สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
จขกท ผิดหลายกระทง จะทำกิจการใหญ่ ไม่ควรเอาญาติพี่น้องมาทำด้วย เพราะมันจะลงเอยว่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน
หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องมีการจัดการอย่างมีระบบ จะบริการแบบร้านก๋วยเตี๋ยวอย่างที่ จขกท ทำนั้นไม่ได้ คุณต้องปฏิบัติเหมือนเขาเป็นลูกจ้างคนนึง อยู่ภายใต้การดูแลของ HR เหมือนลูกจ้างคนอื่น ส่วนการจ่ายงาน และมอบอำนาจในการตัดสินใจนั้น ต้องมอบหมายกันเป็นกิจจะลักษณะ
จขกท ตามใจน้องมากไป เขาสบาย แค่ทำงานก็อกแก็ก บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ แถมมีเงินเดือน ฯลฯ อาการได้คืบจะเอาศอกเลยมีมาเรื่อย ๆ
ทางที่ดีปล่อยไปทั้งสองคนผัวเมีย ให้เขาได้เผชิญโลก ได้รู้รสความยากลำบากสักหน่อย จะได้มีบทเรียน ไม่ใช่มีแต่จะเอาท่าเดียว
หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องมีการจัดการอย่างมีระบบ จะบริการแบบร้านก๋วยเตี๋ยวอย่างที่ จขกท ทำนั้นไม่ได้ คุณต้องปฏิบัติเหมือนเขาเป็นลูกจ้างคนนึง อยู่ภายใต้การดูแลของ HR เหมือนลูกจ้างคนอื่น ส่วนการจ่ายงาน และมอบอำนาจในการตัดสินใจนั้น ต้องมอบหมายกันเป็นกิจจะลักษณะ
จขกท ตามใจน้องมากไป เขาสบาย แค่ทำงานก็อกแก็ก บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ แถมมีเงินเดือน ฯลฯ อาการได้คืบจะเอาศอกเลยมีมาเรื่อย ๆ
ทางที่ดีปล่อยไปทั้งสองคนผัวเมีย ให้เขาได้เผชิญโลก ได้รู้รสความยากลำบากสักหน่อย จะได้มีบทเรียน ไม่ใช่มีแต่จะเอาท่าเดียว
ความคิดเห็นที่ 7
เราเป็นน้องสาว ที่พี่สาวพามาทำงานด้วยที่บริษัทฯ
แต่เราไม่เหมือนกับ น้องชาย จขกท. นะคะ
พี่สาวเราเคลียร์กับเราตั้งแต่แรกที่มาทำงานเลยว่า
ต้องทำงานตามกฏของบริษัทฯ ทุกอย่าง
ตอกบัตรเข้า-ออก ทั้ง ๆ ที่เรานอนเฝ้าออฟฟิศ เป็นคนเปิด - ปิดประตู
จะลางานไปไหน ก็ต้องยื่นใบลา
เงินเดือน เป็นไปตามกฏของบริษัทฯ ตามวุฒิการศึกษา
โบนัส เงินพิเศษตรุษจีน ได้เท่ากันกับพนักงานในบริษัททุกอย่าง
อยากได้อะไรเป็นพิเศษ ขอให้เจ้านายผ่อนให้ ก็หักจากเงินเดือน
วันหยุด ไม่มีการไปกินข้าว หรือไปเที่ยวใด ๆ
พี่เราบอกเราว่า ทุกคนต้องมีเวลาส่วนตัว
หากมีธุระนอกเหนือจากงาน เราจะคุยกับพี่นอกเวลางาน
เวลางานเรามีปัญหา เราจะเดินไปคุยกับเจ้านายโดยตรงไม่ผ่านพี่
