ทหารชั้นผู้น้อย แฉบ้านสวัสดิการ มีระบบ "เงินทอน" หวั่นซ้ำรอยจ่าคลั่งที่โคราช
https://ch3plus.com/news/program/257649
ทหารชั้นผู้น้อย แฉบ้านสวัสดิการ มีระบบ "เงินทอน" หวั่นซ้ำรอยจ่าคลั่งที่โคราช
ทหารชั้นผู้น้อย ร้องถูกนายทหารล่อใจให้ซื้อบ้านสวัสดิการ เพื่อแลกเงินคืนหลังละ 3 แสนบาท สุดท้ายสร้างหนี้ก้อนโต แถมเงินคือยังกลายเป็น "
เงินทอน" ให้นายทหาร
โดยกลุ่มกำลังพลชั้นผู้น้อย ของกองทัพบก ร้องเรียนถึงโครงการบ้านสวัสดิภาพทหารบก ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องจากพบว่าราคาบ้านสูงเกินจริง ต้องกู้เงินสวัสดิการ มาชำระตั้งแต่บ้านยังสร้างไม่เสร็จ ทำให้เป็นหนี้ระยะยาวกว่า 30 ปี โดยมีทหารยศ พันเอก เป็นผู้จัดสร้าง ลักษณะการดำเนินการจะเหมือนกับโครงการบ้านสวัสดิการที่ จังหวัดนครราชสีมา ทำให้ทหารชั้นผู้น้อยเกิดความกดดัน หลายฝ่ายจึงเกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยขึ้นอีก
จากเหตุการณ์จ่าคลั่ง ที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 จากสาเหตุไปทวงเงินค่าส่วนต่าง จากการซื้อบ้านจัดสรรสวัสดิการทหาร กับผู้บังคับบัญชา แล้วไม่ได้ จากเหตุการณ์ครั้งนั้น นำมาซึ่งการตั้งคณะทำงานสอบสวน แต่เนื่องจากผู้ถูกร้องเรียนเสียชีวิต ทำให้มีการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงระเบียบสวัสดิการบ้านพักชั้นประทวน ปรับระเบียบการกู้เงินสวัสดิภารบ้านพัก เปลี่ยนระบบการซื้อให้ทำสัญญากับกรมธนารักษ์แทน แต่เหตุการณ์ผ่านมากว่า 1 ปี การร้องเรียนบ้านจัดสรรสวัสดิการทหาร ได้เกิดขึ้นคล้ายแบบเดิมอีก ที่ ตำบลปากนคร อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช
โดยทหารชั้นผู้น้อยประมาณ 40 คน ได้กู้เงินสวัสดิการออมทรัพย์ทหารบก เพื่อซื้อที่ดินพร้อมบ้าน ลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว ชั้นเดียว สภาพวัสดุราคาไม่แพง แต่ราคาบ้านกลับแพง ถึง 1.5 ล้านบาทต่อหลัง ทำให้ทหารชั้นผู้น้อยต้องกู้เงินสวัสดิการที่ต้องผ่อนระยะยาว โดยชำระผ่อนงวดละ 8,522 บาทต่อเดือน แบ่งเป็นเงินต้น 1,651 บาทดอกเบี้ย 6,800 บาท ทำให้มีภาระหนี้นานถึง 35 ปี
จากวงเงินกู้ทั้งหมด 1.5 ล้านบาท ทหารชั้นผู้น้อยจะถูกชักชวน โดยได้รับส่วนแบ่งเงินทอน 3 แสนบาท แต่ไม่มีใครได้ส่วนต่างเป็นเงินก้อน จะแบ่งจ่ายให้ครั้งละ 4-5 พันบาท เช่นเดียวกับกรณีจ่าคลั่งที่เกิดขึ้น จ.นครราชสีมา โดยมีนายทหารยศ “
พันเอก” เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างบ้าน
ด้วยราคาบ้านที่สูงกว่าล้านบาท และกำลังพลต้องกู้เงินมาจ่ายตั้งแต่บ้านยังสร้างไม่เสร็จ โดยยังมีการปลอมลายเซนต์รับบ้านไปแล้วบางส่วน มีผู้อาศัยส่วนน้อย แต่ส่วนใหญ่ถูกทิ้งร้าง ทำให้เกรงว่าจะซ้ำรอยเหตุการณ์ที่ จ.นครราชสีมา
ระเบิดเวลาหลังโควิด-19 Post-Pandemic Economic Boom ผนวกกับ K-shaped Recovery
https://www.bangkokbiznews.com/business/959819
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เหมือนกำลังจะเข้าถึงช่วงปลายของการแพร่ระบาดของหลายๆ ประเทศหรือ Post-Pandemic Economic Boom นำไปสู่ต้องมาพูดถึง Recovery
