สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
เหตุผลหลักๆ ที่แคนาดา มีจำนวนคนติดเชื้อต่อประชากรน้อยกว่า US คือ
1. เพราะแคนาดามีอัตราการฉีดโควิดวัคซีนมากกว่า US และเรามีมาตราการเสริมทางสาธารณสุขที่เคร่งครัดกว่า
2. เพราะเคเนเดี้ยนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการ เพราะเรารู้ว่าระบบสธ ของเรามีเตียงน้อย รพน้อย บุคคลากรน้อย
3. Universal Health Care มีส่วน เพราะเราจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็น flat rate ตามรายได้ ไม่ใช่ฟรี เรื่องนี้จะแยกไปตอบอีกโพส
เหตุผลที่ US มีคนติดเชื้อมากกว่า หลักๆ เลยคือ ฉีดวัคซีนน้อยกว่า และเมื่อฉีดโควิดวัคซีนได้จำนวนที่ต้องการ ก็ยุติมาตรการทางสธ เช่น ไม่ต้องใส่มาร์ก ไม่จำกัดจำนวนคนที่จะทำกิจกรรมต่างๆ และ CDC ก็รีบประกาศว่า วัคซีน mRNA ที่ฉีดให้ประชากรมีประสิทธิภาพสูงมาก ฉีดวัคซีนแล้วป้องกันการติดเชื้อและแพร่เชื้อ และคลายมาตรการทางสธอื่นๆ ลงทันทีที่ฉีดวัคซีนโดสที่สองให้ประชากร ซึ่งการดำเนินนโยบายผิดตรงนี้แหละ ที่ผ่อนมาตรการเร็วเกินไป ก่อนที่จะมีจำนวนคนที่ฉีดวัคซีนครบโดสได้มากพอ
เพราะว้คซีนโควิดนี้ มันเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันร่วมกัน ไม่ใช่ภูมิคุ้มกันหมู่ แปลว่าต้องฉีดจำนวนมากที่สุด ฉีดครบทุกกลุ่ม การดำเนินนโยบายผิดตรงนี้แหละ เป็นจุดที่ทำให้คนชะล่าใจ เพราะเชื่อว่าฉีดวัคซีนแล้วจะไม่ติดเชื้อ พอมีการระบาดของเชื้อเดลต้า ก็ทำให้คนติดเชื้อเยอะ แต่จริงๆ คนที่ฉีดส่วนใหญ่จะมีความเสี่ยงน้อยที่จะป่วยหนัก คนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่คือคนไม่ฉีดวัคซีน หรือคนที่สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว
สำหรับแคนาดานอกจากจะฉีดวัคซีนได้มากกว่า แคนาดายังคงดำเนินมาตรการทางสธ อื่นๆ และ การผ่อนมาตรการค่อยเป็นค่อยไป
อาจจะเป็นเพราะเราได้รับวัคซีนมาช้ากว่า เลยมีเวลาศึกษาข้อมูลและดูสถานะการณ์ในประเทศที่ฉีดวัคซีนก่อนหน้า ทีนี่ทาง Public Health Agency of Canada (PHAC) ซึ่งเป็นสธ ในระดับ Federal Government จะกำหนดนโยบายหลักลงมา แต่การดำเนินมาตรการจะขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล และ Public Health Agency ของแต่ละมณทล จะขอยกตัวอย่างที่ British Columbia (BC) ซึ่งจขกทอาศัยอยู่ ที่นี่เวลาฉีดวัคซีนจะเราจะประกาศมาตรการฉุกเฉิน ปิดทุกอย่างที่เป็น non-essential activities และไม่ให้พบปะกับคนที่ไม่ได้อยู่อาศัยในบ้านเดียวกัน ยกเว้นถ้าใครอยู่คนเดียว จะอนุญาติให้เจอเพื่อนได้หนึ่งคน พอฉีดเข็มแรกได้จำนวนพอ ก็ค่อยๆ คลายกฏลง ให้สังสรรค์ได้ไม่เกินหกคน จำกัดจำนวนคนนั่งทางอาหารที่ร้าน ยังต้องใส่มาร์กเวลาเดินทางเวลาไปทำกิจกรรม