อ้อ!!! เราเป็นแอดมิน คอยรับ order / จัดทำใบสั่งซื้อ ประสานงานกับทางจัดส่ง เช่นเดียวกับน้องชาย จขกท.ค่ะ
งานที่เรารับมาเราต้องจัดการให้ได้ order จะมากหรือน้อย ก็ต้องทำให้เสร็จ
ทุกวันนี้ WFH เรายังต้องนั่งตอนไลน์ลูกค้าเวลาลูกค้าทักมา ตอนเที่ยงคืน ตี 1 ก็ยังเคย
เพราะพี่เรากำหนดงานหน้าที่เราชัดเจนตั้งแต่แรกค่ะ
ถามว่าเจ้าของกระทู้ผิดหรือเปล่า
ผิดค่ะ ผิดที่ไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก
ทำให้น้องคุณถือสิทธิพิเศษแตกต่างจากพนักงานคนอื่น
ทำให้ไม่รู้จักโต คิดอยู่เสมอว่า พี่เป็นเจ้านาย จะทำยังไงก็ได้
สปอย์มากไป วุ่นวายชีวิตมากไป เอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาปนกัน
น้องชายก็อีโก้จัด คิดว่าทุกอย่างมีพี่คอยซัพพอร์ท
นิสัยเสีย เห็นแก่ตัว และไม่รู้จักโต
ปล่อยให้เค้ามีชีวิตส่วนตัวเค้าค่ะ
เมื่อไหร่ที่เค้าต้องการความช่วยเหลือ
เค้าจะร้องขอเอง เมื่อนั้น ค่อยเข้าไปยุ่งกับชีวิตเค้า
วิธีแก้ปัญหา
ให้น้องปฎิบัติตามกฏระเบียบ เหมือนพนักงานทั่วไป
หรือไม่ ก็ให้เค้าไปหางานทำข้างนอกเอง
แต่เราไม่เหมือนกับ น้องชาย จขกท. นะคะ
พี่สาวเราเคลียร์กับเราตั้งแต่แรกที่มาทำงานเลยว่า
ต้องทำงานตามกฏของบริษัทฯ ทุกอย่าง
ตอกบัตรเข้า-ออก ทั้ง ๆ ที่เรานอนเฝ้าออฟฟิศ เป็นคนเปิด - ปิดประตู
จะลางานไปไหน ก็ต้องยื่นใบลา
เงินเดือน เป็นไปตามกฏของบริษัทฯ ตามวุฒิการศึกษา
โบนัส เงินพิเศษตรุษจีน ได้เท่ากันกับพนักงานในบริษัททุกอย่าง
อยากได้อะไรเป็นพิเศษ ขอให้เจ้านายผ่อนให้ ก็หักจากเงินเดือน
วันหยุด ไม่มีการไปกินข้าว หรือไปเที่ยวใด ๆ
พี่เราบอกเราว่า ทุกคนต้องมีเวลาส่วนตัว
หากมีธุระนอกเหนือจากงาน เราจะคุยกับพี่นอกเวลางาน
เวลางานเรามีปัญหา เราจะเดินไปคุยกับเจ้านายโดยตรงไม่ผ่านพี่
อ้อ!!! เราเป็นแอดมิน คอยรับ order / จัดทำใบสั่งซื้อ ประสานงานกับทางจัดส่ง เช่นเดียวกับน้องชาย จขกท.ค่ะ
งานที่เรารับมาเราต้องจัดการให้ได้ order จะมากหรือน้อย ก็ต้องทำให้เสร็จ
ทุกวันนี้ WFH เรายังต้องนั่งตอนไลน์ลูกค้าเวลาลูกค้าทักมา ตอนเที่ยงคืน ตี 1 ก็ยังเคย
เพราะพี่เรากำหนดงานหน้าที่เราชัดเจนตั้งแต่แรกค่ะ
ถามว่าเจ้าของกระทู้ผิดหรือเปล่า
ผิดค่ะ ผิดที่ไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก
ทำให้น้องคุณถือสิทธิพิเศษแตกต่างจากพนักงานคนอื่น
ทำให้ไม่รู้จักโต คิดอยู่เสมอว่า พี่เป็นเจ้านาย จะทำยังไงก็ได้
