บอกเล่า 4 ปี แห่งช่วงชีวิตการทำงาน จากเด็กฝึกงานสำนักงานบัญชี / HR / สู่การเป็นนักข่าว

เดือนหน้าจะเป็นวันครบรอบการทำงาน 4 ปี ของผม นับตั้งแต่ช่วง มหาวิทยาลัยปี 4 เทอม 2 ที่ผมเลือกลงแผนสหกิจศึกษา คือการใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาออกไปทำงาน
.
4 ปี ที่ผ่านมาผ่านไปไวเหมือนโกหก  แต่พอมองย้อนกลับไป กลับพบว่า มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในชีวิต การเปลี่ยนแปลง การเดินตามหาสิ่งที่อยากทำ การออกจากพื้นที่ปลอดภัย ความรับผิดชอบ อิสระในการเลือกทางเดินชีวิต เรื่องราวมากมายผ่านเข้ามาตลอด 4 ขวบปีมานี้  และผมอยากจะเล่ามันออกมาสู่กันฟัง อย่างน้อยๆ ก็ขอทบทวนความหลัง แห่งการเดินทางและการเติบโต 
.
.
-เด็กฝึกงาน การถูกกดดัน และไร้ทางเลือก-
.
.
ในช่วงที่ผมกำลังออกสหกิจ หรือเรียกง่ายๆ ว่าการออกฝึกงานระยะยาว 4 เดือน มันเป็นช่วงเดียวกันกับที่ชีวิตผม เรียกได้ว่า อยู่ในจุดตกต่ำในชีวิต แม่ผมโดนไล่ออกจากบริษัท แบบไม่ทันตั้งตัว ครอบครัวผมแทบล้มทั้งยืน เมื่อแหล่งรายได้เดียวของบ้าน ถูกลอยแพ โดยไม่มีสัญญาณเตือนภัย
.
ในตอนนั้น ผมได้เลือกที่ฝึกสหกิจ ที่บริษัทของเซนทรัล กรุ๊ป เหตุผลเพราะอาจารย์แนะนำว่า ที่นี่มีระบบการทำงานที่ดี และคิดว่าจะทำให้เราต่อยอดไปได้อีกไกล แต่! มันคือการฝึกงานที่ไม่ได้ค่าจ้าง ผมยังจำวันที่เดินน้ำตาตกใน ไปขอร้องอาจารย์สหกิจ ขอเปลี่ยนที่ฝึกงาน เพราะผมมีทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือ การหาที่ฝึกงาน ที่มีรายได้ ผมถึงจะอยู่รอดจนเรียนจบ
.
ผมใช้วิธีการไปดูบอร์ดประชาสัมพันธ์ และได้เจอกับบริษัทหนึ่ง เป็นบริษัทขนาดเล็ก เปิดเป็นสำนักงานบัญชี และบริษัทจัดสัมมนาอบรม ในใบประกาศบอกว่า มีค่าตอบแทนให้นักศึกษาฝึกงาน วันละ 200 บาท ผมไม่มีข้อมูลของบริษัทมากไปกว่านั้น แต่เงิน 200 บาทต่อวัน มันก็เพียงพอให้ผมมีเงินต่อไป และมันทำให้ผมไม่เหลือความลังเล ในการเดินเข้าไปสมัครงานที่นั่น
.
มันเป็นบริษัทครอบครัว เชื้อสายคนจีน มีพนักงานประจำแค่ 2 คน ในวันสัมภาษณ์เขาบอกให้ผมเข้ามาทำงาน ในส่วนการประสานงานการฝึกอบรม ผมตอบรับ และชีวิตการทำงานแบบเต็มตัวของผมก็เริ่มขึ้น 
.
ในช่วงที่ผมเข้าไปฝึกงานนั้น มีน้องๆ ปวส. จากวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ก็เข้ามาฝึกงานพร้อมผม การฝึกงานในบริษัทเล็กๆ เช่นนี้ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ การใกล้ชิดกับเจ้าของและครอบครัว สิ่งที่ตามมาคือ การเป็นที่รองรับอารมณ์ของเจ้าของ และการทำงานส่วนตัวต่างๆ ที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท  มองย้อนกลับไปจากวันนี้ ผมโชคดีมากๆ ที่ผ่านมันมาได้ เพราะในวันนั้น เราไม่มีทางเลือกเปลี่ยนสถานประกอบการได้เลย ถ้าหากอยากเรียนจบ โดยเร็วที่สุด
.