และทางสธยังกำหนดมาตรการที่ให้สถานที่ทำงานทุกแห่ง ปรับสถานที่ทำงานให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันโควิด เช่นจำกัดจำนวนจำนวนคนที่ทำงานใน ออฟฟิต ปรับตำแหน่งโต๊ะทำงาน ปรับทางเข้าออก ยกตัวอย่าง คนที่ทำงานวิจัยให้กับ Public Health Authority แห่งหนึ่ง จะทำงานที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ จะเข้าออฟฟิตบ้างในกรณีที่จำเป็นต้องใช้แลป หรือ ในกรณีข้าราชการที่ทำงานในศาลในระดับสหภาพที่มีสาขาอยู่ที่ BC จะแบ่งเป็นสองทีมเลย มีมาร์กให้ใส่ มีน้ำยาล้างมือให้ จัดให้ทุกคนๆละชุด ทั้งสองทีมนี้จะไม่เจอกัน เพราะจะสลับกันทำงาน ถ้าทีมหนึ่งทำงานที่บ้าน อีกทีมจะทำงานที่ออฟฟิต แต่ละทีมนี่จะมีพนักงานในทุกระดับ เหตุผลที่ทำแบบนี้เพื่อว่าถ้ามีคนในทีมหนึ่งติดเชื้อ อีกทีมจะสามารถทำงานต่อได้ ต้องใส่มาร์ก เวลาติดต่องานกัน แต่ถ้านั่งที่โต๊ะตัวเอง จะไม่ใส่ก็ได้ เพราะโต๊ะทำงานจะไม่หันหน้าชนกัน จะจัดใหม่คล้ายๆ กับครึ่งวงกลม คือพูดง่าย แม้จะทำงานในชั้นเดียวกัน ก็ไม่เห็นหน้ากัน ถ้าไม่เดินไปคุย ส่วน lunchroom ก็จำกัดจำนวนคนใช้ ทางสธที่นี่จะกำหนดเลยว่าถ้าที่ทำงานในมีคนติดเชื้อต้องแจ้ง และถ้ามีจำนวนสามคนถือว่าที่ทำงานนั้นมีการระบาด ต้องปิดในส่วนนั้นลง และทางสธจะเข้ามาแนะนำว่าต้องอะไรต่อ
ระยะต่อมาเมื่อฉีดครบสองเข็มจำนวนมากพอ ก็คลายกฏลงอีก ให้นั่งทานอาหารได้ และไม่บังคับให้ใส่มาร์ก แต่แนะนำให้ใส่ถ้าอยู่ในสถานที่ๆ มีคนมาก หรือไม่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ปัจจุบันนี้เราอยู่เวฟสี่ เคสที่ BC ก็เยอะ แต่ยังน้อยกว่า Alberta ที่ดำเนินนโยบายตาม US ตอนนี้ที่อัลเบอร์ต้า คือต้องส่งหมอทหาร พยาบาลทหารเข้าไปช่วย เตียงก็ไม่พอ.
ตอนนี้ที่แคนาดาเกือบทุกมณฑล เร่งให้คนมาฉีด และออกกฏว่า ถ้าจะใช้บริการพวกสันทนาการ เช่น ร้านอาหาร โรงหนัง ดูคอน เสริต์ สถานบริการพวกนี้ต้องเช็คว่า คนที่จะมาใข้บริการต้องฉีดวัคซีนครบ ถึงจะใช้บริการได้ แต่ถ้าไปรพ ไปจ่ายตลาดอันนี้ไม่ต้องโชว์ว่าฉีดวัคซีนครบ ถ้าใครฝ่าฝืนโดนปรับ ที่ Ontario ควบคุมสถานการ์ณอยู่ เพราะมาตรการเข้ม เช่น ให้นักเรียนใส่มาร์กในโรงเรียน และในห้องเรียน มีการใช้ air purifier ช่วยกรองอากาศในห้องเรียน ตอนนี้บีซีก็ต้องเปลี่ยนมาให้นักเรียนใส่มาร์ก เพราะเคสเพิ่มขึ้นในโรงเรียน
