ถามเรื่องกรรม จากการเป็นเมียน้อย เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง

สวัสดีค่ะ ดิฉันเคยผิดพลาดไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งงานแล้ว ดิฉันรู้ทันทีว่ามันผิดแล้วอยากจบความสัมพันธ์ แต่ผู้ชายไม่อยากจบ ก็เลยยื้อกันไปมาใช้เวลาประมาณสี่เดือนดิฉันก็หลุดพ้นออกมาได้

แต่เมื่อผ่านไปสี่ปี ผู้ชายคนนี้ก็กลับมาอีก ขอแค่เป็นเพื่อนเป็นพี่น้องกัน แต่ดิฉันก็เข้าไปพัวพันอีกครั้ง สุดท้ายดิฉันก็หลุดพ้นออกมาได้อีกภายในสี่เดือน

ตอนนี้ดิฉันตัดขาดจากผู้ชายคนนี้ไปนานแล้วค่ะ ไม่มีทางติดต่อกันอีก

ที่ดิฉันมาสอบถามตรงนี้เพราะดิฉันพยายามหาข้อมูลจากการผิดศิลข้อสาม แต่มักจะเจอแต่ กรรมของคนที่ทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยก หรือกรรมที่ทำให้เมียหลวงเสียใจ ถูกสามีทิ้ง

แต่สถานการณ์ของดิฉันมันต่างไปบ้างคือ 1. เมียหลวงไม่ทราบเรื่อง 2.ดิฉันไม่ได้แย่งเขามา ดิฉันออกมาเอง

เจตนาที่มาถามคำถามนี้ไม่ได้เป็นเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนดีกว่าคนอื่นที่ทำผิดศีลข้อนี้นะคะ ดิฉันทราบว่าความผิดพลาดที่ทำไปนั้นมันเลวร้ายมาก และดิฉันพร้อมที่จะรับกรรมของดิฉัน
ดิฉันเพียงอยากรู้ว่า ในสถานการณ์ ลักษณะรูปแบบสิ่งที่ดิฉันทำไปและที่ไม่ได้ทำจนสุดทาง
ดิฉันจะต้องรับกรรมในรูปแบบไหนบ้างคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 7
(อธิบายหลักปรัชญาข้อเท็จจริงของกรรมก่อน)

กายกรรมวจีกรรมต่างๆนั้นสามารถเป็นครุกรรมบาปหนักได้ถ้าครบองค์ประกอบจากเหตุปัจจัยให้เกิดบาปหนัก คือมีเหตุจากกิเลสสมุทัยในใจอย่างชั่วร้ายเหลิงหลงชัดเจน และเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์แก่ตัวเองหรือชีวิตใดๆอย่างหนักชัดเจน    และเช่นกัน กายกรรมวจีกรรมต่างๆก็อาจเป็นครุกรรมที่เป็นบุญอันหนักชัดเจนได้ ถ้ามีเหตุจากจิตที่เป็นบุญเป็นมรรคอย่างบริสุทธิ์ดีงามชัดเจน และเป็นปัจจัยให้เกิดพฤติกรรมภายนอกที่ละเว้นการก่อบาปสร้างทุกข์(ประพฤติศีล) รวมถึงการช่วยบรรเทาทุกข์และให้ธรรมทานที่ช่วยบรรเทาบาปสมุทัย(ปฏิบัติหลักสังคห4หรือบำเพ็ญกุศลสงเคราะห์) อย่างชัดเจนแก่ตัวเองหรือชีวิตใดๆ

ในขณะที่มโนกรรมต่างๆนั้น แม้จะมีเหตุอันเป็นกิเลสสมุทัยที่เหลิงหลงบาปอย่างชัดเจน แต่จะยังเป็นลหุกรรมบาปอันเบา ตราบที่ยังไม่ได้ก่อกายกรรมวจีกรรมที่เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์หนักแก่ตัวเองหรือชีวิตอื่นอย่างชัดเจน    และเช่นกัน มโนกรรมต่างๆนั้นแม้จะมีเหตุจากจิตที่เป็นมรรคบุญอย่างบริสุทธิ์ดีงามชัดเจน แต่จะยังเป็นลหุกรรมบุญอันเบา ตราบที่ยังไม่เกิดพฤติกรรมภายนอกที่เป็นการประพฤติศีลหรือบำเพ็ญกุศลสงเคราะห์ช่วยให้ตัวเองหรือชีวิตอื่นบรรเทาทุกข์หนักอย่างชัดเจน   (แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามโนกรรมนั้นทำให้ตัวเองเกิดทุกข์ในใจหนักชัดเจนย่อมเป็นการรับผลบาปเก่าอย่างหนักได้ด้วย รวมถึงถ้ามโนกรรมนั้นทำให้ตัวเองเกิดสุขในใจอย่างหนักชัดเจนย่อมเป็นการรับผลบุญเก่าอย่างหนักได้ด้วย)


(พิจารณากรรมตามประเด็นกระทู้)