สปอย์มากไป วุ่นวายชีวิตมากไป เอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาปนกัน
น้องชายก็อีโก้จัด คิดว่าทุกอย่างมีพี่คอยซัพพอร์ท
นิสัยเสีย เห็นแก่ตัว และไม่รู้จักโต
ปล่อยให้เค้ามีชีวิตส่วนตัวเค้าค่ะ
เมื่อไหร่ที่เค้าต้องการความช่วยเหลือ
เค้าจะร้องขอเอง เมื่อนั้น ค่อยเข้าไปยุ่งกับชีวิตเค้า
วิธีแก้ปัญหา
ให้น้องปฎิบัติตามกฏระเบียบ เหมือนพนักงานทั่วไป
หรือไม่ ก็ให้เค้าไปหางานทำข้างนอกเอง
ความคิดเห็นที่ 5
คุณไม่ใช่พี่ชายที่คอยช่วยเหลือดูแลน้อง แต่เป็นขี้ข้ารับใช้ทำมาหาเงินเพื่อให้ประเคนถวายทุกอย่างให้เขาถลุงเล่น รับใช้น้องชายไม่พอต้องมารับใช้ผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ด้วยอีกคน
เป็นสายเลือดเดียวกันแต่จิตวิญญาณเขาไม่นับเป็นพี่น้องก็มีเยอะแยะ คนไม่ใช่สายเลือดแต่รักกันยิ่งหว่าสายเลือดก็มีถมเถ
ถ้า จขกท.อุปถัมภ์เขากับครอบครัวที่แท้จริง(แฟน) ของเขามากขนาดนี้เขายังกระทำเยี่ยงนี้กับ จขกท.ได้ คนนอกในสายตาเขาอย่าง จขกท.คงต้องคิดให้หนักๆๆๆ แล้วแหละว่าจะปล่อยให้เขาออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองดีหรือเราจะเป็นขี้ข้าเขาไปจนตาย
เป็นสายเลือดเดียวกันแต่จิตวิญญาณเขาไม่นับเป็นพี่น้องก็มีเยอะแยะ คนไม่ใช่สายเลือดแต่รักกันยิ่งหว่าสายเลือดก็มีถมเถ
ถ้า จขกท.อุปถัมภ์เขากับครอบครัวที่แท้จริง(แฟน) ของเขามากขนาดนี้เขายังกระทำเยี่ยงนี้กับ จขกท.ได้ คนนอกในสายตาเขาอย่าง จขกท.คงต้องคิดให้หนักๆๆๆ แล้วแหละว่าจะปล่อยให้เขาออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองดีหรือเราจะเป็นขี้ข้าเขาไปจนตาย
ความคิดเห็นที่ 4
ประเด็นของเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่ผิดหรือไม่ผิดในการเอาพี่น้องมาทำงานด้วยค่ะ แต่มันอยู่ที่ตัวบุคคล
หากน้องคุณเชื่อฟังคุณ ไม่ว่าจะในฐานะน้องหรือลูกจ้างก็ตาม และมีความรับผิดชอบในงาน การได้น้องมาทำงานด้วย ก็ถือว่าได้ประโยชน์สองทาง คือได้ช่วยน้องด้วยและได้คนทำงานที่ดี
แต่ถ้าน้องไม่เชื่อฟัง และ คัดง้างคำสั่งของคุณ แบบนี้ จะเป็นญาติหรือไม่ใช่ญาติ ก็ไม่ควรให้ทำงานด้วยค่ะ
ในกรณีของคุณ มันปนกัน เละเทะเลยเถิดไปหมดแล้ว ในความเห็นของเรา คือ ตอนนี้แยกจัดการเป็นเรื่องๆ ก่อน