ยุคที่เรากำลังจะก้าวสื่อคือยุคที่เรียกว่า ยุคเศรษฐกิจบูมหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือ Post-Pandemic Boom ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ยุคเศรษกิจบูมนั้น เราต้องเรียนรู้และปรับตัวกับการดำเนินชีวิตที่จะอยู่กับไวรัสโควิด-19 และแนวทางการดำเนินชีวิตในที่สาธารณะ เช่น การฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และเตรียมความพร้อมด้านยารักษาโรค แต่ก็ยังมีอีกหลายคำถามที่เกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอนของอนาคต เช่น เมื่อไหร่เราจะเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจบูม เศรษฐกิจบูมจะไปทางทิศไหน แล้วจะมีสัญญาณอะไรที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่สิ่งที่เราสามารถคาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศได้ โดยอาศัยหลักทฤษฎีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในรูปตัวเค (K-Shaped)
หากประเมินแล้ว เหมือนทิศทางเศรษฐกิจหันไปในทางที่ดีหรืออย่างน้อยดีขึ้นกว่าช่วงของวิกฤติ แล้วระเบิดเวลาที่กล่าวถึงคืออะไรกัน ระเบิดเวลาที่กล่าวถึงคือ การเกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่และเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 และผลลัพท์จากการบริหารจัดการนโยบายต่างๆ ที่ผ่านที่มา จนเกิดการเรียกร้องจากผู้ที่ได้รับผลการทบที่เริ่มขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น จากความไม่พอใจ (politics of resentment) จนนำไปสู่การประท้วง (political protest) และการจัดการชุมนุม (political demonstration) และสามารถลุกลามไปถึงความวุ่นวายทางการเมือง (political chaos) ถ้าภาครัฐไม่สามารถลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทางสาธารณสุข ทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ บวกกับไม่สามารถสื่อสารกับประชาชนเกี่ยวกับการรับรู้เรื่องนโยบายของรัฐได้ชัดเจนเพื่อให้เกิดความเข้าใจได้สำเร็จ ถ้าจะกล่าวแบบตรงๆ คือ ถ้าจุดติด (ประเด็นทางการเมือง) ก็จะเกิดความวุ่นวายที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ แล้วปัจจัยด้านใดบ้าง ที่จะส่งผลให้ถึงขัดเกิดความวุ่นวายทางการเมือง มีหลายปัจจัยและหลายมิติที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองที่จะส่งผลต่อภาคลักษณ์และภาคร่วมของเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลถึงระยะเวลาของการเกิดความวุ่นวายทางการเมือง ลองมาพิจารณาว่าความสงสัยว่าจากความไม่พอใจนโนบายภาครัฐทางเศรษฐกิจ การประท้วงชุมมุม จะส่งผลถึงต่อความวุ่นวายทางการเมืองได้อย่างไร ลองมองถึงปัจจัยหนุนที่ส่งผลอาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง คือ ผลกระทบของเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิด-19 ผนวกกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบ K-Shaped และ วัฒธรรมทางการเมืองของมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบไม่ปกติ (unconventional political behavior) ของประเทศเรา
ผลกระทบของเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิด-19 ผนวกกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบ K-Shape ประเด็นสำคัญคือทิศทางเศรษฐกิจของประเทศที่การคาดการณ์โดยนักเศรษฐศาสตร์ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในรูปตัวเค (K-Shaped) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไปเป็นสองทิศทางแบบ K-shaped ที่ขึ้นอยู่พื้นฐานปัจจัยของธุรกิจ กลุ่มนั้นคือภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ปัจจัยการฟื้นตัวแบบตัวเค K-shaped ที่กล่าวถึงคือการเกิดของการกลุ่มบุคคลใหม่ที่จะไปร่วมหรือรวมตัวกับอีกกลุ่มที่ทำการเรียกร้องประท้วงรัฐบาลอยู่ปัจจุบัน กลุ่มบุคคลใหม่คือผลที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ที่ไม่รับหรือเข้าถึงการดูแลจากภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ก็คือกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อีกประเด็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคือความก้าวหน้าของโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซีที่มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีหลายประการ ซึ่งจะยิ่งจะส่งผลสะท้อนให้เห็นความเหลื่อมล้ำ และจะกลายเป็นอีกระเบิดเวลาของสองนครา (A Tale of the Two Cites) ที่ก่อให้เป็นที่มาของการต่อด้านทางการเมืองของภาครัฐ (Politics of Resentment) จากกลุ่มธุรกิจขาลงของการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจอาจจะส่งผลการกระทบโดยตรงต่อการลงทุนในเขตเศษฐกิจพิเศษอีอีซีในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพราะความวุ่นวายทางการเมือง (political chaos)
อีกปัจจัยหนึ่งก็คือวัฒธรรมทางการเมืองของการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบไม่ปกติ (unconventional political behavior) หากจะกล่าวถึงพฤติกรรมการเมืองของกลุ่มบุคคล Mass Political Behavior ในมิติของการมีส่วนร่วมทางการเมือง (political participation) สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท แบบบการมีส่วนร่วมแบบปกติ (conventional political behavior) เช่น การเลือกตั้ง การลงเลือกตั้ง การแสดงความคิดผ่านผู้แทน และ การมีส่วนร่วมแบบไม่ปกติ (unconventional political behavior) เช่น การประท้วง การชุมนุม การไม่ทำตาม ต่อด้าน หรือ คว่ำบาตร นโยบายหรือกฎหมาย ดังนั้นการเกิดของการมีส่วนร่วมแบบไม่ปกติที่เราเริ่มที่จะคุ้นเคยจะส่งผลต่อความเสี่ยงให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง
การที่ภาครัฐสามารถรับมือกับผลกระทบของวิกฤติในมิติต่างๆ รวมถึงสามารถสื่อสารให้มีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่เพื่อป้องกันให้เกิดกลุ่มคนใหม่ที่จะส่งผลต่อการเกิดความวุ่นวายทางการเมือง แต่ต้องเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่จะส่งผลต่อการลดความเลื่อมล้ำของคนชาติอย่างแท้จริง โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซีเป็นหนึ่งนโยบายและทางที่คาดว่าจะยกระดับเศรษฐกิจรวมถึงส่งเสริมคุณภาพชีวิตไม่ใช่เพียงแต่เขตอีอีซีและต้องของคนในประเทศอีกด้วย
บทความโดยดร.