โดยงานส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ผมกล่าวถึงนั้น  คือการที่เขามอบหมายให้ผมไปช่วยงาน ของภรรยาเจ้าของบริษัทที่กำลังเรียน ปริญญาเอกอยู่ หน้าที่ของผมก็คือการทำการบ้าน รายงานต่างๆ ให้เขา แต่ผมไม่เคยรังเกียจเลยนะ แถมชอบด้วยซ้ำ เพราะงานส่วนใหญ่ได้หาความรู้ หาข้อมูลการทำงาน ทั้งยังได้ความรู้ใหม่มากมายเข้ามาเพียบ ผมกับสนุกกับการทำงาน ปริญญาเอก มากเสียกว่า ทำงานอบรมสัมมนา ที่น่าเบื่อกว่าด้วยซ้ำ
.
.
ช่วงชีวิตผมตลอด 4 เดือนนั้น ทุลักทุเลมาก เงินเดือนตกประมาณ 6,000 บาท แทบจะหมดไปเกลี้ยงกับค่าข้าว และค่าเดินทาง ผมจำต้องวางแผนการใช้เงินอย่างรอบคอบ และจำขึ้นใจเลยว่า ชีวิตที่ไม่มีเงินนั้นมันแย่ขนาดไหน แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี มันทำให้ผมเข้ามาศึกษาเรื่องการวางแผนทางการเงิน และการลงทุน นับตั้งแต่นั้น  และบทเรียนจากการต้องบริหารเงิน 6000 บาทต่อเดือนในวันนั้น มันทำให้การเงินของผมในวันนี้ มีวินัย และรู้จักการลงทุน
.
ในช่วงท้ายของการฝึกสหกิจ ผมได้เงินเพิ่มมากขึ้นจากการ ทำรายงานสหกิจ ให้เพื่อนคนอื่น มันทำให้ผมพอลืมตาอ้าปาก และมีเงินสำหรับจ่ายค่ารับปริญญา ที่พอมองย้อนกลับไป ผมคงคิดว่า จะไม่เลือกเข้าพิธีรับปริญญา เพราะเสียดายเงิน แต่ก็ต้องเข้า เพราะเหมือนเป็นค่านิยมของ นศ. มหาลัยผม
.
ในระหว่างที่การฝึกสหกิจใกล้จบ ผมรู้ตัวเองแล้วว่าต้องรีบหางานทันที ที่เรียนจบ เพื่อให้มีเงินหมุนต่อไป ผมจัดแจงทำ Resume แต่ผมก็ไม่ได้ทำการร่อน ใบสมัครไปทั่ว ถึงแม้ผมจะรีบหางานแค่ไหน ผมมีบทเรียนจากการหาที่สหกิจแล้วว่า การเลือกบริษัท และตำแหน่งงานที่จะทำ มีผลต่อชีวิตเราอย่างมาก ผมเจียระไน ตำแหน่งงานที่เข้ามาอย่างถี่ถ้วน และเลือกเฉพาะงานที่ท้าทาย และน่าสนใจจริงๆ ในการสมัครงานเข้าไป จนกระทั่งผมไปเจอเข้ากับ งานๆ หนึ่ง
.
มันชื่อตำแหน่งว่า เจ้าหน้าที่ฝึกอบรม ใน JD กล่าวไว้ว่า มีหน้าที่ในการดูแลการฝึกอบรม และพัฒนาบุคลากร ผมติ๊ต่างเอาเองว่า เคยมี ปสก. ในการประสานงานฝึกอบรมอันน้อยนิด จากการฝึกงาน ถึงแม้ใน JS จะระบุคุณสมบัติผู้สมัครไว้ว่า ต้องการคนมี ประสบการณ์ 2-5 ปี เข้าใจระบบการทำงานของบริษัทขนาดกลาง  ซึ่งผมแทบไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวเลย แต่ผมก็ตัดสินใจสมัคร และทางบริษัทก็โทรเรียกผมไปสัมภาษณ์ ด้วยความตื่นเต้น
.