อันดับแรก เรื่องการเงิน หนี้ที่พวกเขามีต่อคุณ หากคุณยกให้เขาได้โดยที่คุณไม่เดือดร้อน เราคิดว่ายกให้ไปเลยให้มันจบไป คิดเสียว่า พี่ให้น้อง แล้วก็ไม่ให้ยืมอีก คือตัดขาดเรื่องการเงินออกไปเลย อันนี้ต้องพูดกับเขาดีๆ ว่า ที่ไม่ช่วย เพราะ ต้องการให้เขายืนได้ด้วยตัวเอง และไม่ต้องการให้เกิดปัญหาอย่างที่แล้วมา
หากคราวต่อไป ถ้าเขาเดือดร้อนเรื่องเงินจริงๆ หากคุณให้ได้โดยคุณไม่เดือดร้อน ก็ให้ไปเลยโดยไม่คิดจะเอาคืนค่ะ
เรื่องที่ 2 คือส่วนธุรกรรม ต่างๆ ก็ยกเลิก ตัดขาดออกไปเช่นกัน คุณก็หาวิธีกู้เงินทางอื่น โดยที่ไม่ต้องเอาน้องมาเกี่ยวข้องด้วยค่ะ
ทั้งนี้การจัดการทุกอย่างที่กล่าวมา ไม่ใช่เป็นการตัดขาดพี่น้องกันนะคะ แต่เป็นการแยกให้ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง โดยไม่กระทบกับชีวิตซึ่งกันและกัน
ส่วนเวลาไปเที่ยวแบบครอบครัว หากคุณสะดวกใจ ไม่เดือดร้อนที่จะออกเงินให้กับน้อง ก็ออกให้เขาเถิดค่ะ คิดว่าเป็นการช่วยเหลือแบบพี่ให้น้อง คนมีมากกว่าให้คนน้อยกว่าค่ะ 😊
หากน้องคุณเชื่อฟังคุณ ไม่ว่าจะในฐานะน้องหรือลูกจ้างก็ตาม และมีความรับผิดชอบในงาน การได้น้องมาทำงานด้วย ก็ถือว่าได้ประโยชน์สองทาง คือได้ช่วยน้องด้วยและได้คนทำงานที่ดี
แต่ถ้าน้องไม่เชื่อฟัง และ คัดง้างคำสั่งของคุณ แบบนี้ จะเป็นญาติหรือไม่ใช่ญาติ ก็ไม่ควรให้ทำงานด้วยค่ะ
ในกรณีของคุณ มันปนกัน เละเทะเลยเถิดไปหมดแล้ว ในความเห็นของเรา คือ ตอนนี้แยกจัดการเป็นเรื่องๆ ก่อน
อันดับแรก เรื่องการเงิน หนี้ที่พวกเขามีต่อคุณ หากคุณยกให้เขาได้โดยที่คุณไม่เดือดร้อน เราคิดว่ายกให้ไปเลยให้มันจบไป คิดเสียว่า พี่ให้น้อง แล้วก็ไม่ให้ยืมอีก คือตัดขาดเรื่องการเงินออกไปเลย อันนี้ต้องพูดกับเขาดีๆ ว่า ที่ไม่ช่วย เพราะ ต้องการให้เขายืนได้ด้วยตัวเอง และไม่ต้องการให้เกิดปัญหาอย่างที่แล้วมา
หากคราวต่อไป ถ้าเขาเดือดร้อนเรื่องเงินจริงๆ หากคุณให้ได้โดยคุณไม่เดือดร้อน ก็ให้ไปเลยโดยไม่คิดจะเอาคืนค่ะ
เรื่องที่ 2 คือส่วนธุรกรรม ต่างๆ ก็ยกเลิก ตัดขาดออกไปเช่นกัน คุณก็หาวิธีกู้เงินทางอื่น โดยที่ไม่ต้องเอาน้องมาเกี่ยวข้องด้วยค่ะ
ทั้งนี้การจัดการทุกอย่างที่กล่าวมา ไม่ใช่เป็นการตัดขาดพี่น้องกันนะคะ แต่เป็นการแยกให้ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง โดยไม่กระทบกับชีวิตซึ่งกันและกัน
ส่วนเวลาไปเที่ยวแบบครอบครัว หากคุณสะดวกใจ ไม่เดือดร้อนที่จะออกเงินให้กับน้อง ก็ออกให้เขาเถิดค่ะ คิดว่าเป็นการช่วยเหลือแบบพี่ให้น้อง คนมีมากกว่าให้คนน้อยกว่าค่ะ 😊
