JJNY : 4in1 บ.ออสซี่พัฒนาวัคซีนต้านเดลตา│ทอมซัดรมต.ปมวัคซีน│‘สถาบันโรคไตฯ’ถูกแฮกเกอร์ฉกข้อมูล│ยอดขายรถส.ค.ต่ำสุดในรอบปี

บ.ออสซี่พัฒนาวัคซีนโควิด-19 ตัวใหม่ “ต้านเดลตาได้” เริ่มทดลองในคน
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/155901
 
 
บริษัทออสเตรเลียพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ด้วยเทคโนโลยีนาโนเซลลูลาร์ตัวแรกของโลก ทดลองในสัตว์ให้ผลดี ต้านเดลตาได้ เริ่มทดลองในคน
 
บมจ. EnGeneIC บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ได้พัฒนาวัคซีนโควิด-19 ด้วยเทคโนโลยีนาโนเซลลูลาร์ (Nanocellular) ใช้ชื่อว่า “EDV”
 
โดยมีผลการทดลองในสัตว์ทดลองออกมาแล้ว พบว่า สามารถกระตุ้นการตอบสนองภูมิคุ้มกันได้ มีประสิทธิภาพในการต้านโควิด-19 ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์ที่ต้องกังวล (VOC) ทั้งหลายสายพันธุ์ด้วย โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย)
 
วัคซีนดังกล่าวยังได้เริ่มการทดลองทางคลินิกระยะที่ 1 ในอาสาสมัครผู้ใหญ่ 2 คนที่มีสุขภาพแข็งแรงที่โรงพยาบาลเซนต์วินเซนต์ เมืองเมลเบิร์น การทดสอบนี้จะทดสอบความปลอดภัยและการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต้านโควิด-19 หลังจากใช้วัคซีน
 
ภายในวัคซีนของ EnGeneIC ถูกบรรจุด้วยโมเลกุล 3 ชนิดที่ไม่ซ้ำกัน คือ
 
1. โมเลกุลที่ผลิตโปรตีนหนามของไวรัสโควิด-19 กระตุ้นการตอบสนองของแอนติบอดี
2. โมเลกุลที่กระตุ้นเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน
3. โมเลกุลที่เปลี่ยนการตอบสนองของแอนติบอดีต่อต้านไวรัสให้เป็นเหมือน “ตีนตุ๊กแก” เพื่อรับมือเชื้อโควิด-19 ที่กลายพันธุ์
 
การศึกษาในสัตว์ทดลอง บริษัทฯ พบว่า วัคซีนของพวกเขาสามารถทำให้สายพันธุ์เดลตาเป็นกลาง (มีฤทธิ์ลบล้างเชื้อไวรัส) ได้มากกว่า 95% และยังพบว่า แอนติบอดีที่สร้างขึ้นลบล้างโปรตีนหนามของสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) เบตา (แอฟริกาใต้) แกมมา (บราซิล) และเดลตา (อินเดีย) ได้
 
อีกหนึ่งข้อได้เปรียบของวัคซีนโควิด-19-EDV ของ EnGeneIC คือ สามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) และมีอายุการเก็บรักษานานกว่า 3 ปี ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ชนบทและห่างไกลทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญไม่มีสารเคมีเจือปนหรือสารเพิ่มความคงตัวในวัคซีน EDV
 
ทั้งนี้ ยังไม่มีข้อมูลว่า วัคซีนโควิด-19 EDV นี้ต้องใช้ฉีดทั้งหมดกี่เข็ม หรือมีราคาอยู่ที่เท่าไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อไป
 
ดร.เจนนิเฟอร์ แม็กเดียร์มิด และฮิมันชู พราหมณ์ภัตต์ ซีอีโอร่วมของ EnGeneIC กล่าวว่า เดิมพวกเขาพัฒนาวัคซีนเทคโนโลยีนาโนเซลลูลาร์สำหรับการรักษามะเร็งเป็นหลัก
 
“ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนใดที่มุ่งเป้าไปที่ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และคนเหล่านี้ก็ถูกคัดออกจากการทดลองวัคซีน ผู้ที่เป็นมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง โรคเรื้อรังต่าง ๆ หรือแม้แต่ผู้สูงวัยที่มีระดับภูมิคุ้มกันบกพร่อง กลุ่มเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะไม่ตอบสนองต่อวัคซีนโควิด-19 ในปัจจุบัน” บริษัทฯ บอกในแถลงการณ์
 
พวกเขายังบอกว่า “การทดลองทางคลินิกวัคซีนป้องกันมะเร็งของเรายังแสดงผลในเชิงบวก รวมถึงสร้างภูมิคุ้มกันต้านมะเร็งที่ดีขึ้นสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย การทดลองเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า วัคซีนของเรามีความปลอดภัยมาก ไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ที่มีสุขภาพ”
 
หลังจากการทดสอบความปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว บริษัทและโรงพยาบาลต่าง ๆ ในสหรัฐฯ กำลังยื่นข้อเสนอให้มีการทดลองทางคลินิกในสหรัฐฯ เพื่อทดสอบวัคซีนโควิด-19 EDV ในกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องกลุ่มเดียวกันนี้
 
สำหรับนาโนเซลลูลาร์ คือการใช้เทคโนโลยีอนุภาคนาโนขนาดเล็ก พัฒนาเป็นวัคซีนที่ออกแบบมาเพื่อกำหนดเป้าหมายโดยตรง และฆ่าเซลล์เป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีความเป็นพิษน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นการตอบสนองโดยธรรมชาติและกระตุ้นการปรับตัวของระบบภูมิคุ้มกัน EDV นับเป็นวัคซีนโควิด-19 ตัวแรกพี่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีนี้
 
เรียบเรียงจาก Wire
 

 
ทอม เครือโสภณ ซัดเดือด รมต. ปมไม่ยอมรับวัคซีนบริจาค เหตุกลัวเสียหน้า
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_6607783
 
ทอม เครือโสภณ นักธุรกิจชื่อดัง ไลฟ์เดือด ซัด ดอน ปรมัตถ์วินัย อ้างรู้ข่าววงใน ให้คำแนะนำนายก ไม่รับวัคซีนบริจาค ลั่นแชร์ให้ถึงนายก ยังเปลี่ยนใจทัน
 
เป็นประเด็นเดือดบนโลกออนไลน์ เมื่อ นายทอม เครือโสภณ นักธุรกิจชื่อดัง ได้ออกมาไลฟ์เปิดเผยประเด็นเกี่ยวกับการบริจาควัคซีน ซึ่งพาดพิงไปถึง นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่า ปฏิเสธการรับวัคซีนบริจาค จากประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากกลัวเสียหน้า
 
โดยนายทอม เครือโสภณ กล่าวว่า มีผู้ใหญ่ในกระทรวงต่างประเทศ และหลายคนในกระทรวงต่างประเทศ ห่วงใยในเรื่องดังกล่าวมาก และอยากให้ทุกคนแชร์ให้ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะขณะนี้ยังไม่เกิดการตัดสินใจในเรื่องดังกล่าว หากเปลี่ยนการตัดสินใจได้ ก็ถือว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
 
โดยสิ่งที่ทราบมา คือ มีประเทศเพื่อนบ้าน ที่เล็กกว่าประเทศไทย ต้องการจะบริจาควัคซีนให้ 1 แสนโดส แต่มีการปฏิเสธว่า ไทยไม่รับ โดยนายทอม อ้างว่า นายดอน ปรมัตถ์วินัย ไม่รับ และไปให้คำแนะนำกับนายกฯ ว่ารับไม่ได้ เดี๋ยวเราจะเสียหน้า เพราะเป็นประเทศที่บริจาคเป็นประเทศเล็กกว่า และเสนอให้ทำการแลกเปลี่ยนแทน
 
“ไม่ต้องกลัวขายหน้า กลัวคนตายดีกว่า ผมกล้าพูดเพราะนี่คือเรื่องจริง ยังไม่ช้าเกินไปที่จะเปลี่ยนใจ ชีวิตคนไทยมีความหมายมากกว่าหน้าตาของท่าน… เขาเครียดกันทั้งกระทรวง ข่าวนี้ถึงรั่วไหลมาถึงผม และเขาพร้อมส่งวัคซีนหนึ่งแสนโดสให้ไทยภายในอีกไม่เกินอาทิตย์หนึ่ง” นายทอม กล่าว
 
https://www.facebook.com/tom.krues.14/videos/4904477029567681/
 

 
ข้อมูลล้างไตหาย! ‘สถาบันโรคไตฯ’ ถูกแฮกเกอร์ฉกข้อมูลคนไข้กว่า 4 หมื่นราย
https://www.dailynews.co.th/news/249228/
 
ผอ.รพ.สถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ เข้าแจ้งความตำรวจ ตามล่าแฮกเกอร์ชาวต่างชาติฉกข้อมูลคนไข้กว่า 4 หมื่นราย คาดนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจ
 
เมื่อวันที่ 8 ก.ย. ที่ สน.พญาไท ศ.นพ.ธีรชัย ฉันทโรจน์ศิริ ผอ.รพ.สถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ นำหลักฐานและคลิปเสียงแฮกเกอร์ เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ พ.ต.อ.บวรภพ สุนทรเรขา ผกก.สน.พญาไท เพื่อให้ดำเนินคดีกับแฮกเกอร์ที่ลักลอบเจาะข้อมูลคนไข้ของโรงพยาบาลกว่า 40,000 ราย ทำให้โรงพยาบาลได้รับความเสียหาย
 