.
- 3 ปี แห่งการเป็น HR ที่สอนให้รู้จัก และเข้าใจชีวิตการทำงาน-
.
.
มันเป็นบริษัทมหาชน จำนวนพนักงาน 500 กว่าคน จริงๆ วันสัมภาษณ์ ผมไม่คาดหวังมากนัก เพราะเป็นการสัมภาษณ์ครั้งแรก นับจากส่งใบสมัครไป 8-9 ที่  ผมจัดแจงกรอกใบสมัคร และทำแบบทดสอบที่บริษัท เตรียมให้และก็ถึงเวลาที่ผมได้สัมภาษณ์กับทางผู้จัดการ
.
ผมตอบคำถามแทบไม่ได้เลย เพราะผมไม่มีข้อมูล แต่เหมือน ผจก. เขาจะเห็นอะไรในตัวผมสักอย่าง จึงไม่ไล่ผมกลับบ้าน เขาบอกว่าให้ผมกลับไปทำการบ้านมาอีกครั้ง และอีก 2 วันเขาจะให้ผมกลับมาสัมภาษณ์กับเขาอีกรอบ
.
ผมทำตามสัญญา ด้วยการทำการบ้านเตรียมข้อมูลต่างๆ และมาสัมภาษณ์กับเขาอีกครั้ง และดูเหมือนเขาจะมั่นใจในตัวผมมากขึ้น จึงบอกว่าจะส่งตัวผมไปสัมภาษณ์กับผู้บริหาร เป็นขั้นตอนสุดท้าย ผมเริ่มมีหวัง แต่แล้วก็หมดหวัง เมื่อเห็นคาดิเดท ผู้สมัครในตำแหน่งเดียวกัน ที่รอสัมภาษณ์กับผู้บริหาร ทุกคนใส่สูท ผูกไทด์ ในขณะที่ผมยังใส่ชุด นักศึกษาอยู่เลยตอนนั้น ผมตื่นเต้น และก็บอกกับตัวเองว่า ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว
.
หลังจากสัมภาษณ์กับทางผู้บริหารเสร็จ ไม่ถึง 3 นาที จนท. HR ก็บอกว่าทางบริษัทรับผมเข้าทำงาน แต่ให้ลองมาทำงานเป็นรายวันก่อนในเดือน เมษายน 
.
โดยผมจะสิ้นสุดการฝึกงานปลายเดือนมีนาคม และเริ่มทำงานต่อในเดือนเมษายน เป็นข้อดีที่ผมจะได้มีเงินใช้อย่างต่อเนื่อง แต่ข้อเสียคือ นับจากวันนั้นตลอด 4 ปี ที่ผ่านมา ผมไม่เคยได้ว่างเว้นจากสถานะ คนทำงาน
.
.
งานในช่วงแรกในตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ฝึกอบรม สังกัด HR ถือว่าเป็นงานที่ยากมาก และมันยิ่งยากยิ่งกว่า เมื่อพอรู้ว่า ตลอดช่วงเวลาอย่างน้อยๆ เกือบ 5-10 ปี ที่ผ่านมานี้ แทบไม่มีใครคนไหน อยู่ในตำแหน่งนี้ได้นานเกินปี หรือเรียกง่ายๆ ว่า ยังไม่สามารถคอนโทรลงานได้เข้าที่ ส่วนใหญ่แล้วทุกคนก็เลือกที่จะลาออก
.
เหตุผลที่คนทำงานอยู่ตำแหน่งนี้ได้ไม่นาน จากการทำงานตลอด 3 ปีของผม พบว่า งานฝึกอบรมเป็นงานที่มักถูกมองข้าม จากพนักงาน หัวหน้างาน หรือแม้กระทั่งผู้บริหารในบริษัท เป็นงานที่ถูกจัดอันดับไว้ในท้ายๆ เพราะมักมีเรื่องสำคัญกว่าที่จะต้องทำ มันทำให้ผมเข้าใจว่า คนที่ออกไปคงรู้สึกอึดอัดไม่น้อย ในการทำให้การอบรม สำเร็จ โดยที่แทบไม่ค่อยมีใครให้ความร่วมมือ ดังนั้นงานที่สำคัญที่สุดของผมตลอด 3 ปีที่นี่คือ การทำให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการฝึกอบรม
.
