JJNY : 4in1 สหภาพแรงงานยาสูบบุกคลัง│ลูกจ้าง’ศป.ปส.อ.’ถูกเลิกจ้างทั่วปท.│แม่โวยลูกโดนสวมสิทธิ์ฉีด│อุตุฯเตือน‘เตี้ยนหมู่’

สหภาพแรงงานยาสูบ บุกคลัง ส่งหนังสือ ค้านขึ้นภาษีบุหรี่ ชี้กระทบรายได้แรงงาน-เกษตรกรยาสูบ
https://www.matichon.co.th/economy/news_2954760
 
 
สหภาพแรงงานยาสูบ บุกคลัง ส่งหนังสือ ค้านขึ้นภาษีบุหรี่ 1 ต.ค.นี้ ชี้กระทบรายได้แรงงาน-เกษตรกรยาสูบ เพิ่มบุหรี่เถื่อนเกลื่อนเมือง
 
เมื่อวันที่ 23 กันยายน ผู้สื่อข่าวรางานว่า ที่กระทรวงการคลัง สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ และเกษตรกรชาวไร่ยาสูบ จำนวน 50 คน เดินทางมาส่งหนังสือร้องเรียน กรณีการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ ถึงนายนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งมีน.ส.วันดี เจริญประวัติ รักษาการณ์ตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรี เป็นตัวแทนรับหนังสือ
 
น.ส.วันดี เจริญประวัติ รักษาการณ์ตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรี กล่าวว่า จะรับข้อเสนอจากสหภาพแรงงานยาสูบเพื่อไปสรุปภายในวันนี้ เพื่อส่งให้นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาต่อไป ส่วนผลของข้อร้องเรียนจะสามารถตอบกลับได้วันไหนนั้นยังไม่สามารถระบุได้ ต้องรอนายอาคม เป็นผู้สั่งการ
 
นายสุเทพ ทิมศิลป์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจยาสูบ เปิดเผยว่า จากกรณีที่กระทรวงการคลังกำลังเตรียมเสนอโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ใหม่ เพื่อให้รัฐมนตรีพิจาณาเห็นชอบเพื่อใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 นี้ ประกอบกับรายงานข่าวที่ระบุว่าอาจจะทำให้บุหรี่ขึ้นราคาอีกซองละ 6-13 บาท นั้น   เป็นการซ้ำเติมปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยมีบทเรียนมาตั้งแต่การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตบุหรี่ปี 2560 ได้ส่งผลให้รายได้ของพนักงานและลูกจากของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.)
 
นายสุเทพ กล่าวว่า แม้ว่าในหลักการการขึ้นภาษีบุหรี่ จะช่วยดูแลสุขภาพของคนไทยและเป็นการเพิ่มรายได้ภาษีให้รัฐ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่ได้ช่วยคนมีคนสูบลดลง และการขึ้นภาษียังส่งผลกระทบให้ ยสท. แข่งขันในตลาดได้ลำบากขึ้น และยังทำให้ราคาบุหรี่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนทำให้เกิดปัญหาบุหรี่เถื่อนจำนวนมาก ซึ่งส่วนนี้ก็ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีบุหรี่ของรัฐบาลลดลงด้วยเช่นกัน เพราะคนหันไปซื้อบุหรี่เถื่อน ที่มีราคาถูกกว่ามากขึ้น อย่างไรก็ตามแม้ ยสท. จะมีกำไร แต่เงินรายได้ที่ต้องส่งรัฐ 88% ก็หายไปกว่า 34,000 ล้านบาท เพราะไม่ได้นำส่งมา 4 ปีแล้ว และหากกรมสรรพสามิตนำข้อเสนอแนะการปรับขึ้นภาษีบุหรี่จากเครือข่ายสุขภาพมาใช้จริง นอกจากรายได้รัฐจะหายไปแล้ว อาจทำให้ ยทส. อยู่ไม่ได้และหายไปด้วย
 
“ไม่อยากให้กระทรวงการคลังและกรมสรรพสามิตผิดสัญญาจนต้องกลืนจุดยืนของตัวเองที่เคยบอกว่า การปรับโครงสร้างภาษีจะต้องบรรลุวัตถุประสงค์  4 เรื่อง ทั้งการแก้ปัญหาชาวไร่ รายได้ บุหรี่เถื่อนและสาธารณสุข แต่พอเอาเข้าจริงก็เสียท่าให้กับหมอและเอ็นจีโอฝั่งสุขภาพ อยากให้เห็นใจคนในอุตสาหกรรมที่ยังต้องทำงาน ทำไร่ ส่งเสียครอบครัว” นายสุเทพ กล่าว
 
