จขกท จริงๆมีอาชีพเสริมคือขายประกัน แต่วันนี้ไม่ได้มีเจตนามาขายของ(สัญญาว่าจะไม่ Tie in 55)
เราแค่อยากแชร์ความรู้ที่มี เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ เป็นไอเดียประกอบการเลือกซื้อประกันชีวิต ซึ่งเชื่อว่ายุคนี้คนมีความต้องการประกันมากขึ้นแล้ว เงินที่จ่ายไปกับประกันอาจจะไม่สามารถคิดถึงความคุ้มไม่คุ้มได้ขนาดนั้น เพราะคุ้มคือเราต้องได้ใช้ (ไม่มีใครอยากใช้ประกันให้คุ้มหรอกเนาะ) ดังนั้นเราอยากให้ทุกคนสามารถเลือกซื้อประกันที่ตอบสนองความต้องการและความจำเป็นของตัวเองให้ได้มากที่สุด ในงบประมาณที่เราไหว ในช่วงชีวิตนั้นๆมากกว่าค่ะ ขอคุยกันแบบไม่ต้องใช้ศัพท์เฉพาะหนักๆ จะได้เข้าใจง่ายนะคะ
มาทำความเข้าใจประกันกันก่อน จริงๆแล้วประกันทุกชนิดเกิดมาเพื่อการกระจายความเสี่ยง มาช่วยแบ่งเบาภาระ ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งเป็นความเสียหายที่อาจเกิดหรือไม่เกิดเลยก็ได้ โดยประกันจะแบ่งหลักๆเป็นประกันชีวิตและประกันภัย วันนี้เราจะมาคุยเรื่องประกันชีวิตกันค่ะ
เวลาเราพูดถึงประกันชีวิต แน่นอนว่าคุ้มครองคนที่ซื้อ หากเจ้าของกรมธรรม์จากไปก่อน บริษัทประกันจะจ่ายเงิน(ทุนประกัน)ให้กับผู้รับผลประโยชน์ที่ระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์เท่านั้น ถ้ามีผู้รับผลประโยชน์หลายคนก็จะจ่ายตาม %ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ค่ะ
ประกันชีวิตความจริงแล้วมี 2 ส่วน คือ สัญญาหลัก และ สัญญาเพิ่มเติม
สัญญาหลัก (ขออธิบายหลักๆที่เป็นพื้นฐานก่อนนะคะ) คือ สัญญาที่ให้ความคุ้มครองชีวิต โดยอาจเป็นสัญญาที่ให้ความคุ้มครองชีวิตเน้นๆ (มักเรียกว่าแบบตลอดชีพ) หรือ คุ้มครองชีวิตในรูปแบบที่เป็นเงินออมด้วย
ความต่างของสองแบบนี้คือ เบี้ยประกันที่จ่ายต่อปี ระยะเวลาที่จ่ายเบี้ย ระยะเวลาของสัญญา ทุนประกันที่จะได้รับ และผลประโยชน์ที่เป็นเงินคืนหรือเงินปันผลระหว่างทางค่ะ
สัญญาหลักแบบคุ้มครองตลอดชีพ จะมีลักษณะคือ จ่ายเบี้ยน้อยต่อปี ระยะเวลาจ่ายเบี้ยสั้น สัญญาให้ความคุ้มครองระยะยาว ได้ทุนประกันสูง แต่ไม่มีเงินคืนระหว่างทางค่ะ อาจมีปันผลตามแต่แบบที่เราซื้อแต่ปันผลจะได้รับหรือไม่ขึ้นอยุ่กับประกาศของบริษัทปีนั้นๆซึ่งไม่ฟิกว่าเท่าไหรค่ะ