ความคิดเห็นที่ 2
ไม่มีผิดถูกครับ คุณบอกเองเป็นคนอารมณ์ร้อน
แต่ใจดีกับน้องและแฟนถึงขั้นควบคุมอารมณ์ได้
ส่วนระเบิดออกมานั้นเพราะ น้องคุณเริ่มก่อน
ตอนนี้คือมันผัวพันทั้งงานและเรื่องส่วนตัว
ถ้าผมมองนี่คือน้องคุณและแฟน(ต่อจากนี้ถ้าผมบอกน้องคุณจะหมายถึงน้องและแฟนเขานะครับ)
คุณซัพพอร์ททุกอย่างแล้ว
พ่อแม่คุณก็ไม่เข้าใจ ในสิ่งที่คุณทำ ผมมองออกจากการที่เป็นคนอื่น
ตอนนี้ธุรกิจคุณมันกลายเป็น กงสีไปแล้ว
เพราะเอาน้องเข้ามา แถมให้เป็นหนี้ก่อนด้วย
ต่อไปนี้คุณต้องใจแข็ง เอาน้องออกไปถูกแล้ว
คุณเป็นทั้งผู้นำ พนักงานที่เหลือจะมองยังไงครับ
ถ้าผมเป็นพนักงานของคุณก็คงมีน้อยใจบ้าง
โหน้องโคตรvipเลยหวะ แต่ถ้าคุณเอาน้องออกไป
นั่นคือการบ่งบอกว่า คุณสามารถตัดคนที่ไม่ทำงานเต็มที่ออกได้
ถ้าไม่น้องคุณธุรกิจคุณไปได้มั้ย ถ้าไปไม่ได้ผมว่าธุรกิจคุณมีช่องโหว่แล้วแหละ
ถ้าได้ ทำต่อไปเลย ถ้าน้องมาขอกลับมา
บอกไปเลยนะ เอาเงินมาคืนก่อน
ตอนนี้คุณเผื่อไว้เลย ว่าหนี้สูญ
เรื่องต่อไปบ้าน นี่แหละตรงนี้ ปัญหาใหญ่แน่
เพราะกู้ร่วม4คน คงต้องตัดส่วนบ้านของน้องไปเลย
ต้องใจแข็งอีกแล้ว แต่ถ้าไหวก็ไปต่อ
ถือว่าเป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย ให้น้อง
แต่ไม่ต้องรับกลับมาทำงาน เพราะคุณเอาน้องคุณไม่อยู่
เคยเอาพนักงานไปเที่ยวแบบนี่มั้ย ให้โบนัสแบบนี้หรือเปล่า
นี่คือการทำงานแบบเท่าเทียม เอาเงินไปเสียตรงนี้ดีกว่า
เอาเงินของน้องที่เป็นใส่ลงไปในหนี้สูญ
หนี้ั2แสนไม่คิดดอกเบี้ยเนี่ย ตัวเนี่ยโคตรสิทธพิเศษเลย
หักเดือนละ 4000 ใน1ปี =48000 ต้องใช้เวลา 4ปี
งั้นให้ลงบัญชีไว้เป็นหนี้สูญเพราะจะหักลบก่อนเสียภาษี
แต่อย่าบอกนะว่าคุณไม่ทำบัญชีอย่างเป็นทางการ
งั้นก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
ลองคิดกลับกันดูนะครับ ถ้าหากคุณเป็นพนักงานในบริษัทตัวเอง
จะเป็นยังไงลองมองกลับกัน
ถ้าไม่เด็ดขาด น้องคุณไม่ได้คุยกันด้วยเหตุผล
แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออก
จบครับ พินาศ เอาเงินตรงนี้ไปให้โบนัสพนักงาน
พาพวกเขาไปเที่ยว ให้อยู่กันแบบพี่น้อง
สร้างความสามัคคี พอมีปัญหาในงานปรึกษากันได้
แบบนี้จะดีกว่ามั้ย และเป็นการให้น้องคุณได้พิสูจน์ตัวเองด้วย
ถึงพ่อแม่คุณจะขอร้องให้น้องทำงานต่อก็ตาม
คำตอบคือไม่!! ตราบใดที่เขาไม่พิสูจน์ตัวเอง
และใช้หนี้คุณหมด
