นั่งรถไฟฟ้า ชิงกังเซ็น \ Shinkansen เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อน

กระทู้สนทนา
ปีใหม่ตอนนั้น 1968 ญี่ปุ่นเจอกันหลังข้ามปีใหม่ เราก็จะกล่าวสวัสดีปีใหม่ Ome deto gozaimasu ตามธรรมเนียมนิยม ช่วงวันหยุดปีใหม่ สองสามวันพวกเราอยู่เฝ้าหอพักบ้าง แยกไปเที่ยวกันเองบ้าง  เราสองสามคนชวนกันไปเที่ยว หอสูงระฟ้า ในโตเกียว TOKYO  Tower ระบบรถใต้ดินของญี่ปุ่น วิ่งเป็นใยแมงมุม เชื่อมโยงกับเมืองบริวารรอบๆปริมลฑล ดีมากๆ  แค่มีแผนที่รถใต้ดินอยู่ในมือแผ่นพับเดียว จะไปถึงไหนก็ถึงกัน เพียงแต่อย่าลืมพก passport กับ Healthcare ID (รัฐออกบัตรประกันสุขภาพ สำหรับนักเรียนทุน โพ้นทะเลในสมัยนั้น ที่เจ็บป่วยที่เมืองใด ก็เข้า ร.พ.รักษาฟรีได้ทั่วญี่ปุ่น) เมื่อหลงทาง ต้องถามไถ่ถนนหนทาง กับตำรวจ ก็จะขอดู Passport เกือบทุกครั้งไป  เราทะร่อทะแร่ ขึ้นไปถึงชั้นชมวิวที่มีกล้องส่องดู ภูมิทัศน์รอบมหานครโตเกียว ได้เกือบ 360 องศา สูงชนิดที่ว่ามองเห็นยอดภูเขาไฟ ฟูจียาม่า ที่หิมะคลุมขาวโพลนเห็นเด่นเป็นสง่า แม้ว่าจะอยู่ไกล ร้อยกว่ากิโลเมตรขึ้นไป แน่ๆคือช่วงวันหยุดยาวๆ ท้องฟ้าจะใส เคลียร์ ไม่มีควันของโรงงานอุตสาหกรรมบดบัง  อีกทั้งแน่ๆคือปีนั้น ไม่มีหิมะลงที่ โตเกียว  เท่าที่รู้นานๆ โตเกียว จึงจะมีหิมะตกช่วงหน้าหนาว แต่ที่ โยโกฮาม่า ถึงไม่ห่าง โตเกียว มากนัก แต่ก็มีหิมะตกประจำครับ(สมัยนั้นนะ)   สรุปว่าเก็บสแปร์เที่ยว สถานที่สำคัญเป็นกำไร ในวัยทีน ขยันถ่ายรูปไว้ได้เยอะกันทุกคน  หมดไปกับค่าดัดรูป ค่าทำสไลด์ (ซื้อเครื่องฉายสไลด์ ฯลฯ) ครบเครื่อง ใช้เบี้ยเลี้ยงรายเดือนเรียบวุธ กันทุกคน !

สาระสำคัญก็เล่าไปเท่าที่จำได้ เกือบหมด  ไม่ต้องรอเปิดปีใหม่  ทาง YKC จัดพิธีอำลาเลี้ยง (ไล่ ? ) ส่งกันซะที เพื่อนนักศึกษาโพ้นทะเล จากประเทศอื่นเขาจะได้เข้าแทนที่กันได้  จำได้ว่าช่วงเลี้ยงส่ง คนไทยรุ่นพี่ จากองค์การโทรศัพท์ 4-5 ท่านที่เคยจบจาก YKC ไปก่อน แล้วกลับไปดูงานเพิ่มเติมและใช้บริการ พักอยู่ที่ YKC  ได้รับเชิญมาร่วมงานเลี้ยงของพวกเราด้วย เลยผูกพันไปมาหาสู่คบกันต่อมา ในเมืองไทยเป็นหลายสิบปีถึงปัจจุบัน จบงานเลี้ยงจากกันด้วยเพลง Auld Lang Syne หลายคนเห็นกันมานาน มีความเอื้ออาทรต่อกัน ต้องร่ำลากันก็ น้ำตาซึม " mada dewa mata desu ne....sayonara "