ส่วนสัญญาหลักแบบออมทรัพย์ จะมีลักษณะคือ จ่ายเบี้ยค่อนข้างสูงต่อปี ระยะเวลาจ่ายเบี้ยปานกลางถึงยาว สัญญาให้ความคุ้มครองระยะปานกลางถึงยาว ได้ทุนประกันไม่สูง แต่มีเงินคืนระหว่างทางซึ่งฟิกเลยว่าจะได้รับทุกๆกี่ปีและให้เป็นปีละกี่%ของทุนประกันที่ซื้อ โดยมักมีปันผลให้ด้วยค่ะ แต่ปันผลก็ขึ้นอยุ่กับประกาศของบริษัทปีนั้นๆซึ่งไม่ฟิกเช่นกัน
ถามว่าเราควรซื้อแบบไหน หลักๆต้องสำรวจตัวเองก่อนว่า เรามีความกังวลอะไรในชีวิตบ้าง ลิสออกมาก็ได้ค่ะ แล้วลองลำดับความกังวลออกมาเพื่อให้ทราบว่าเราห่วงอะไรมากที่สุด และในบรรดาความห่วงนั้น ประกันเข้ามาตอบโจทย์ได้ไหม (ประกันไม่ใช่ทุกอย่าง ความกังวลอื่นที่ประกันช่วยไม่ได้ เราก็ต้องไปหาสินค้าทางการเงินอย่างอื่นค่ะ)
อย่าง จขกท ห่วงคุณแม่ค่ะ เราเป็นลูกสาวคนเดียว ทำงานคนเดียวเพื่อดูแลคุณแม่ เราจะห่วงว่า เกิดเราไปก่อน คุณแม่จะอยู่ยังไง อยากมีเงินพอให้เค้าใช้จ่ายอย่างสบายนะ เราเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน เงินเดือนยังน้อย แต่ถ้าวันนึงเราไม่อยู่ก็อยากทิ้งเงินเป็นหลักล้านให้คุณแม่ไว้ดูแลท่าน อันนี้แปลว่า เราอยากใช้เงินน้อยเพื่อซื้อประกันที่มีทุนประกันสูงๆ ประกันเล่มแรก ก็แนะนำเป็นประกันชีวิตที่มีสัญญาหลักแบบคุ้มครองตลอดชีพ
แต่ถ้าเพื่อนๆ ไม่ได้มีความห่วงกังวลเหมือนเคสของเรา แค่อยากหาสินค้าทางการเงินที่เอามาลดภาษีได้ เป็นเงินออมด้วย สามารถจ่ายเบี้ยต่อปีได้เป็นหลักหมื่น (จนถึงหลายๆหมื่น) อยากได้เงินก้อนออกมาใช้เองเมื่อตอนอายุมากขึ้น อันนี้สัญญาหลักแบบออมทรัพย์ คือตอบโจทย์
ประกันส่วนมากแม้จะบอกว่า จ่ายสั้น แต่สัญญาก็หลายปีค่ะ จริงๆแล้วไม่ว่าจะสัญญาหลักแบบไหนก็สามารถนำไปลดภาษีได้ ทุกๆปีที่มีการจ่ายเบี้ยประกัน เราจะได้ใบเสร็จมาเป็นหลักฐาน ก็แสกนเก็บไว้ยื่นสรรพากรเวลาถูกขอเอกสารเพิ่มเติมค่ะ ถ้าไม่ถูกเรียกก็เก็บเป็นหลักฐานว่าเราจ่ายแล้ว
สัญญาหลักนี้ ตอนที่ซื้อปีแรกเราจ่ายเบี้ยเท่าไหร่ ก็จะเป็นเบี้ยเท่านั้นตลอดสัญญานะคะ ไม่มีการปรับขึ้นลง โดยเบี้ยจะถูกจะแพง หลักๆขึ้นอยู่กับ เพศ อายุ อาชีพ ทุนประกัน แบบประกัน ค่ะ
เดี๋ยวตอนหน้ามาคุยกันเรื่อง สัญญาเพิ่มเติมกันต่อนะคะ
[CR] ประกันชีวิต The Series
