วัดท่าพุ กาญจนบุรี จำเลย ที่ไม่มีโอกาสได้พูดต่อสังคม เพราะหมอปลา ครองสื่ออยู่คนเดียวหรือไม่?

กรณีของวัดท่าพุ กาญจนบุรี ซึ่งเป็นสถานที่บำบัดผู้ติดยาเสพติด จากทั่วประเทศ นำมาส่งให้ที่วัดบำบัด  โดยผมขอนำข้อเท็จจริง จากในข่าวมาพูดแทนทางวัดบ้าง เพราะ เท่าที่ติดตามข่าว ทางวัดแทบจะไม่มีโอกาสได้พูด ได้ชี้แจงอะไรเลย  มีแต่ถูกหมอปลา กล่าวให้ร้ายอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งข้อเท็จจริง จะเป็นอย่างที่ หมอปลาพูดทั้งร้อยเปอร์เซนต์หรือไม่  หรือจริงบางส่วน หรือแทบจะไม่จริงเลย หรือไม่จริงเลย ก็อาจจะเป็นได้  โดยผมจะไล่เรียงดังนี้
1. ทางวัด เรียกเก็บเงินจำนวน 12000 บาท ในการเข้ารับการบำบัดของผู้ติดยาเสพติด
- ถ้าจะมองทางมุมของวัด  ค่าใช้จ่ายจำนวนน้อยนิด  เมื่อเทียบกับค่าอาหาร ค่าดูแล ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของวัด  อย่างมากเพียงเดือนเดียว ก็น่าจะหมดไปแล้ว  ทราบมาว่า หลายคนที่มาบำบัด ก็ไม่ได้จ่ายค่าใช้จ่ายให้ทางวัดอีกเลย  ทางวัดต้องอาศัยเงินบริจาค มาจุนเจือรายจ่ายของวัด เพื่อให้การบริหารวัดอยู่ได้
2.ถ้าหากใครที่กลับบ้าน ก่อนที่การบำบัดจะเสร็จสิ้น จะต้องโดนปรับ 
- ทางวัดได้ชี้แจงว่า เป็นกุศโลบาย ที่ต้องการให้ผู้เข้ารับการบำบัด และผู้ปกครอง ยึดมั่นไม่โลเลในการบำบัด ซึ่งข้อนี้น่าจะเป็นเงื่อนไข ตั้งแต่แรกที่ทางฝ่ายผู้บำบัดและผู้ปกครอง ทราบดีอยู่แล้ว    ถ้ามองอย่างเป็นกลาง แม้ว่าจะปรับจริง ก็คงแทบจะไม่พอค่าใช้จ่ายจริง ที่ต้องใช้ไปของทางวัด ที่จะต้องหมดไปกับการดูแลผู้ติดยาเหล่านี้
3. มีการทำเป็นธุรกิจ จ่ายเงินให้ตำรวจในการส่งผู้ติดยามาบำบัดที่วัดนี้
- มีการยอมรับจากตำรวจและผู้ปกครองว่า มีการเรียกเก็บเงิน 24000 บาท  จากการนำส่งตัวผู้ติดยา จากจังหวัดในภาคอีสาน มายังวัดท่าพุ  โดยมีค่าใช้จ่าย 12000 บาท เป็นค่ารถ ค่าน้ำมันรถ ค่าคนดูแลระหว่างทาง ค่าอาหารการกิน ระหว่างทาง  และอีก 12000 บาท มอบให้ทางวัด เป็นค่าใช้จ่าย   
ในส่วนของการเรียกเก็บของทางวัด คงไม่น่าจะเป็นประเด็นอะไร เนื่องจากเงินเพียง 12000 บาท คงจะพอเป็นค่าใช้จ่ายเพียงเดือนแรกเท่านั้น  ส่วนที่เป็นประเด็นคือ ตำรวจบ้าน เรียกเก็บ 12000 บาท สมเหตุสมผลหรือไม่     ผมลองมองย้อนว่า ถ้าใครสักคนต้องเป็นธุระจัดการ คนติดยาเสพติดสัก 1 คน เริ่มตั้งแต่ นำตัวขึ้นรถ  ต้องมีคนควบคุมมาด้วย  เดินทางไกลจากร้อยเอ็ด ถึงกาญจนบุรี  ทั้งค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่ากิน ค่าเสียเวลา  ฯลฯ  เมื่อหักค่าใช้จ่ายทุกอย่าง คงแทบจะไม่เหลืออะไรที่เป็นกำไรเลย  ถ้าไม่ได้ทำด้วยใจ หรือด้วยปราถนาดีแล้ว คงจะหาคนแบบนี้ได้น้อยมาก   สังคมเราจะให้คนดี ๆ ต้องควักกระเป๋าเข้าเนื้อ แล้วสุดท้ายจะเหลือใครที่อยากจะทำความดี