ศ.นพ.ธีรชัย กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ก.ย. เมื่อเวลา 05.30 น. หลังจาก รพ.เปิดดำเนินการพบว่า ไม่สามารถเข้าระบบในคอมพิวเตอร์ได้ มีการบล็อกระบบข้อมูลต่าง ๆ ของทาง รพ. เมื่อสำรวจพบว่า เกิดความเสียหายในส่วนของข้อมูลผู้ป่วยที่มารักษาโดยข้อมูลรายชื่อส่วนตัวของคนไข้กว่า 40,000 คน รวมถึงไม่สามารถเข้าไปดูผลเอกซเรย์ย้อนหลัง ทำให้ไม่สามารถนำผลเอกซเรย์มาเปรียบเทียบเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงกับการรักษาคนไข้ในปัจจุบันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยล้างไตที่มีข้อมูลการล้างไตกว่า 100,000 รอบ ได้สูญหายไปหมด หลังเกิดเรื่องทาง รพ.ได้พยายามหาสาเหตุ นำผู้เชี่ยวชาญมาทำการบล็อกและแก้ไข
 
ศ.นพ.ธีรชัย กล่าวต่อว่า ต่อมาเวลา 18.00 น. วันที่ 6 ก.ย. มีชายชาวต่างชาติพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งตนไม่แน่ใจว่าอยู่ต่างประเทศหรืออยู่ภายในประเทศไทย ได้โทรศัพท์มาที่ รพ. โดยใช้หมายเลขที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ อ้างว่าได้เก็บข้อมูลสำคัญไว้ แต่ทุกอย่างจะยังคงอยู่ในภาวะปกติจนกว่าจะต้องมีการตกลงกันให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นมีการนัดหมายให้โทรศัพท์มาใหม่อีกครั้งในเวลา 09.00 น. วันที่ 7 ก.ย. แต่คนร้ายไม่ได้ทำการติดต่อมาแต่อย่างใด ที่ผ่านมาเกิดกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นกับ รพ.ที่ จ.สระบุรี และที่ จ.เพชรบูรณ์ รวมถึงล่าสุดที่กระทรวงสาธารณสุข ตนถือว่าคนทำใจร้ายมากเพราะ รพ.เป็นสถานที่ไม่ได้มุ่งหวังค้ากำไร ทราบจากตำรวจว่า คนร้ายอาจนำข้อมูลของคนไข้ไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจอื่นได้
 
ศ.นพ.ธีรชัย กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทำการประสานกับตำรวจไซเบอร์ที่จะเข้ามาช่วยเหลือในการติดตามคดี รวมถึงมีเจ้าหน้าที่มากู้ข้อมูล และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้ซ้ำขึ้นอีกในอนาคต โดยวิธีการแก้ไขในตอนนี้คือการอัพเกรดในเซิร์ฟเวอร์ เพื่อกระจายออกไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบจำนวน 300-400 เครื่อง จากการสันนิษฐานของผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า แฮกเกอร์อาศัยช่วงที่ทาง รพ. ติดต่อซื้อโปรแกรมตัวใหม่จากบริษัทเอกชนมาติดตั้ง คนร้ายใช้การควบคุมคอมพิวเตอร์ระยะไกล (Remote) เข้ามาติดตั้งโปรแกรม ทำให้ระบบป้องกันของ รพ. เกิดช่องโหว่ แฮกเกอร์จึงฉวยโอกาสแฮกข้อมูล แต่เชื่อว่าแฮกเกอร์ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทผู้ผลิตโปรแกรมดังกล่าว ทั้งนี้ คนร้ายยังไม่มีข้อเรียกร้องในการเรียกเงินแต่อย่างใด ขอยืนยันว่าในส่วนข้อมูลของคนไข้ ทาง รพ.ได้มีการ แบ๊กอัพ ข้อมูลเก็บไว้เพื่อใช้ในการรักษาคนไข้และขอเตือนคนไข้ของ รพ.ว่าหากได้รับ SMS ที่มีข้อความแปลก ๆ ควรใช้วิจารณญาณและใช้ความระมัดระวังด้วย
 
ด้าน พ.ต.อ.บวรภพ เปิดเผยว่า แม้ตำรวจจะยังไม่มีเบาะแสผู้ต้องสงสัย แต่แนวทางการสืบสวนเตรียมประสานกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายส่วน รวมถึงบริษัทผู้ติดตั้งโปรแกรมใหม่ของ รพ. เข้ามาให้ข้อมูลในทุกมิติ พร้อมเตือนประชาชนว่าส่วนใหญ่การแฮกข้อมูล มันจะมีการส่งไวรัสเข้ามาที่ระบบคอมพิวเตอร์ เมื่อดาวน์โหลดไฟล์อาจทำให้ติดไวรัส และแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ ดังนั้นขอให้อัพเดทโปรแกรมป้องกันไวรัสสม่ำเสมอ.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่