คุณยังมีแฟน อนาคตก็ต้องมีลูก
หันกลับมารักตัวเอง รักหัวใจของของตัวเองบ้าง
การเป็นผู้นำของครอบครัวมันเหนื่อย
แต่ก็มีความสุขเวลาไปเที่ยวกันพร้อมๆหน้า
ต่อจากนี้ถ้าน้องคุณจะไปเที่ยวไม่ไปเที่ยวกับครอบครัวก็ปล่อยเขา
อันนี้คือข้อยกเว้นถ้าไปแล้วคุณยินดีจ่ายให้เพราะถือว่าเป็นครอบครัว
น้องคุณต้องโตได้แล้ว คุณอุ้มเขาไม่ได้ตลอดหรอก
ยิ่งอุ้มยิ่งทำร้ายเขา การมีหนี้ 2 แสน ก็ไม่ใช่เงินน้อย
ถึงน้อยสำหรับคุณก็ตาม ถ้าเขาไม่มีวิธีจัดการตัวเอง
จะมารับผิดชอบเรื่องงานได้ไง?? โชคดีครับ
แต่ใจดีกับน้องและแฟนถึงขั้นควบคุมอารมณ์ได้
ส่วนระเบิดออกมานั้นเพราะ น้องคุณเริ่มก่อน
ตอนนี้คือมันผัวพันทั้งงานและเรื่องส่วนตัว
ถ้าผมมองนี่คือน้องคุณและแฟน(ต่อจากนี้ถ้าผมบอกน้องคุณจะหมายถึงน้องและแฟนเขานะครับ)
คุณซัพพอร์ททุกอย่างแล้ว
พ่อแม่คุณก็ไม่เข้าใจ ในสิ่งที่คุณทำ ผมมองออกจากการที่เป็นคนอื่น
ตอนนี้ธุรกิจคุณมันกลายเป็น กงสีไปแล้ว
เพราะเอาน้องเข้ามา แถมให้เป็นหนี้ก่อนด้วย
ต่อไปนี้คุณต้องใจแข็ง เอาน้องออกไปถูกแล้ว
คุณเป็นทั้งผู้นำ พนักงานที่เหลือจะมองยังไงครับ
ถ้าผมเป็นพนักงานของคุณก็คงมีน้อยใจบ้าง
โหน้องโคตรvipเลยหวะ แต่ถ้าคุณเอาน้องออกไป
นั่นคือการบ่งบอกว่า คุณสามารถตัดคนที่ไม่ทำงานเต็มที่ออกได้
ถ้าไม่น้องคุณธุรกิจคุณไปได้มั้ย ถ้าไปไม่ได้ผมว่าธุรกิจคุณมีช่องโหว่แล้วแหละ
ถ้าได้ ทำต่อไปเลย ถ้าน้องมาขอกลับมา
บอกไปเลยนะ เอาเงินมาคืนก่อน
ตอนนี้คุณเผื่อไว้เลย ว่าหนี้สูญ
เรื่องต่อไปบ้าน นี่แหละตรงนี้ ปัญหาใหญ่แน่
เพราะกู้ร่วม4คน คงต้องตัดส่วนบ้านของน้องไปเลย
ต้องใจแข็งอีกแล้ว แต่ถ้าไหวก็ไปต่อ
ถือว่าเป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย ให้น้อง
แต่ไม่ต้องรับกลับมาทำงาน เพราะคุณเอาน้องคุณไม่อยู่
เคยเอาพนักงานไปเที่ยวแบบนี่มั้ย ให้โบนัสแบบนี้หรือเปล่า
นี่คือการทำงานแบบเท่าเทียม เอาเงินไปเสียตรงนี้ดีกว่า
เอาเงินของน้องที่เป็นใส่ลงไปในหนี้สูญ
หนี้ั2แสนไม่คิดดอกเบี้ยเนี่ย ตัวเนี่ยโคตรสิทธพิเศษเลย
หักเดือนละ 4000 ใน1ปี =48000 ต้องใช้เวลา 4ปี
งั้นให้ลงบัญชีไว้เป็นหนี้สูญเพราะจะหักลบก่อนเสียภาษี
แต่อย่าบอกนะว่าคุณไม่ทำบัญชีอย่างเป็นทางการ
งั้นก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
ลองคิดกลับกันดูนะครับ ถ้าหากคุณเป็นพนักงานในบริษัทตัวเอง
จะเป็นยังไงลองมองกลับกัน