4. มีการทำโทษ ผู้เข้ารับการบำบัดยาเสพติด หรือมีการขังไว้ตอนกลางคืน มีห้องน้ำเพียงแค่ 2 ห้อง
- ทางวัดได้ชี้แจงว่า ที่ต้องขังไว้ เพราะเกรงว่าผู้เข้ารับการบำบัด ซึ่งมีอาการอยากยา อาจจะหลบหนี หรือออกไปเพ่นพ่านภายนอกวัด  ส่วนห้องน้ำ ทางวัดนั้นมีเป็นสิบห้อง ซึ่งอยู่ภายนอก ห้องนอน  โดยปกติแล้วจะเพียงพอ สำหรับจำนวนคนที่เข้ามารับการบำบัด
กรณีนี้ น่าเห็นใจวัดเป็นอย่างมาก  ลองคิดเอาเองดูว่า หากบ้านเรา มีสมาชิกในครอบครัวสัก 1 คน ติดยา อยากยา เขาจะอาละวาด ทำร้ายคนอื่น เมื่อไหร่ก็ได้ ดังที่เราได้เห็นตามข่าวอยู่บ่อยครั้ง  แต่ที่วัดนี้ ต้องรับคนเหล่านี้ มาอยู่รวมกันจำนวนมากเป็นร้อยคน  แต่ละคน ดูน่ากลัวขนาดไหน คนที่เคยประสพจะรู้ดี  ถ้าหากทางวัดไม่เข้มงวด ก็ยากที่จะจัดการคนเหล่านี้ให้อยู่ในระเบียบวินัย และไม่ออกไปเพ่นพาน ให้ชาวบ้านในละแวกวัดหวาดกลัว
-------------------------------------------------------------------------------------------
ผมเห็นการกระทำของหมอปลา  ที่ไปย่ำยีวัด ด่าสาดเสีย เทเสีย ชี้หน้าด่าพระ ด่าวัด ด่ากราด ทุกคน  โทรจิกผู้ว่าฯ ให้มาทำตามที่ตนเองต้องการ  เห็นแล้วรู้สึกสงสารทางวัด และผู้ว่า ฯ เป็นอย่างมาก  บางคนทำดีมาทั้งชีวิต ผ่านความทุกข์ยาก อุปสรรคต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือสังคม  แต่บางครั้งก็มีความผิดพลาด บนความสุจริต บนความปราถนาดี  ที่จะช่วยเหลือสังคม ดังเจ้าอาวาสวัดท่าพุ แห่งนี้  แต่ท่านต้องมา มรณภาพ ลง เพราะช็อคกับการกระทำของหมอปลา  ที่มาออกสื่อ โดยใช้วัดเป็นเหยื่อ เหยียบย่ำวัดและพระ ให้จมดิน  ส่วนสื่อต่าง ๆ ก็ช่วยกันตีข่าว ไขข่าว แพร่ข่าว แต่ของหมอปลา ฝ่ายเดียว  โดยลืมไปว่า ความจริงมันมีสองด้านเสมอ  สื่อกลับไม่ส่งนักข่าวไป เปิดความจริงอีกด้านให้สังคมรับรู้บ้าง
เห็นข่าว หมอปลา รับผู้ติดยาจากวัดนี้ไปจำนวน 19 คน ไปบำบัดที่บ้านตัวเอง ที่เพชรบุรี   ก็ขออนุโมทนา ให้หมอปลา ทำให้สำเร็จ ทำให้คนทั้ง 19 คน เลิกยาเสพติดและกลับมาเป็นคนดีของสังคม โดยที่ไม่เลิกกลางคันเสียก่อน ในวันที่สื่อเลิกเล่นข่าวนี้แล้ว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่