อย่างที่พูดไปแล้วคือ ที่นี่มีจำนวนเตียงน้อย เครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ และ รวมทั้งมีบุคคลกรมีไม่พอเพียงกับจำนวนประชากร คนเลยต้องดูแลตัวเอง ไม่อยากป่วย เพราะกลัวเข้ารพ รอนานม้าก ก่อนมี pandemic อัตราการรอรับการรักษาในรพ ใน ON, BC โดยเฉลี่ย 3-5 ชั่วโมง กว่าจะได้เจอหมอ ถ้ารวมตรวจวินิจฉัยกว่าจะได้แอดมิด ต้องมีอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง คนที่นี่เวลาติดโควิด จะรักษาตัวที่บ้านยกเว้นมีอาการหนัก ดังนั้น มีคนตายที่บ้านเหมือนกันกับไทย
แน่นอนแคนาดามีเทคโนโลยี่ทางการแพทย์ที่ทันสมัยไม่น้อยกว่าประเทศพัฒนาอื่น ๆ บุคคลกรของเรามีคุณภาพเยี่ยม (นักวิทยาศาสตร์เคเนเดี้ยนเป็นคนที่คิดค้น lipid nanoparticles สำหรับ Pfizer และ Moderna) แต่เราประเทศเล็ก และการที่ใช้ระบบ Universal health care ทำให้เรามี public funding of health care ไม่เพียงพอ และเรามีทุนสนับสนุนงานวิจัยน้อย ทำให้ นักวิทยาสตร์ส่วนใหญ่ย้ายไปทำงานอยู่ US กันเยอะ
1. เพราะแคนาดามีอัตราการฉีดโควิดวัคซีนมากกว่า US และเรามีมาตราการเสริมทางสาธารณสุขที่เคร่งครัดกว่า
2. เพราะเคเนเดี้ยนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการ เพราะเรารู้ว่าระบบสธ ของเรามีเตียงน้อย รพน้อย บุคคลากรน้อย
3. Universal Health Care มีส่วน เพราะเราจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็น flat rate ตามรายได้ ไม่ใช่ฟรี เรื่องนี้จะแยกไปตอบอีกโพส
เหตุผลที่ US มีคนติดเชื้อมากกว่า หลักๆ เลยคือ ฉีดวัคซีนน้อยกว่า และเมื่อฉีดโควิดวัคซีนได้จำนวนที่ต้องการ ก็ยุติมาตรการทางสธ เช่น ไม่ต้องใส่มาร์ก ไม่จำกัดจำนวนคนที่จะทำกิจกรรมต่างๆ และ CDC ก็รีบประกาศว่า วัคซีน mRNA ที่ฉีดให้ประชากรมีประสิทธิภาพสูงมาก ฉีดวัคซีนแล้วป้องกันการติดเชื้อและแพร่เชื้อ และคลายมาตรการทางสธอื่นๆ ลงทันทีที่ฉีดวัคซีนโดสที่สองให้ประชากร ซึ่งการดำเนินนโยบายผิดตรงนี้แหละ ที่ผ่อนมาตรการเร็วเกินไป ก่อนที่จะมีจำนวนคนที่ฉีดวัคซีนครบโดสได้มากพอ
เพราะว้คซีนโควิดนี้ มันเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันร่วมกัน ไม่ใช่ภูมิคุ้มกันหมู่ แปลว่าต้องฉีดจำนวนมากที่สุด ฉีดครบทุกกลุ่ม การดำเนินนโยบายผิดตรงนี้แหละ เป็นจุดที่ทำให้คนชะล่าใจ เพราะเชื่อว่าฉีดวัคซีนแล้วจะไม่ติดเชื้อ พอมีการระบาดของเชื้อเดลต้า ก็ทำให้คนติดเชื้อเยอะ แต่จริงๆ คนที่ฉีดส่วนใหญ่จะมีความเสี่ยงน้อยที่จะป่วยหนัก คนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่คือคนไม่ฉีดวัคซีน หรือคนที่สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว
สำหรับแคนาดานอกจากจะฉีดวัคซีนได้มากกว่า แคนาดายังคงดำเนินมาตรการทางสธ อื่นๆ และ การผ่อนมาตรการค่อยเป็นค่อยไป