ในกรณีของการคบเป็นเมียน้อยชั่วคราวดังกล่าวนั้น ถ้ายังไม่ได้ทำให้เมียหลวงและผู้เกี่ยวข้องเกิดทุกข์กายใจชัดเจนตามมา(โดยเป็นมโนกรรมและกายกรรมที่ยังไม่เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์หนักในทางใดๆแก่ชีวิตที่เกี่ยวข้อง) จึงยังไม่เป็นการก่อบาปใหม่ที่เป็นบาปหนัก(ยังไม่เป็นเหตุให้ได้รับผลกรรมที่เป็นทุกข์หนักหน่วงหรือยาวนานตามมา)  แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรประมาทต่อมโนกรรมและกายกรรมวจีกรรมใดๆ เพราะสามารถเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์หนักแก่ชีวิตต่างๆได้ตามกาลเวลาสถานที่ที่เอื้ออำนวยซึ่งจะกลายเป็นการก่อบาปหนักขึ้นได้

กรณีนี้จะเด่นชัดเป็นการรับผลบุญเก่าของเราซึ่งเอื้อให้เรากระทำได้โดยไม่ได้รับผลร้ายอะไร(การกินผลบุญเก่าจะนำพาไปสู่สภาพพ้นผลบุญเก่าหรือพ้นสุขตามหลักสังขารธรรมยิ่งขึ้นต่อไปได้ ตามกาลเวลสถานที่ที่เอื้ออำนวย) รวมถึงเด่นชัดเป็นการรับผลบาปเก่าของเมียหลวงให้ต้องมาอยู่ในสภาพถูกหลอกสวมเขาชั่วคราว ส่วนกรณีฝ่ายชายนั้นเป็นการก่อบาปใหม่และกินผลบุญเก่าเช่นกัน

แต่ถ้าเรามีจิตใจหรือเจตนาที่เหลิงหลงสุขใจสะใจที่เมียหลวงไม่รู้ นั้นจะเป็นการก่อบาปใหม่และการกินผลบุญเก่าอย่างหนักขึ้นซึ่งยิ่งไม่ควรประมาท  และกรณีถ้าการเป็นเมียน้อยชั่วคราวนั้นช่วยเจือจุนให้ให้เราบรรเทาความทุกข์ขัดสนในชีวิตได้ด้วย ก็จะเป็นการก่อบุญใหม่ที่ช่วยสงเคราะห์ตัวเองร่วมด้วย


กรณีสมมุติถ้าเมียหลวงรู้เรื่องแล้วได้รับความทุกข์ทางกายหรือใจตามมา กรรมของเราจะกลายเป็นบาปหนักขึ้นทันที และถ้าหากเราได้รับทุกข์กายใจใดๆอย่างหนักตามมาด้วยจากที่เมียหลวงรู้เรื่องดังกล่าวแล้ว ก็จะเป็นการรับผลบาปเก่าของตัวเราอย่างหนักร่วมด้วยเช่นกัน

ทุกชีวิตยังต้องเป็นไปตามการก่อกรรมใหม่และการรับผลกรรมใหม่ผลกรรมเก่าใดๆตามกาลเวลาสถานที่ที่เอื้ออำนวย ตามหลักที่ว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม  โดยผลกรรมทั้งปวงอันเป็นอาการทุกข์และนิโรธตามหลักสังขารธรรม(ทุกข์น้อยใหญ่ต่างๆ เช่น ทุกข์หนัก ทุกข์กลางๆ ทุกข์เล็กๆ สุขตามหลักสังขารธรรมต่างๆ ฯลฯ) นั้นเป็นผลในธรรมที่ย่อมเป็นสภาพบังคับให้ทุกชีวิตได้รับตามกาลเวลาสถานที่ต่างๆในสังขารธรรมเสมอ

ส่วนเหตุในธรรมนั้นเป็นเรื่องของอวิชชา(สมุทัย,กิเลส,บาป,อกุศลธรรม,มิจฉาทิฏฐิ,ฯลฯ) ซึ่งเหตุนั้นมิใช่ผลบังคับในธรรม โดยอัตภาพของมนุษย์โลกมนุษย์เทพใดๆนั้นแม้จะเป็นปัจจัยเอื้อให้ยึดมั่นยึดถือก่อบาปกรรมอันหนักได้ชัดเจน แต่ก็เอื้อให้ละเว้นการก่อเหตุก่อบาปกรรมใหม่ได้ชัดเจนเช่นกัน  แถมในอัตภาพแบบมนุษย์โลกนั้นอาจต้องฝึกละเว้นบาปใหม่อย่างยิ่งร่วมไปกับการเผชิญรับผลบาปเก่าที่เป็นอาการทุกข์กายใจใดๆอย่างยิ่งด้วย ขอให้น้อมเผชิญโลกธรรมอันหนักหน่วงต่างๆเหล่านี้ได้โดยสันติตามที่พระพุทธองค์เน้นสอนให้เราฝึกปฏิบัติ ถือเป็นการบำเพ็ญศีลบารมีอย่างอุกฤษฏ์สูงยิ่งตามที่โลกธรรมการเกิดเป็นมนุษย๋โลกปัจจุบันเอื้อให้ปฏิบัติขั้นนี้ได้ แล้วจะนำพาไปสู่สภาพพ้นผลบาปเก่าผลบาปใหม่หรือพ้นทุกข์อย่างยิ่งยวดเสมอ ตามกาลเวลาสถานที่ที่เอื้ออำนวย


(เข้ามาแก้ไขคำผิดหน่อยนึง)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่