแรกนี้เราเลยแยกอยู่กับที่บ้านไปก่อน เพราะเราต้องทำงาน ลูกๆก็เอาไปทำงานด้วย พูดตรงๆว่าเผื่อว่าคนในบ้านติด เราและครอบครัวอาจยังไม่ติด จะได้ปลอดภัย หลังจากตรวจแล้วพบว่านอกจากญาติที่เป็น คนอื่นไม่มีใครติดเลย และผลการตรวจ ATK ของทุกคนในบ้านเราก็เป็นลบหมด เราเลยกลับไปอยู่บ้านเหมือนเดิม
***ประเด็นคือกลายเป็นว่าคนในบ้านเราคนนั้นหาว่าเรารังเกียจ ทำตัวเกินเหตุ บอกว่าทีเราออกไปทำงานข้างนอก ไปต่างจังหวัด ไปทานข้าวกับเพื่อนๆ ที่อยู่ในจังหวัดและบอกก่อนว่าเพื่อนๆที่ไปทาน ทางบริษัทเค้าให้ตรวจโควิดทุกอาทิตย์อยู่แล้ว บอกว่าเราต่างห่างที่ทำตัวเสี่ยง ตัวเค้าอยู่กับบ้าน แค่บังเอิญวันนั้นไปทานข้าวบ้านญาติที่คิดโควิด แต่ไม่ได้กินด้วยกันกับญาติคนนั้น แค่ทานกับพ่อแม่ มันไม่ติดหรอก หาว่าเรารังเกียจเค้าเกินไป
เราก็บอกว่าไม่ได้รังเกียจ แค่ป้องกัน ถ้าเป็นขึ้นมาอย่างน้อยถ้าเราไม่ติด เราจะได้ส่งข้าวส่งน้ำได้ งานของเค้าถ้าเราช่วยได้เราก็ยินดีช่วย อีกอย่างงานของเรา ต้องพบปะผู้คน ทั้งประชาชนทั้งเพื่อนร่วมงาน บางทีต้องติดต่อประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ หลายหน่วยงาน ขนาดผลออกแล้วว่าไม่เป็น เราไปทำงานยังมีเพื่อนร่วมงานบางคนมองหน้า เหมือนจะบอกเราว่าเราไม่น่ามาทำงานเลย
เค้ากลับบอกว่าจะไปบอกที่ทำงานทำไม ไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ เราคิดว่าในเมื่อเราเองก็ยังไม่มั่นใจ 100% หรอกว่าเราไม่ติด เราเองอาจติดก็ได้ ถ้าปรากฎว่าเราเองเกิดติดขึ้นมา แล้วเราปกปิดที่ทำงาน เอาความเสี่ยงไปให้คนอื่น ไม่ให้เค้ารู้ตัวว่าต้องเว้นระยะจากเรา เราไม่ยิ่งผิดกว่าหรอ เพราะญาติที่เป็นเค้าติดเชื้อมาได้ 5 วันแล้วถึงตรวจพบ
แล้วทุกวันนี้ญาติก็ออกมารักษาตัวต่อที่บ้านแล้ว พ่อแม่เค้าก็กักตัวอยู่ จะครบแล้ว ซึ่งมีคนอื่นในหมู่บ้าน ที่ถึงขนาดว่าญาติเราที่ออกมารักษาตัวต่อที่บ้านเกิดไปดื่มน้ำเย็น แล้วเกิดอาการหายใจไม่ออกหน้าเขียวไปหมด พ่อแม่เค้าเลยฝากซื้อข้าวมาแขวนหน้าบ้าน เพื่อให้ญาติเราทานก่อนไปรพ. เค้ายังไม่รับฝากเลยเพราะกลัว แบบนั้นไม่เรียกเกินเหตุหรอ ส่วนเราไปได้หมดนะ สบายมาก แค่เราต้องป้องกันตัวเอง ปิดแมสดีๆ ฉีด Lกฮ ทำทุกอย่างที่ป้องกันได้ จะให้เราเอาอาหารไปให้ ไปส่งรพ. เราก็ทำได้ หรือจริงๆ ถ้าจะต้องอยู่ร่วมบ้านกันก็ทำได้ แต่ทุกคนต้องป้องกันตัวเอง ไม่ใช่มาคิดว่าคนอื่นรังเกียจ แล้วถ้าไม่รังเกียจต้องทำยังไง ต้องเปิดแมสอยู่ด้วยกัน กินข้าวกินน้ำช้อนเดียวกัน แก้วเดียวกันเหมือนเดิมหรอ เรางงมาก
อย่างเรา ทุกวันนี้โดนคนในบ้านพูดจากระแนะกระแหนตลอด ว่าเราเนี่ยแหละเสี่ยงเราก็ไม่เถียงนะ เพราะทุกวันนี้การต้องพบเจอพูดคุยกับคนแปลกหน้าก็นับว่าเสี่ยงแล้ว เพราะเราไม่รู้ว่าเค้าเป็นรึเปล่า
แต่ว่าเราว่า ”ไอ้พวกรังเกียจคนอื่นถ้าเป็นขึ้นมาจะรู้สึก” คือเราไม่ได้รังเกียจนะ เราแค่อยากเว้นระยะ และป้องกันตัวเองให้เหมาะสม การตรวจ ATK หรือการป้องกัน ใส่แมส กินร้อน ช้อนกลาง หลีกเลี่ยงการอยู่ร่วมกับบุคคลมีความเสี่ยง เราว่านอกจากเป็นการป้องกันตัวเองจากโควิดแล้ว ยังทำให้คนรอบๆ ตัวที่ต้องอยู่และทำงานร่วมกันกับเราเค้าสบายใจด้วย
เราอยากทราบว่าทุกท่านที่เข้ามาอ่านเห็นว่าที่เราทำมันเกินไปรึเปล่า อย่างที่เราทำเรียกว่ารังเกียจมั้ยคะ