ศิริวัลยา คชาธาร
ผู้ช่วยคณบดีคณะบริหารธุรกิจ
สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
เมิน 'ไฟเซอร์' ผู้ปกครองไม่ให้ลูกฉีดวัคซีน หวั่นพิการ-เสียชีวิต ค้านเปิดเทอม
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6620717
ผู้ปกครองนักเรียนในโคราช ยันไม่ให้ลูกฉีดวัคซีนไฟเซอร์ หวั่นพิการ-เสียชีวิต ค้านโรงเรียนเปิดเทอมช่วงนี้ เนื่องจากโควิดยังระบาดหนักในพื้นที่
เมื่อวันที่ 15 ก.ย.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ มีแผนที่จะเตรียมความพร้อมในการเปิดเทอมภาคเรียนที่ 2/2564 ในวันที่ 1 พ.ย.64 โดยเบื้องต้นมีแนวทางในการเตรียมความพร้อมด้วยการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม แก่กลุ่มผู้ที่มีอายุ 1-17 ปี 11 เดือน 29 วัน จำนวนกว่า 4.5 ล้านคนทั่วประเทศ
ซึ่งครอบคลุมกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ระดับ ม.1-6, ปวช. ปวส. หรือเทียบเท่า รวมถึงนักเรียนชั้น ป.6 ที่มีอายุ 12 ปี ซึ่งจะเริ่มฉีดวันที่ 1 เดือนต.ค.64 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 29 จังหวัดก่อน โดยตั้งเป้าหมายให้ได้รับวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่ 1 อย่างครบถ้วน
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นของนักเรียน และผู้ปกครองในพื้นที่ ชุมชนประสพสุข ซ.5 ภายในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา พบว่าหลายครอบครัวต่างรู้สึกเป็นกังวลใจ และไม่พร้อมที่จะให้บุตรหลานของตนเองไปฉีดวัคซีน เพราะกลัวว่าจะมีผลข้างเคียงกับเด็กและเยาวชน ขณะที่เด็กๆ ที่อยู่ในกลุ่มอายุ 12-17 ปี ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อยากไปฉีดวัคซีน เพราะกลัวเกิดผลข้างเคียงทำให้พิการหรือเสียชีวิต
โดย ด.ช.
ชนาธิป อายุ 14 ปี ซึ่งเรียนอยู่ชั้น ม.2 โรงเรียนเทศบาลแห่งหนึ่ง บอกว่า ตนรู้สึกกลัวการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 เป็นอย่างมาก เพราะได้ยินข่าวว่า มีคนเสียชีวิตจากผลข้างเคียงการฉีดวัคซีนบ่อยๆ ทางสื่อต่างๆ ดังนั้นถ้าจะให้ไปฉีดคงจะไม่ไปแน่นอน เพราะกลัวจะเสียชีวิต ส่วนการจะให้เปิดเรียนในเทอมหน้านั้น ตนก็คงไม่กล้าไปโรงเรียน เนื่องจากกลัวไปติดเชื้อจากเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ หากเป็นไปได้ก็อยากเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้าน ซึ่งจะปลอดภัยกว่า
ด้าน นาง
นิลวรรณ น้อยอินทร์ อายุ 51 ปี ชาวชุมชนประสพสุข ซ.5 ย่าของด.ช.
ชนาธิป กล่าวว่า ถ้าจะให้หลานของตนเองฉีดวัคซีน ขอถามรัฐบาลก่อนว่าจะปลอดภัยหรือไม่ มีอะไรมารับประกัน ถ้าหากฉีดไปแล้วหลานเกิดแพ้วัคซีนจนกลายเป็นผู้พิการ หรือเสียชีวิตไป ใครจะรับผิดชอบ จะสามารถเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบได้หรือไม่ ตนเองรู้สึกกังวลมาก เพราะมีข่าวออกมาบ่อยว่า มีคนแพ้วัคซีนจนเสียชีวิตมาแล้วหลายคน
ส่วนการที่จะให้โรงเรียนเปิดเทอมนั้น ตนก็คิดว่าน่าจะยังไม่พร้อม เพราะขณะนี้ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ก็ยังคงมีการระบาดของเชื้อโควิด-19 จำนวนมากอยู่ ซึ่งตนมั่นใจว่าถ้าเปิดเทอมแล้วต้องเกิดคลัสเตอร์โรงเรียนขึ้นมาแน่นอน เพราะเราไม่รู้ว่าผู้ปกครองนักเรียนแต่ละคน ไปไหนมาบ้าง ถ้าติดเชื้อแล้วนำมาระบาดในโรงเรียนจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ดังนั้นจึงเห็นว่า ไม่เหมาะที่จะเปิดเทอมช่วงนี้