จขกท จริงๆมีอาชีพเสริมคือขายประกัน แต่วันนี้ไม่ได้มีเจตนามาขายของ(สัญญาว่าจะไม่ Tie in 55)
เราแค่อยากแชร์ความรู้ที่มี เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ เป็นไอเดียประกอบการเลือกซื้อประกันชีวิต ซึ่งเชื่อว่ายุคนี้คนมีความต้องการประกันมากขึ้นแล้ว เงินที่จ่ายไปกับประกันอาจจะไม่สามารถคิดถึงความคุ้มไม่คุ้มได้ขนาดนั้น เพราะคุ้มคือเราต้องได้ใช้ (ไม่มีใครอยากใช้ประกันให้คุ้มหรอกเนาะ) ดังนั้นเราอยากให้ทุกคนสามารถเลือกซื้อประกันที่ตอบสนองความต้องการและความจำเป็นของตัวเองให้ได้มากที่สุด ในงบประมาณที่เราไหว ในช่วงชีวิตนั้นๆมากกว่าค่ะ ขอคุยกันแบบไม่ต้องใช้ศัพท์เฉพาะหนักๆ จะได้เข้าใจง่ายนะคะ
มาทำความเข้าใจประกันกันก่อน จริงๆแล้วประกันทุกชนิดเกิดมาเพื่อการกระจายความเสี่ยง มาช่วยแบ่งเบาภาระ ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งเป็นความเสียหายที่อาจเกิดหรือไม่เกิดเลยก็ได้ โดยประกันจะแบ่งหลักๆเป็นประกันชีวิตและประกันภัย วันนี้เราจะมาคุยเรื่องประกันชีวิตกันค่ะ
เวลาเราพูดถึงประกันชีวิต แน่นอนว่าคุ้มครองคนที่ซื้อ หากเจ้าของกรมธรรม์จากไปก่อน บริษัทประกันจะจ่ายเงิน(ทุนประกัน)ให้กับผู้รับผลประโยชน์ที่ระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์เท่านั้น ถ้ามีผู้รับผลประโยชน์หลายคนก็จะจ่ายตาม %ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ค่ะ
ประกันชีวิตความจริงแล้วมี 2 ส่วน คือ สัญญาหลัก และ สัญญาเพิ่มเติม
สัญญาหลัก (ขออธิบายหลักๆที่เป็นพื้นฐานก่อนนะคะ) คือ สัญญาที่ให้ความคุ้มครองชีวิต โดยอาจเป็นสัญญาที่ให้ความคุ้มครองชีวิตเน้นๆ (มักเรียกว่าแบบตลอดชีพ) หรือ คุ้มครองชีวิตในรูปแบบที่เป็นเงินออมด้วย
ความต่างของสองแบบนี้คือ เบี้ยประกันที่จ่ายต่อปี ระยะเวลาที่จ่ายเบี้ย ระยะเวลาของสัญญา ทุนประกันที่จะได้รับ และผลประโยชน์ที่เป็นเงินคืนหรือเงินปันผลระหว่างทางค่ะ
สัญญาหลักแบบคุ้มครองตลอดชีพ จะมีลักษณะคือ จ่ายเบี้ยน้อยต่อปี ระยะเวลาจ่ายเบี้ยสั้น สัญญาให้ความคุ้มครองระยะยาว ได้ทุนประกันสูง แต่ไม่มีเงินคืนระหว่างทางค่ะ อาจมีปันผลตามแต่แบบที่เราซื้อแต่ปันผลจะได้รับหรือไม่ขึ้นอยุ่กับประกาศของบริษัทปีนั้นๆซึ่งไม่ฟิกว่าเท่าไหรค่ะ