อาจจะเป็นเพราะเราได้รับวัคซีนมาช้ากว่า เลยมีเวลาศึกษาข้อมูลและดูสถานะการณ์ในประเทศที่ฉีดวัคซีนก่อนหน้า ทีนี่ทาง Public Health Agency of Canada (PHAC) ซึ่งเป็นสธ ในระดับ Federal Government จะกำหนดนโยบายหลักลงมา แต่การดำเนินมาตรการจะขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล และ Public Health Agency ของแต่ละมณทล จะขอยกตัวอย่างที่ British Columbia (BC) ซึ่งจขกทอาศัยอยู่ ที่นี่เวลาฉีดวัคซีนจะเราจะประกาศมาตรการฉุกเฉิน ปิดทุกอย่างที่เป็น non-essential activities และไม่ให้พบปะกับคนที่ไม่ได้อยู่อาศัยในบ้านเดียวกัน ยกเว้นถ้าใครอยู่คนเดียว จะอนุญาติให้เจอเพื่อนได้หนึ่งคน พอฉีดเข็มแรกได้จำนวนพอ ก็ค่อยๆ คลายกฏลง ให้สังสรรค์ได้ไม่เกินหกคน จำกัดจำนวนคนนั่งทางอาหารที่ร้าน ยังต้องใส่มาร์กเวลาเดินทางเวลาไปทำกิจกรรม
และทางสธยังกำหนดมาตรการที่ให้สถานที่ทำงานทุกแห่ง ปรับสถานที่ทำงานให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันโควิด เช่นจำกัดจำนวนจำนวนคนที่ทำงานใน ออฟฟิต ปรับตำแหน่งโต๊ะทำงาน ปรับทางเข้าออก ยกตัวอย่าง คนที่ทำงานวิจัยให้กับ Public Health Authority แห่งหนึ่ง จะทำงานที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ จะเข้าออฟฟิตบ้างในกรณีที่จำเป็นต้องใช้แลป หรือ ในกรณีข้าราชการที่ทำงานในศาลในระดับสหภาพที่มีสาขาอยู่ที่ BC จะแบ่งเป็นสองทีมเลย มีมาร์กให้ใส่ มีน้ำยาล้างมือให้ จัดให้ทุกคนๆละชุด ทั้งสองทีมนี้จะไม่เจอกัน เพราะจะสลับกันทำงาน ถ้าทีมหนึ่งทำงานที่บ้าน อีกทีมจะทำงานที่ออฟฟิต แต่ละทีมนี่จะมีพนักงานในทุกระดับ เหตุผลที่ทำแบบนี้เพื่อว่าถ้ามีคนในทีมหนึ่งติดเชื้อ อีกทีมจะสามารถทำงานต่อได้ ต้องใส่มาร์ก เวลาติดต่องานกัน แต่ถ้านั่งที่โต๊ะตัวเอง จะไม่ใส่ก็ได้ เพราะโต๊ะทำงานจะไม่หันหน้าชนกัน จะจัดใหม่คล้ายๆ กับครึ่งวงกลม คือพูดง่าย แม้จะทำงานในชั้นเดียวกัน ก็ไม่เห็นหน้ากัน ถ้าไม่เดินไปคุย ส่วน lunchroom ก็จำกัดจำนวนคนใช้ ทางสธที่นี่จะกำหนดเลยว่าถ้าที่ทำงานในมีคนติดเชื้อต้องแจ้ง และถ้ามีจำนวนสามคนถือว่าที่ทำงานนั้นมีการระบาด ต้องปิดในส่วนนั้นลง และทางสธจะเข้ามาแนะนำว่าต้องอะไรต่อ
ระยะต่อมาเมื่อฉีดครบสองเข็มจำนวนมากพอ ก็คลายกฏลงอีก ให้นั่งทานอาหารได้ และไม่บังคับให้ใส่มาร์ก แต่แนะนำให้ใส่ถ้าอยู่ในสถานที่ๆ มีคนมาก หรือไม่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ปัจจุบันนี้เราอยู่เวฟสี่ เคสที่ BC ก็เยอะ แต่ยังน้อยกว่า Alberta ที่ดำเนินนโยบายตาม US ตอนนี้ที่อัลเบอร์ต้า คือต้องส่งหมอทหาร พยาบาลทหารเข้าไปช่วย เตียงก็ไม่พอ.