JJNY : ทหารชั้นผู้น้อยแฉบ้านสวัสดิการ│ระเบิดเวลาหลังโควิด│เมิน'ไฟเซอร์' ค้านเปิดเทอม│น้ำท่วมนากว่าสัปดาห์-ข้าวเริ่มเน่า
https://ch3plus.com/news/program/257649
ทหารชั้นผู้น้อย แฉบ้านสวัสดิการ มีระบบ "เงินทอน" หวั่นซ้ำรอยจ่าคลั่งที่โคราช
ทหารชั้นผู้น้อย ร้องถูกนายทหารล่อใจให้ซื้อบ้านสวัสดิการ เพื่อแลกเงินคืนหลังละ 3 แสนบาท สุดท้ายสร้างหนี้ก้อนโต แถมเงินคือยังกลายเป็น "เงินทอน" ให้นายทหาร
โดยกลุ่มกำลังพลชั้นผู้น้อย ของกองทัพบก ร้องเรียนถึงโครงการบ้านสวัสดิภาพทหารบก ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เนื่องจากพบว่าราคาบ้านสูงเกินจริง ต้องกู้เงินสวัสดิการ มาชำระตั้งแต่บ้านยังสร้างไม่เสร็จ ทำให้เป็นหนี้ระยะยาวกว่า 30 ปี โดยมีทหารยศ พันเอก เป็นผู้จัดสร้าง ลักษณะการดำเนินการจะเหมือนกับโครงการบ้านสวัสดิการที่ จังหวัดนครราชสีมา ทำให้ทหารชั้นผู้น้อยเกิดความกดดัน หลายฝ่ายจึงเกรงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยขึ้นอีก
จากเหตุการณ์จ่าคลั่ง ที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2563 จากสาเหตุไปทวงเงินค่าส่วนต่าง จากการซื้อบ้านจัดสรรสวัสดิการทหาร กับผู้บังคับบัญชา แล้วไม่ได้ จากเหตุการณ์ครั้งนั้น นำมาซึ่งการตั้งคณะทำงานสอบสวน แต่เนื่องจากผู้ถูกร้องเรียนเสียชีวิต ทำให้มีการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงระเบียบสวัสดิการบ้านพักชั้นประทวน ปรับระเบียบการกู้เงินสวัสดิภารบ้านพัก เปลี่ยนระบบการซื้อให้ทำสัญญากับกรมธนารักษ์แทน แต่เหตุการณ์ผ่านมากว่า 1 ปี การร้องเรียนบ้านจัดสรรสวัสดิการทหาร ได้เกิดขึ้นคล้ายแบบเดิมอีก ที่ ตำบลปากนคร อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช
โดยทหารชั้นผู้น้อยประมาณ 40 คน ได้กู้เงินสวัสดิการออมทรัพย์ทหารบก เพื่อซื้อที่ดินพร้อมบ้าน ลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว ชั้นเดียว สภาพวัสดุราคาไม่แพง แต่ราคาบ้านกลับแพง ถึง 1.5 ล้านบาทต่อหลัง ทำให้ทหารชั้นผู้น้อยต้องกู้เงินสวัสดิการที่ต้องผ่อนระยะยาว โดยชำระผ่อนงวดละ 8,522 บาทต่อเดือน แบ่งเป็นเงินต้น 1,651 บาทดอกเบี้ย 6,800 บาท ทำให้มีภาระหนี้นานถึง 35 ปี
จากวงเงินกู้ทั้งหมด 1.5 ล้านบาท ทหารชั้นผู้น้อยจะถูกชักชวน โดยได้รับส่วนแบ่งเงินทอน 3 แสนบาท แต่ไม่มีใครได้ส่วนต่างเป็นเงินก้อน จะแบ่งจ่ายให้ครั้งละ 4-5 พันบาท เช่นเดียวกับกรณีจ่าคลั่งที่เกิดขึ้น จ.นครราชสีมา โดยมีนายทหารยศ “พันเอก” เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างบ้าน
ด้วยราคาบ้านที่สูงกว่าล้านบาท และกำลังพลต้องกู้เงินมาจ่ายตั้งแต่บ้านยังสร้างไม่เสร็จ โดยยังมีการปลอมลายเซนต์รับบ้านไปแล้วบางส่วน มีผู้อาศัยส่วนน้อย แต่ส่วนใหญ่ถูกทิ้งร้าง ทำให้เกรงว่าจะซ้ำรอยเหตุการณ์ที่ จ.นครราชสีมา
ระเบิดเวลาหลังโควิด-19 Post-Pandemic Economic Boom ผนวกกับ K-shaped Recovery
https://www.bangkokbiznews.com/business/959819
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เหมือนกำลังจะเข้าถึงช่วงปลายของการแพร่ระบาดของหลายๆ ประเทศหรือ Post-Pandemic Economic Boom นำไปสู่ต้องมาพูดถึง Recovery