ด้านนายกิตติทัศน์ ผาทอง ตัวแทนภาษีชาวไร่ยาสูบแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมาขาวไร่ยาสูบได้รับผลผลกระทบมาโดยตลอดแต่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐเท่าที่ควร รวมทั้งเงินชดเชย 160 ล้านที่รัฐบาลรับปากว่าจะให้ ก็ยังต้องติดตามทวงถามมา 2 ปีแล้ว ทั้งนี้การขึ้นภาษีบุหรี่สรรพสามิตสูง จะทำให้กระทบกับปากท้องชาวไร่กว่า 30,000 ครอบครัว และจะทำให้ถูกตัดโควตาปลูกยาสูบเพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งกระทบต่อรายได้เฉลี่ย 30,000 บาทต่อไร่ ทั้งนี้ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเม็ดเงินของชาวไร่หายไปกว่า 900 ล้านบาท ดังนั้นภาษีที่ยิ่งสูงก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อชาวไร่ไปอีก
 

 
ลูกจ้าง’ศป.ปส.อ.’น้ำตาซึม!ถูกสั่งเลิกจ้างทั่วประเทศ เศร้าจบป.ตรีเงินน้อย-ซ้ำตกงาน
https://www.dailynews.co.th/news/303331/
 
น้ำตาซึม ! ลูกจ้าง ศป.ปส.อ. ถูกสั่งเลิกจ้างงานทั่วประเทศ สุดเศร้า แม้จบ ปริญญาตรี ได้เงินเดือน 8 พัน ไม่พอใช้จ่าย เคราะห์ซ้ำยังต้องตกงาน
 
เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดศรีสะเกษ ศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ ชั้น 1 อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ นายนฤพล งามศิริ อายุ 27 ปี ลูกจ้างชั่วคราว ตำแหน่งเจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลและช่วยเหลืองานยาเสพติด ประจำศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอ (ศป.ปส.อ.) อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ เป็นผู้แทนกลุ่มลูกจ้างชั่วคราวช่วยเหลืองานยาเสพติด (ศป.ปส.อ.)  จากทั้ง 22 อำเภอ และจากทั่วประเทศ รวมกว่า 800 คน เข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ขอความเห็นใจ กรณีทางรัฐบาลไม่ต่อสัญญาจ้างเจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลและช่วยเหลืองานยาเสพติด ซึ่งรับเงินเดือนเพียงแค่เดือนละ 8,000 บาท  โดยอ้างว่าถูกตัดงบประมาณไปกว่า 1,000 ล้านบาท ส่งผลทำให้กลุ่มลูกจ้างดังกล่าวได้รับผลกระทบเดือดร้อนอย่างหนัก โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำและปัญหาโรคระบาดโควิด-19
 
นายนฤพล กล่าวว่า เป็นตัวแทนของกลุ่มลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว มายื่นหนังสือร้องขอความเห็นใจ กรณีถูกสั่งเลิกจ้าง ลูกจ้างของรัฐ ซึ่งงานในตำแหน่งที่ตนและกลุ่มลูกจ้างดังกล่าวได้รับมอบหมาย ถือเป็นงานที่มีความสำคัญในการช่วยเหลือและเป็นกำลังหนุนงานของภาครัฐให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ถึงแม้เงินเดือนจะน้อยนิด แต่ตนและกลุ่มลูกจ้างก็ยังรักและมีความเต็มใจที่จะทำงานนี้ด้วยความเข้มแข็ง การที่ออกมายื่นหนังสือในครั้งนี้ก็เพื่อสะท้อนปัญหาให้ ผวจ. และทางรัฐบาล ได้รับรู้ถึงความเดือดร้อนและพิจารณาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ด้วย เพราะแต่ละคนต่างมีภาระที่ต้องรับผิดชอบครอบครัว โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าเล่าเรียนบุตร ค่าผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ค่าน้ำค่าไฟและค่าครองชีพ และต้องกลายเป็นคนตกงาน ขาดรายได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของคนในครอบครัว และกลุ่มคนเหล่านี้ไม่อยากถูกทิ้งไว้ข้างทาง
 

 
แม่โวยลูกสาวพิการ โดนสวมสิทธิ์ฉีดวัคซีนเข็ม 2 ไปโผล่เชียงราย เช็ค ร.พ.ปลายทางถึงกับอึ้ง
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6637303

แม่โวยลูกสาวพิการ โดนสวมสิทธิ์ฉีดวัคซีนเข็ม 2 ไปโผล่เชียงราย เช็ค ร.พ.ปลายทางถึงกับอึ้ง ถูกสวมบัตรประชาชนด้วย ตร.ไม่รับแจ้ง ให้ไปแจ้งที่เกิดเหตุ
   