ตอนนี้ที่แคนาดาเกือบทุกมณฑล เร่งให้คนมาฉีด และออกกฏว่า ถ้าจะใช้บริการพวกสันทนาการ เช่น ร้านอาหาร โรงหนัง ดูคอน เสริต์ สถานบริการพวกนี้ต้องเช็คว่า คนที่จะมาใข้บริการต้องฉีดวัคซีนครบ ถึงจะใช้บริการได้ แต่ถ้าไปรพ ไปจ่ายตลาดอันนี้ไม่ต้องโชว์ว่าฉีดวัคซีนครบ ถ้าใครฝ่าฝืนโดนปรับ ที่ Ontario ควบคุมสถานการ์ณอยู่ เพราะมาตรการเข้ม เช่น ให้นักเรียนใส่มาร์กในโรงเรียน และในห้องเรียน มีการใช้ air purifier ช่วยกรองอากาศในห้องเรียน ตอนนี้บีซีก็ต้องเปลี่ยนมาให้นักเรียนใส่มาร์ก เพราะเคสเพิ่มขึ้นในโรงเรียน
อย่างที่พูดไปแล้วคือ ที่นี่มีจำนวนเตียงน้อย เครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ และ รวมทั้งมีบุคคลกรมีไม่พอเพียงกับจำนวนประชากร คนเลยต้องดูแลตัวเอง ไม่อยากป่วย เพราะกลัวเข้ารพ รอนานม้าก ก่อนมี pandemic อัตราการรอรับการรักษาในรพ ใน ON, BC โดยเฉลี่ย 3-5 ชั่วโมง กว่าจะได้เจอหมอ ถ้ารวมตรวจวินิจฉัยกว่าจะได้แอดมิด ต้องมีอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง คนที่นี่เวลาติดโควิด จะรักษาตัวที่บ้านยกเว้นมีอาการหนัก ดังนั้น มีคนตายที่บ้านเหมือนกันกับไทย
แน่นอนแคนาดามีเทคโนโลยี่ทางการแพทย์ที่ทันสมัยไม่น้อยกว่าประเทศพัฒนาอื่น ๆ บุคคลกรของเรามีคุณภาพเยี่ยม (นักวิทยาศาสตร์เคเนเดี้ยนเป็นคนที่คิดค้น lipid nanoparticles สำหรับ Pfizer และ Moderna) แต่เราประเทศเล็ก และการที่ใช้ระบบ Universal health care ทำให้เรามี public funding of health care ไม่เพียงพอ และเรามีทุนสนับสนุนงานวิจัยน้อย ทำให้ นักวิทยาสตร์ส่วนใหญ่ย้ายไปทำงานอยู่ US กันเยอะ
ความคิดเห็นที่ 8
ขออนุญาติจขกท อธิบายเรื่อง Universal Health Care ที่มีคนเอามาพูดถึง แน่นอนคนไม่ต้องกังวลว่าไปรพแล้วไม่รู้จะมีเงินจ่ายค่ารักษามั้ย แต่จริงๆ แล้ว health care ที่นี่ไม่ฟรี
ต้องมาแก้ไขความเข้าใจผิดกันก่อน เรื่องนี้ไม่ว่ากัน เพราะคนเคเนเดี้ยนเองส่วนใหญ่ ยังเข้าใจว่าเราไม่เสียเงินค่ารักษาพยาบาล เพราะรัฐบาลจ่ายให้ คือ เข้าใจผิดคิดว่าเป็นสวัสดิการรักษาพยาบาลฟรี คือถ้ามีบัตรประกันสุขภาพก็ใช้บริการได้ แต่จริง ๆ แล้วเราต้องจ่ายเงินเข้าไปในระบบ โดยเฉลี่ย ในปี 2020 คนโสดที่มีรายได้ประมาณปีละ $44,153 จะจ่ายเงินประกันสุขภาพประมาณ $4,894 ต่อปี และสำหรับครอบครัวสี่คนที่มีรายได้ประมาณ $142,449 จะต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพประมาณ $14,474 ต่อปี (คำนวณมาจากการประเมินจำนวนเงินรวมของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพของประเทศ ดูจากค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2015-2019)
“In 2020, the average unattached (single) individual, earning an average income of $44,153, will pay approximately $4,894 for public health care insurance. An average Canadian family consisting of two adults and two children (earning approximately $142,449) will pay about $14,474 for public health care insurance.This would be the cost of the public health care insurance plan if every Canadian resident paid an equal share.”