ยุคที่เรากำลังจะก้าวสื่อคือยุคที่เรียกว่า ยุคเศรษฐกิจบูมหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือ Post-Pandemic Boom ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ยุคเศรษกิจบูมนั้น เราต้องเรียนรู้และปรับตัวกับการดำเนินชีวิตที่จะอยู่กับไวรัสโควิด-19 และแนวทางการดำเนินชีวิตในที่สาธารณะ เช่น การฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และเตรียมความพร้อมด้านยารักษาโรค แต่ก็ยังมีอีกหลายคำถามที่เกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอนของอนาคต เช่น เมื่อไหร่เราจะเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจบูม เศรษฐกิจบูมจะไปทางทิศไหน แล้วจะมีสัญญาณอะไรที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่สิ่งที่เราสามารถคาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศได้ โดยอาศัยหลักทฤษฎีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในรูปตัวเค (K-Shaped)
หากประเมินแล้ว เหมือนทิศทางเศรษฐกิจหันไปในทางที่ดีหรืออย่างน้อยดีขึ้นกว่าช่วงของวิกฤติ แล้วระเบิดเวลาที่กล่าวถึงคืออะไรกัน ระเบิดเวลาที่กล่าวถึงคือ การเกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่และเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น เนื่องจากผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 และผลลัพท์จากการบริหารจัดการนโยบายต่างๆ ที่ผ่านที่มา จนเกิดการเรียกร้องจากผู้ที่ได้รับผลการทบที่เริ่มขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น จากความไม่พอใจ (politics of resentment) จนนำไปสู่การประท้วง (political protest) และการจัดการชุมนุม (political demonstration) และสามารถลุกลามไปถึงความวุ่นวายทางการเมือง (political chaos) ถ้าภาครัฐไม่สามารถลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ทางสาธารณสุข ทางการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ บวกกับไม่สามารถสื่อสารกับประชาชนเกี่ยวกับการรับรู้เรื่องนโยบายของรัฐได้ชัดเจนเพื่อให้เกิดความเข้าใจได้สำเร็จ ถ้าจะกล่าวแบบตรงๆ คือ ถ้าจุดติด (ประเด็นทางการเมือง) ก็จะเกิดความวุ่นวายที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ แล้วปัจจัยด้านใดบ้าง ที่จะส่งผลให้ถึงขัดเกิดความวุ่นวายทางการเมือง มีหลายปัจจัยและหลายมิติที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองที่จะส่งผลต่อภาคลักษณ์และภาคร่วมของเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลถึงระยะเวลาของการเกิดความวุ่นวายทางการเมือง ลองมาพิจารณาว่าความสงสัยว่าจากความไม่พอใจนโนบายภาครัฐทางเศรษฐกิจ การประท้วงชุมมุม จะส่งผลถึงต่อความวุ่นวายทางการเมืองได้อย่างไร ลองมองถึงปัจจัยหนุนที่ส่งผลอาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง คือ ผลกระทบของเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิด-19 ผนวกกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบ K-Shaped และ วัฒธรรมทางการเมืองของมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบไม่ปกติ (unconventional political behavior) ของประเทศเรา