รถไฟ ชิงกังเซ็น ของ JR จำไม่ได้ว่าออกวิ่งต้นทางมาจาก Ueno station ที่เป็นชุมทางอยู่เหนือ โตเกียว หรือ ต้นทางจาก โตเกียว ผมไม่มั่นใจ แต่แน่ๆมาจอด สถานีโยโกฮาม่า เพราะเป็นเมืองใหญ่ (เมืองท่า)  พวกเราไปขึ้น ชิงกังเซ็น ที่สถานีโยโกฮาม่า ภายในตู้ที่นั่งโดยสาร กว้างขวางมาก สีไบรท์สว่างยิ่งให้ความรู้สึกว่าเหมือนได้อยู่ในชั้น เฟิร์สคลาสของเรือบินยังไงยังงั้นเลย (เคยแต่เดินเข้าไปในชั้นเฟิร์สคลาส ของเรือบิน Constalation สี่เครื่องยนต์ ใบพัดของ แจแปน แอร์ไลน์ ก็เลยจำติดตาติดใจในความโอ่อ่า  อ้อ ยุคนั้น Boeing 707 ไอพ่นรุ่นแรกยังไม่มีบินครับ ปัจจุบันไป 747\757 กันแล้วมั๊ง)  รถ ชิงกังเซ็น เคลื่อนออกจากสถานี นุ่มมากแทบไม่รู้เลยจนกระทั่ง แว๊บเดียว สองข้างทางนอกรถเป็นความเร็วแบบเบลอๆ ยกเว้นมองออกไปไกลสุดสายตาจึงจับ โฟกัสภาพ ได้ว่าอะไรเป็นอะไร   เราน่าจะใช้เวลาเดินทาง จากโยโกฮาม่า ไปลงปลายทาง(เฉพาะพวกเรา) ที่เมือง Nagoya แค่ชั่วโมงเศษ  ดังนั้นการเดินสำรวจในชิงกังเซ็น จึงเป็นปฏิบัติการ สำหรับวัยทีนของพวกเรา ชนิดที่ไม่ควรพลาด ที่จริงเราเคย ขึ้นไปถ่ายรูป แอ๊คท่า เป็น พขร. บนหัวจรวด Bullet train ที่เราขึ้นไปนั่งอยู่นั้น ตั้งแต่ตอนไปดูงาน ที่โรงงานสร้าง หัวรถ  ชิงกังเซ็น ของบริษัท ฮิตาชิ มาก่อนหน้านี้แล้ว  ทริปนี้ พี่เลี้ยงของคณะเราที่เดินทางไปด้วยทั้ง พี่สุพงศ์กับพี่วุฒิชัย พาเราทะยอยสลับกรุ๊ปกันเข้าไปนั่งกินของว่างในตู้รถเสบียง ซึ่งโก้มากๆสำหรับวัยเรา  เหนือศีรษะของโต็ะอาหารในตู้รถเสบียง มี Odo meter แสดงความเร็ว ของ ชิงกังเซ็น ซึ่งจำได้ว่า ตอนนั้นใช้ความเร็วคงที่ทางตรง อยู่ที่ 240 km/hr.  จัดว่าเป็นความเร็วสูงสุดที่ผมเคยนั่งรถไฟ  (ณ.ปัจจุบัน รถไฟฟ้า ทั้งของ ยุโรป และจีน เร็วกันเกิน 500 km/hr. หรือแม้กระทั่ง New Shinkansen เอง อาจเร็วใกล้ 600 km/hr.)

ในตอนหน้า ชิงกังเซ็น คงวิ่งถึงเมือง นาโงย่า จอดให้เราลงอยู่ที่เมืองนั้นกันสัก วันสองวัน และคงนำมาเล่าให้อ่านกันต่อ เป็นการช่วยให้ผมเรียกความจำออกมา จะได้ไม่เป็น อัลไซเม่อร์ ด้วยครับ mada Nagoya de aishimasho ka/ แล้วพบกันอีกที่ นาโงย่า สวัสดีครับ Sayonara
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่