https://www.fraserinstitute.org/sites/default/files/price-of-public-health-care-insurance-2020.pdf
สาเหตุที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเรื่องนี้ ก็เพราะว่าเราไม่ต้องจ่ายเงิน ณ จุดที่เราไปรับบริการรักษาพยาบาล ซึ่งแต่ละมณทลจะจัดเก็บรายได้ส่วนนี้แตกต่างกันไป เช่นเก็บผ่านจากภาษีรายได้ประจำปี เงินประกันรายได้ EI เงินบำนาญ CPP ภาษีโรงเรือน (property tax) หรือเก็บจากเงินประกันสุขภาพ และอื่นๆ ซึ่งคนที่อาศัยอยู่ใน Ontario หรือที่อื่นๆ จะจ่ายผ่านภาษีเงินได้ หรือระบบอื่นๆ ที่พูดมาแล้ว
แต่สำหรับคนที่อาศัยอยู่ใน BC ก่อนปี 2019-2020 ไม่น่าเข้าใจผิด เพราะเราต้องจ่ายเงินเข้า Health Insurance (ประกันสุขภาพ) ซึ่งเก็บเป็นรายเดือน ทุกเดือนจะมีใบส่งมาเก็บเงินค่าประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นไปตามเรตว่า คนโสดจ่ายต่อเดือนเท่าไหร่ ครอบครัวสี่คนจ่ายเท่าไหร่ ทุกคนต้องจ่าย จะมีกรณียกเว้นที่ต้องขอกับทางสธเป็นรายๆไป เช่นตกงานกระทันหัน อันนี้จะขอผ่อนผันไม่ต้องจ่ายได้ แต่ถ้ากลับมาทำงานเมื่อไหร่ ก็ต้องจ่าย
ระบบนี้พึ่งมาเปลี่ยนตอน NDP เข้ามาเป็นรัฐบาลที่ BC โดยยกเลิกการจ่ายพรีเมี่ยมรายเดือนตัวนี้ลงในปีที่แล้ว แต่จะไปเรียกเก็บเงินส่วนนี้จากภาษีรายได้จากการทำงาน ซึ่งทางบริษัทผู้จ้างก็ต้องจ่ายสมทบ พูดจริงระบบนี้ช่วยคนมีรายน้อย หรือรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ แต่คนที่รายได้ถึงจะจ่ายเยอะกว่าระบบเดิม เพราะต้องสำรองจ่ายให้คนไม่มีรายได้ด้วย
สรุปคือ Universal Health Care ไม่ใช่สวัสดิการรักษาพยาบาลฟรี แต่เป็นการประกันสุขภาพที่ประชาชนทั่วไปจ่ายสมทบเข้ากองทุน และจะมีส่วนที่สบทบเพิ่มจากรัฐบาลส่วนกลาง ดังนั้นระบบนี้. คนที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไปจะแบกรับภาระหนัก และเมื่อไหร่ก็ตามที่คนส่วนน้อยต้องสำรองจ่ายให้คนส่วนมาก ระบบมันจะไปไม่ไหว นี่แหละทำให้เรามีเตียงน้อย อุปกรณ์ไม่พอเพียง เราจ้าง
บุคคลากรได้น้อย แต่ละมณทลก็ร้องขอเงินช่วยจากรัฐบาลกลาง
ต้องมาแก้ไขความเข้าใจผิดกันก่อน เรื่องนี้ไม่ว่ากัน เพราะคนเคเนเดี้ยนเองส่วนใหญ่ ยังเข้าใจว่าเราไม่เสียเงินค่ารักษาพยาบาล เพราะรัฐบาลจ่ายให้ คือ เข้าใจผิดคิดว่าเป็นสวัสดิการรักษาพยาบาลฟรี คือถ้ามีบัตรประกันสุขภาพก็ใช้บริการได้ แต่จริง ๆ แล้วเราต้องจ่ายเงินเข้าไปในระบบ โดยเฉลี่ย ในปี 2020 คนโสดที่มีรายได้ประมาณปีละ $44,153 จะจ่ายเงินประกันสุขภาพประมาณ $4,894 ต่อปี และสำหรับครอบครัวสี่คนที่มีรายได้ประมาณ $142,449 จะต้องจ่ายค่าประกันสุขภาพประมาณ $14,474 ต่อปี (คำนวณมาจากการประเมินจำนวนเงินรวมของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสุขภาพของประเทศ ดูจากค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2015-2019)
“In 2020, the average unattached (single) individual, earning an average income of $44,153, will pay approximately $4,894 for public health care insurance. An average Canadian family consisting of two adults and two children (earning approximately $142,449) will pay about $14,474 for public health care insurance.This would be the cost of the public health care insurance plan if every Canadian resident paid an equal share.”