ผลกระทบของเศรษฐกิจจากวิกฤติโควิด-19 ผนวกกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบ K-Shape ประเด็นสำคัญคือทิศทางเศรษฐกิจของประเทศที่การคาดการณ์โดยนักเศรษฐศาสตร์ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในรูปตัวเค (K-Shaped) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไปเป็นสองทิศทางแบบ K-shaped ที่ขึ้นอยู่พื้นฐานปัจจัยของธุรกิจ กลุ่มนั้นคือภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ปัจจัยการฟื้นตัวแบบตัวเค K-shaped ที่กล่าวถึงคือการเกิดของการกลุ่มบุคคลใหม่ที่จะไปร่วมหรือรวมตัวกับอีกกลุ่มที่ทำการเรียกร้องประท้วงรัฐบาลอยู่ปัจจุบัน กลุ่มบุคคลใหม่คือผลที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ที่ไม่รับหรือเข้าถึงการดูแลจากภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ก็คือกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว อีกประเด็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคือความก้าวหน้าของโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซีที่มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีหลายประการ ซึ่งจะยิ่งจะส่งผลสะท้อนให้เห็นความเหลื่อมล้ำ และจะกลายเป็นอีกระเบิดเวลาของสองนครา (A Tale of the Two Cites) ที่ก่อให้เป็นที่มาของการต่อด้านทางการเมืองของภาครัฐ (Politics of Resentment) จากกลุ่มธุรกิจขาลงของการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจอาจจะส่งผลการกระทบโดยตรงต่อการลงทุนในเขตเศษฐกิจพิเศษอีอีซีในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพราะความวุ่นวายทางการเมือง (political chaos)
อีกปัจจัยหนึ่งก็คือวัฒธรรมทางการเมืองของการมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบไม่ปกติ (unconventional political behavior) หากจะกล่าวถึงพฤติกรรมการเมืองของกลุ่มบุคคล Mass Political Behavior ในมิติของการมีส่วนร่วมทางการเมือง (political participation) สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภท แบบบการมีส่วนร่วมแบบปกติ (conventional political behavior) เช่น การเลือกตั้ง การลงเลือกตั้ง การแสดงความคิดผ่านผู้แทน และ การมีส่วนร่วมแบบไม่ปกติ (unconventional political behavior) เช่น การประท้วง การชุมนุม การไม่ทำตาม ต่อด้าน หรือ คว่ำบาตร นโยบายหรือกฎหมาย ดังนั้นการเกิดของการมีส่วนร่วมแบบไม่ปกติที่เราเริ่มที่จะคุ้นเคยจะส่งผลต่อความเสี่ยงให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง
การที่ภาครัฐสามารถรับมือกับผลกระทบของวิกฤติในมิติต่างๆ รวมถึงสามารถสื่อสารให้มีประสิทธิภาพนั้น ไม่ใช่เพื่อป้องกันให้เกิดกลุ่มคนใหม่ที่จะส่งผลต่อการเกิดความวุ่นวายทางการเมือง แต่ต้องเพื่อการส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศที่จะส่งผลต่อการลดความเลื่อมล้ำของคนชาติอย่างแท้จริง โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซีเป็นหนึ่งนโยบายและทางที่คาดว่าจะยกระดับเศรษฐกิจรวมถึงส่งเสริมคุณภาพชีวิตไม่ใช่เพียงแต่เขตอีอีซีและต้องของคนในประเทศอีกด้วย
บทความโดยดร.ศิริวัลยา คชาธาร
ผู้ช่วยคณบดีคณะบริหารธุรกิจ
สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
เมิน 'ไฟเซอร์' ผู้ปกครองไม่ให้ลูกฉีดวัคซีน หวั่นพิการ-เสียชีวิต ค้านเปิดเทอม