ถ้าไม่เด็ดขาด น้องคุณไม่ได้คุยกันด้วยเหตุผล
แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออก
จบครับ พินาศ เอาเงินตรงนี้ไปให้โบนัสพนักงาน
พาพวกเขาไปเที่ยว ให้อยู่กันแบบพี่น้อง
สร้างความสามัคคี พอมีปัญหาในงานปรึกษากันได้
แบบนี้จะดีกว่ามั้ย และเป็นการให้น้องคุณได้พิสูจน์ตัวเองด้วย
ถึงพ่อแม่คุณจะขอร้องให้น้องทำงานต่อก็ตาม
คำตอบคือไม่!! ตราบใดที่เขาไม่พิสูจน์ตัวเอง
และใช้หนี้คุณหมด
คุณยังมีแฟน อนาคตก็ต้องมีลูก
หันกลับมารักตัวเอง รักหัวใจของของตัวเองบ้าง
การเป็นผู้นำของครอบครัวมันเหนื่อย
แต่ก็มีความสุขเวลาไปเที่ยวกันพร้อมๆหน้า
ต่อจากนี้ถ้าน้องคุณจะไปเที่ยวไม่ไปเที่ยวกับครอบครัวก็ปล่อยเขา
อันนี้คือข้อยกเว้นถ้าไปแล้วคุณยินดีจ่ายให้เพราะถือว่าเป็นครอบครัว
น้องคุณต้องโตได้แล้ว คุณอุ้มเขาไม่ได้ตลอดหรอก
ยิ่งอุ้มยิ่งทำร้ายเขา การมีหนี้ 2 แสน ก็ไม่ใช่เงินน้อย
ถึงน้อยสำหรับคุณก็ตาม ถ้าเขาไม่มีวิธีจัดการตัวเอง
จะมารับผิดชอบเรื่องงานได้ไง?? โชคดีครับ
แสดงความคิดเห็น
ผมผิดที่เอาพี่น้องมาทำงานด้วย หรือ ผิดที่การกระทำของผมครับ (ช่วยให้ผมตาสว่างทีครับ)
แต่ช่วงที่ทำงานก็มีปากเสียงกัน บ่อย น้องผมเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ถ้าคิดว่าตัวเองถูกก็จะเถียงขาดใจกันไปข้างหนึ่ง ถึงขั้นเถียงกับผมแล้วชกต่อยตีกันก็มี บางทีก็ไม่ฟังในคำพูดของผม สงสัยในคำสั่งงานของผม อย่างเช่นล่าสุด น้องผมจะขับรถกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ซึ่งใช้เวลานานในการขับ ประมาณ 4-5 ชม. น้องผมจะเป็นคนขับแล้วให้แฟน เป็นคนช่วยตอบลูกค้าในเพจทั้ง 2 เพจของแฟนด้วย ของน้องผมด้วย แล้วคืนนั้นเค้าก็โทรมาบอกกับผมให้ปิดโฆษณาสักครึ่งได้ไหมเพื่อที่ลูกค้าจะได้เข้าน้อย ปกติลูกค้าจะเข้า 50-80 คนต่อวัน จะให้ผมปิดไปครึ่งหนึ่ง ผมก็ปิด พอเช้ามาวันนั้น โฆษณากับถูกขึ้น คนเข้าเยอะกว่าปกติ น้องผมก็โทรมาต่อว่าทำไมถึงไม่ปิด ผมก็อธิบายไปว่าปิดแล้ว แต่น้องผมไม่เชื่อ แล้วก็จะให้ผมโยนงานให้พนักงานคนอื่นตอบ ผมไม่พอใจตรงนี้ก็เลยต่อว่าไป และเกิดปากเสียงเถียงกันอีก จนเรื่องใหญ่โตนี่คือเรื่องบางส่วน