https://www.fraserinstitute.org/sites/default/files/price-of-public-health-care-insurance-2020.pdf
สาเหตุที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเรื่องนี้ ก็เพราะว่าเราไม่ต้องจ่ายเงิน ณ จุดที่เราไปรับบริการรักษาพยาบาล ซึ่งแต่ละมณทลจะจัดเก็บรายได้ส่วนนี้แตกต่างกันไป เช่นเก็บผ่านจากภาษีรายได้ประจำปี เงินประกันรายได้ EI เงินบำนาญ CPP ภาษีโรงเรือน (property tax) หรือเก็บจากเงินประกันสุขภาพ และอื่นๆ ซึ่งคนที่อาศัยอยู่ใน Ontario หรือที่อื่นๆ จะจ่ายผ่านภาษีเงินได้ หรือระบบอื่นๆ ที่พูดมาแล้ว
แต่สำหรับคนที่อาศัยอยู่ใน BC ก่อนปี 2019-2020 ไม่น่าเข้าใจผิด เพราะเราต้องจ่ายเงินเข้า Health Insurance (ประกันสุขภาพ) ซึ่งเก็บเป็นรายเดือน ทุกเดือนจะมีใบส่งมาเก็บเงินค่าประกันสุขภาพ ซึ่งเป็นไปตามเรตว่า คนโสดจ่ายต่อเดือนเท่าไหร่ ครอบครัวสี่คนจ่ายเท่าไหร่ ทุกคนต้องจ่าย จะมีกรณียกเว้นที่ต้องขอกับทางสธเป็นรายๆไป เช่นตกงานกระทันหัน อันนี้จะขอผ่อนผันไม่ต้องจ่ายได้ แต่ถ้ากลับมาทำงานเมื่อไหร่ ก็ต้องจ่าย
ระบบนี้พึ่งมาเปลี่ยนตอน NDP เข้ามาเป็นรัฐบาลที่ BC โดยยกเลิกการจ่ายพรีเมี่ยมรายเดือนตัวนี้ลงในปีที่แล้ว แต่จะไปเรียกเก็บเงินส่วนนี้จากภาษีรายได้จากการทำงาน ซึ่งทางบริษัทผู้จ้างก็ต้องจ่ายสมทบ พูดจริงระบบนี้ช่วยคนมีรายน้อย หรือรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ แต่คนที่รายได้ถึงจะจ่ายเยอะกว่าระบบเดิม เพราะต้องสำรองจ่ายให้คนไม่มีรายได้ด้วย
สรุปคือ Universal Health Care ไม่ใช่สวัสดิการรักษาพยาบาลฟรี แต่เป็นการประกันสุขภาพที่ประชาชนทั่วไปจ่ายสมทบเข้ากองทุน และจะมีส่วนที่สบทบเพิ่มจากรัฐบาลส่วนกลาง ดังนั้นระบบนี้. คนที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไปจะแบกรับภาระหนัก และเมื่อไหร่ก็ตามที่คนส่วนน้อยต้องสำรองจ่ายให้คนส่วนมาก ระบบมันจะไปไม่ไหว นี่แหละทำให้เรามีเตียงน้อย อุปกรณ์ไม่พอเพียง เราจ้าง
บุคคลากรได้น้อย แต่ละมณทลก็ร้องขอเงินช่วยจากรัฐบาลกลาง
แสดงความคิดเห็น
ทำไมจำนวนคนติดและตายจากโควิดในแคนาดาถึงต่างกับอเมริกามากเลย