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6620717
ผู้ปกครองนักเรียนในโคราช ยันไม่ให้ลูกฉีดวัคซีนไฟเซอร์ หวั่นพิการ-เสียชีวิต ค้านโรงเรียนเปิดเทอมช่วงนี้ เนื่องจากโควิดยังระบาดหนักในพื้นที่
เมื่อวันที่ 15 ก.ย.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่รัฐบาล โดยกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ มีแผนที่จะเตรียมความพร้อมในการเปิดเทอมภาคเรียนที่ 2/2564 ในวันที่ 1 พ.ย.64 โดยเบื้องต้นมีแนวทางในการเตรียมความพร้อมด้วยการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม แก่กลุ่มผู้ที่มีอายุ 1-17 ปี 11 เดือน 29 วัน จำนวนกว่า 4.5 ล้านคนทั่วประเทศ
ซึ่งครอบคลุมกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ระดับ ม.1-6, ปวช. ปวส. หรือเทียบเท่า รวมถึงนักเรียนชั้น ป.6 ที่มีอายุ 12 ปี ซึ่งจะเริ่มฉีดวันที่ 1 เดือนต.ค.64 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 29 จังหวัดก่อน โดยตั้งเป้าหมายให้ได้รับวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่ 1 อย่างครบถ้วน
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นของนักเรียน และผู้ปกครองในพื้นที่ ชุมชนประสพสุข ซ.5 ภายในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา พบว่าหลายครอบครัวต่างรู้สึกเป็นกังวลใจ และไม่พร้อมที่จะให้บุตรหลานของตนเองไปฉีดวัคซีน เพราะกลัวว่าจะมีผลข้างเคียงกับเด็กและเยาวชน ขณะที่เด็กๆ ที่อยู่ในกลุ่มอายุ 12-17 ปี ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่อยากไปฉีดวัคซีน เพราะกลัวเกิดผลข้างเคียงทำให้พิการหรือเสียชีวิต
โดย ด.ช.ชนาธิป อายุ 14 ปี ซึ่งเรียนอยู่ชั้น ม.2 โรงเรียนเทศบาลแห่งหนึ่ง บอกว่า ตนรู้สึกกลัวการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 เป็นอย่างมาก เพราะได้ยินข่าวว่า มีคนเสียชีวิตจากผลข้างเคียงการฉีดวัคซีนบ่อยๆ ทางสื่อต่างๆ ดังนั้นถ้าจะให้ไปฉีดคงจะไม่ไปแน่นอน เพราะกลัวจะเสียชีวิต ส่วนการจะให้เปิดเรียนในเทอมหน้านั้น ตนก็คงไม่กล้าไปโรงเรียน เนื่องจากกลัวไปติดเชื้อจากเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ หากเป็นไปได้ก็อยากเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้าน ซึ่งจะปลอดภัยกว่า
ด้าน นางนิลวรรณ น้อยอินทร์ อายุ 51 ปี ชาวชุมชนประสพสุข ซ.5 ย่าของด.ช.ชนาธิป กล่าวว่า ถ้าจะให้หลานของตนเองฉีดวัคซีน ขอถามรัฐบาลก่อนว่าจะปลอดภัยหรือไม่ มีอะไรมารับประกัน ถ้าหากฉีดไปแล้วหลานเกิดแพ้วัคซีนจนกลายเป็นผู้พิการ หรือเสียชีวิตไป ใครจะรับผิดชอบ จะสามารถเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบได้หรือไม่ ตนเองรู้สึกกังวลมาก เพราะมีข่าวออกมาบ่อยว่า มีคนแพ้วัคซีนจนเสียชีวิตมาแล้วหลายคน
ส่วนการที่จะให้โรงเรียนเปิดเทอมนั้น ตนก็คิดว่าน่าจะยังไม่พร้อม เพราะขณะนี้ในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ก็ยังคงมีการระบาดของเชื้อโควิด-19 จำนวนมากอยู่ ซึ่งตนมั่นใจว่าถ้าเปิดเทอมแล้วต้องเกิดคลัสเตอร์โรงเรียนขึ้นมาแน่นอน เพราะเราไม่รู้ว่าผู้ปกครองนักเรียนแต่ละคน ไปไหนมาบ้าง ถ้าติดเชื้อแล้วนำมาระบาดในโรงเรียนจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ดังนั้นจึงเห็นว่า ไม่เหมาะที่จะเปิดเทอมช่วงนี้