จนล่าสุดทะเลาะกันเรื่องสัญญาบ้าน ผมกับน้องคิดจะซื้อบ้านกันคนล่ะหลังติดกัน แต่ดันมีปัญหาตรงที่ว่าผมมีเครดิทไม่ดี ก็เลยกู้ไม่ผ่านพนักงานธนาคารแนะนำให้กู้ร่วมกัน 4 คน คือ ผม แฟนผม น้องผม และแฟนน้องผม ต้องอธิบายก่อนว่า เรื่องเอกสารและเรื่องสัญญาบ้าน ผมเป็นคนจัดการทั้งหมดของผมคนเดียว เป็นคนรวบรวมเอกสารให้ คุยกับพนักงานธนาคารให้ คุยกับเซลล์ให้ ที่สำคัญผมนำบัญชีของแฟนน้องผมมาเดิน สเตจเม้นให้ เพื่อที่จะได้กู้ง่ายขึ้น และยังช่วยให้ยืมเงินปิดบัตรเครดิทของแฟนน้องผมด้วย ประมาณ 1 แสนนิดๆ เพื่อที่จะได้ผ่านตรงนี้ง่ายๆ พอกู้บ้านผ่านก็ค่อยเอาเงินส่วนต่างมาคืน ตอนนี้น้องผมเป็นหนี้ผมประมาณ 2 แสนบาท และอีกเหตุผลก็คือ น้องผมไม่ค่อยรู้เรื่องตรงนี้ ผมเลยเป็นคนจัดการให้ ทุกคนก็ตกลงให้ผมจัดการให้ จนมาถึงตรงที่ว่าเค้าให้กู้ร่วมกัน 4 คน และผมก็ดำเนินการตามนั้น มาเรื่อยๆ แต่รายละเอียดต่างๆ ตรงนี้น้องผมไม่รู้ และมาต่อว่าผมที่ไม่ได้บอกเค้า ซึ่งตัวผมเองก็คิดว่าเคยได้บอกเค้าไปแล้ว สรุปคือ ทะเลาะกันเรื่องเล็กน้อย แต่ น้องชายผมเล่นใหญ่อาละวาดทั้งด่า ทั้งว่า จนเรื่องมันทะเลาะไปกันใหญ่โต ต้องบอกว่าทั้งผมและน้องผมเป็นคนอารมณ์ร้อนทั้งคู่ แต่ช่วงหลังมานี้ ผมพยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้ จนถึงล่าสุดคือเรื่องนี้ ผมก็ได้ระเบิดออกมา และได้ทะเลาะกันใหญ่โต เพราะน้องผมไม่ฟังที่ผมพูดสักคำ ให้เหตุผลว่า “ โมโหตรงที่ผมพูดว่าบอกรายละเอียดแล้วแต่ผมยังไม่ได้บอก “ ตลกไหมครับ สุดท้ายผมก็เหลืออด ไม่ไหวแล้ว ไล่น้องกับแฟนออกจากแอดมิน และขอให้เค้าคืนหนี้ทั้งหมดที่ผมเคยช่วยเหลือไปทั้งหมด และผมก็พูดว่า ถ้าไม่คืนผมภายในวันถัดไปผมจะโทรไปคุยกับแม่ของแฟนน้องผม ที่ผมพูดไปแบบนั้น เพราะคิดว่าหนี้ครึ่งหนึ่งประมาณ 1 แสนบาท เป็นของแฟนน้องผมและอีกเหตุผลคือด้วยอารมณ์ของผม จนตอนนี้ทางครอบครัวผมก็ยังคิดว่าผมเป็นคนผิดที่ไปพูดแบบนั้น ไปลามปามแม่ของแฟนน้องผม ซึ่งผมไม่เคยพูดไม่ดีต่อแม่ของแฟนน้องผมเลย แค่พูดว่าจะโทรไปหาเค้า และขอเงินในส่วนที่ลูกสาวเค้าติดผมและก็มีเหตุผลมาอ้างกับผมว่าแม่ของแฟนน้องผมตกงานอยู่บ้านเฉยๆกลัวแม่แฟนน้องผมเครียด ไม่น่าเอาแม่แฟนน้องผมมาขู่พูดแบบนี้ และยังต่อว่าที่ไล่น้องออกจากการเป็นแอดมิน ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน ทุกคนในครอบครัวผมคิดแบบนี้สรุปคือที่ผมทำมาทั้งหมด เป็นเพราะผมผิดที่ตัวผมเอง หรือเป็นเพราะที่ผมตามใจน้องผมเกินไป ผมควรให้เค้าทำงานกับผมต่อหรอครับ ?
ผมผิดส่วนไหนช่วยต่อว่าหรือทำให้ผมเข้าใจทีครับ ไม่รู้จะไปพูดกับใครแล้ว