วันที่ 23 ก.ย.64 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นางนฤมล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 59 ปี ประกอบอาชีพรับราชการครู หลังเมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้พา น.ส.ศศิวิมล อายุ 31 ปี ลูกสาวซึ่งเป็นผู้พิการทางสติปัญญา ไปฉีดวัคซีนเข็ม 2 ตามนัดที่ ร.พ.ราชานุกูล กทม. แต่เมื่อ ร.พ. ตรวจสอบข้อมูลการฉีดวัคซีนของ ร.พ.กลับพบว่าข้อมูลของ น.ส.ศศิวิมล ได้มีการบันทึกรับวัคซีนเข็ม 2 เรียบร้อยแล้ว ในวันที่ 18 ก.ย.ที่ ร.พ.โอเวอร์บุ๊ค จ.เชียงราย เจ้าหน้าที่ ร.พ.ราชานุกูล จึงให้ นางนฤมล ประสานไปยัง ร.พ.โอเวอร์บุ๊ค เพื่อขอทราบเหตุผลในการบันทึกข้อมูลและให้แก้ไขข้อผิดพลาด ทาง ร.พ.โอเวอร์บุ๊ค ได้แจ้งว่าในวันที่ 18 ก.ย. ได้ฉีดวัคซีนให้กับ น.ส.ศศิวิมล ที่อยู่บ้านพักถนนลาดหญ้า เขตคลองสาน แขวงคลองสาน กทม. โดยผู้ฉีดวัคซีนได้มี นายยี่พวง สามีเป็นผู้พามาฉีด ซึ่งเป็นคนละคนกัน
 
สำหรับวิธีการในการฉีดวัคซีนของทาง ร.พ.โอเวอร์บุ๊ค ได้รับทราบว่าจะฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่แสดงบัตรประชาชนตัวจริง และมีการคีย์ข้อมูลลงในระบบภายหลัง ไม่ได้ใช้วิธีการเสียบบัตรประชาชนในการคีย์ข้อมูล ทั้งนี้ ทาง ร.พ.โอเวอร์บุ๊ค แจ้งว่าไม่สามารถแก้ไขข้อมูลในระบบให้ได้ เนื่องจากผู้มาฉีดวัคซีนได้แสดงตัวตนโดยมีบัตรประชาชนจริงมาฉีด จึงต้องมีการพิสูจน์ให้ได้ว่าคนที่มาฉีดไม่ใช่ น.ส.ศศิวิมล และมีการนำบัตรประชาชนมาสวมสิทธิ์ได้อย่างไร
 
ต่อมาเวลา 14.18 น.วันเดียวกัน นางนฤมล ได้เดินทางไปที่สำนักงานเขตคลองสาน เพื่อขอตรวจสอบและขอคำแนะนำในการดำเนินการ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบทะเบียนราษฎร์แจ้งว่าข้อมูลตามบัตรประชาชนของ น.ส.ศศิวิมล เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง บัตรประชาชนมีการจัดทำที่สำนักงานเขตอำเภอเมือง  จ.กาญจนบุรี ควรมีการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ทราบต้นตอว่าผู้ที่อ้างว่าชื่อ น.ส.ศศิวิมล และมีการแสดงตัวตนโดยใช้บัตรประชาชนจริง ในวันที่ 18 ก.ย. เป็นผู้ใด
 
จากนั้นเวลา 15.30 น. นางนฤมล ได้เดินทางไปที่ สน.สมเด็จเจ้าพระยา เพื่อแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งให้ทราบว่า ไม่สามารถรับแจ้งความได้ ต้องไปแจ้งความที่ สภ.เมืองเชียงราย ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ จากนั้นเวลา 19.08 น. นางนฤมล ได้เดินทางมาแจ้งบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ต่อไป และเกรงว่าจะมีการนำบัตรประจำตัวประชาชนที่ปลอมขึ้นมาไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายซึ่งอาจทำให้เสียหายในภายหลังได้

โดย นางนฤมล เปิดเผยว่า ประเด็นปัญหาที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือคือ ต้องการแจ้งความเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมาย กรณีนำบัตรประชาชนที่ไม่ใช่ของจริงไปแสดงตัวตนและสวมสิทธิ์เป็นลูกสาว ซึ่งไม่ทราบว่าถูกนำไปใช้ที่ใดมาบ้างแล้ว แต่ที่ทราบแล้วแน่นอนคือมีการนำมาแสดงตัวในการฉีดวัคซีนโควิดที่ ร.พ.โอเวอร์บุ๊ค ในวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา
 
นอกจากนี้ ต้องการให้ ร.พ.โอเวอร์บุ๊ค แก้ไขข้อมูลที่ได้บันทึกการฉีดวัคซีนเข็ม 2 ของ น.ส.ศศิวิมล ในระบบของหมอพร้อมให้ถูกต้องตามความเป็นจริง โดยการลบข้อมูลการฉีดวัคซีนออก เนื่องจากลูกสาว ไม่ได้ฉีดวัคซีนที่ ร.พ.โอเวอร์บุ๊ค ในวันเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งดำเนินการตรวจสอบกรณีดังกล่าวเพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่