ส่วนสัญญาหลักแบบออมทรัพย์ จะมีลักษณะคือ จ่ายเบี้ยค่อนข้างสูงต่อปี ระยะเวลาจ่ายเบี้ยปานกลางถึงยาว สัญญาให้ความคุ้มครองระยะปานกลางถึงยาว ได้ทุนประกันไม่สูง แต่มีเงินคืนระหว่างทางซึ่งฟิกเลยว่าจะได้รับทุกๆกี่ปีและให้เป็นปีละกี่%ของทุนประกันที่ซื้อ โดยมักมีปันผลให้ด้วยค่ะ แต่ปันผลก็ขึ้นอยุ่กับประกาศของบริษัทปีนั้นๆซึ่งไม่ฟิกเช่นกัน
ถามว่าเราควรซื้อแบบไหน หลักๆต้องสำรวจตัวเองก่อนว่า เรามีความกังวลอะไรในชีวิตบ้าง ลิสออกมาก็ได้ค่ะ แล้วลองลำดับความกังวลออกมาเพื่อให้ทราบว่าเราห่วงอะไรมากที่สุด และในบรรดาความห่วงนั้น ประกันเข้ามาตอบโจทย์ได้ไหม (ประกันไม่ใช่ทุกอย่าง ความกังวลอื่นที่ประกันช่วยไม่ได้ เราก็ต้องไปหาสินค้าทางการเงินอย่างอื่นค่ะ)
อย่าง จขกท ห่วงคุณแม่ค่ะ เราเป็นลูกสาวคนเดียว ทำงานคนเดียวเพื่อดูแลคุณแม่ เราจะห่วงว่า เกิดเราไปก่อน คุณแม่จะอยู่ยังไง อยากมีเงินพอให้เค้าใช้จ่ายอย่างสบายนะ เราเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน เงินเดือนยังน้อย แต่ถ้าวันนึงเราไม่อยู่ก็อยากทิ้งเงินเป็นหลักล้านให้คุณแม่ไว้ดูแลท่าน อันนี้แปลว่า เราอยากใช้เงินน้อยเพื่อซื้อประกันที่มีทุนประกันสูงๆ ประกันเล่มแรก ก็แนะนำเป็นประกันชีวิตที่มีสัญญาหลักแบบคุ้มครองตลอดชีพ
แต่ถ้าเพื่อนๆ ไม่ได้มีความห่วงกังวลเหมือนเคสของเรา แค่อยากหาสินค้าทางการเงินที่เอามาลดภาษีได้ เป็นเงินออมด้วย สามารถจ่ายเบี้ยต่อปีได้เป็นหลักหมื่น (จนถึงหลายๆหมื่น) อยากได้เงินก้อนออกมาใช้เองเมื่อตอนอายุมากขึ้น อันนี้สัญญาหลักแบบออมทรัพย์ คือตอบโจทย์
ประกันส่วนมากแม้จะบอกว่า จ่ายสั้น แต่สัญญาก็หลายปีค่ะ จริงๆแล้วไม่ว่าจะสัญญาหลักแบบไหนก็สามารถนำไปลดภาษีได้ ทุกๆปีที่มีการจ่ายเบี้ยประกัน เราจะได้ใบเสร็จมาเป็นหลักฐาน ก็แสกนเก็บไว้ยื่นสรรพากรเวลาถูกขอเอกสารเพิ่มเติมค่ะ ถ้าไม่ถูกเรียกก็เก็บเป็นหลักฐานว่าเราจ่ายแล้ว
สัญญาหลักนี้ ตอนที่ซื้อปีแรกเราจ่ายเบี้ยเท่าไหร่ ก็จะเป็นเบี้ยเท่านั้นตลอดสัญญานะคะ ไม่มีการปรับขึ้นลง โดยเบี้ยจะถูกจะแพง หลักๆขึ้นอยู่กับ เพศ อายุ อาชีพ ทุนประกัน แบบประกัน ค่ะ
เดี๋ยวตอนหน้ามาคุยกันเรื่อง สัญญาเพิ่มเติมกันต่อนะคะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้