จริงๆ วันที่ออกมา ก็ยังถือว่าไม่สามารถทำให้สำเร็จได้เต็ม 100 แต่ก็มีหลายๆ อย่าง ที่ดีขึ้น เช่นเดียวกันกับคุณภาพชีวิตของม ที่ดีขึ้นมาเรื่อยๆ จากการทำงานที่นี่
.
ผมได้ปรับเงินเดือนทุกปี มีโบนัสทุกปี มีสวัสดิการครอบคลุมทุกอย่าง  ผมย้ายตัวเองออกจากบ้านมาอยู่หอพัก ซื้อรถมอเตอรไซต์ใหม่ เริ่มทยอยเก็บเงินมากขึ้นเรื่อยๆ แบ่งไปลงทุนในงอกเงย เมื่อมองย้อนกลับไป ในวันแรกที่ทำงาน ผมเมีเพียงแค่ตัวเปล่าๆ แต่พอผ่านไป 3 ปี ผมกลับพบว่า ผมสามารถสร้างเนื้อ สร้างตัว จนมีความมั่นคงในระดับหนึ่ง ที่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินมากนัก
.
.
นอกจากฐานะที่ดีขึ้นมาแล้ว ตลอด 3 ปี ในตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ฝึกอบรม มันให้สิ่งที่ดีที่สุดอย่างไม่น่าเชื่อ มันทำให้ผมกลายเป็นคนที่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา เพราะผมเหมือนเป็นคนที่ต้อง สรรหา ความรู้ ทักษะ ใหม่ๆ มาให้พนักงาน และสุดท้ายก็เป็นตัวผมเองนั่นแหละ ที่ได้รับมัน และมันทำให้ผมค้นพบทักษะที่ผม ถนัด และมีความสุขที่ได้ทำมันตลอด ก็คือการเขียน
.
คงต้องขอบคุณ อัลกอริทึม ของเฟสบุ๊ค หลังจากที่ผมมักต้องค้นหา พวกคอร์สอบรม  work shop ต่างๆ เพื่อหาให้พนักงาน มันทำให้หน้า ฟิดหน้าเฟสบุ๊คของผม มักมีงานสัมมนา Work shop ดีๆ ผุดขึ้นมามากมาย หนึ่งในนั้นเป็น Work shop เกี่ยวกับการเขียน ผมตัดสินใจเข้าร่วม และมันทำให้ผมเริ่มตระหนัก และรู้สึก ว่าอยากเขียน มันอย่างจริงจัง และได้เขียนอย่างสม่ำเสมอมากกว่านี้
.
หลังจากผ่าน Work shop ดังกล่าวนั้น ผมฝึกฝนการเขียน และการถ่ายรูป ตลอดมาเรื่อยๆ ผมมักชอบเขียนบล็อกการเดินทาง เขียนคำแนะนำการสมัครงานต่างๆ เพราะระหว่าง 3 ปีที่ทำงานนั้น ผมรับหน้าที่การดูแล สรรหาพนักงานเพิ่มเข้ามาด้วย 
.
ผมจึงมักมีเรื่องเล่า ต่างๆ ออกมาให้ได้เขียน และผมมีความสุขทุกครั้งที่เขียนเสร็จ มากไปกว่านั้น ยิ่งเวลามีคนอ่านชอบสิ่งที่ผมเขียน มันทำให้ผมใจฟู ไปตลอดทั้งวันเลยแหละ ผมตั้งใจเขียนอย่างสม่ำเสมอมาเรื่อยๆ จนมาถึงจุดหนึ่งที่ผมอิ่มตัวกับงาน เจ้าหน้าที่ฝึกอบรม ที่นี่ และความคิดเรื่องการลาออกก็แวบเข้ามาถี่ขึ้นเรื่อยๆ
.
.
-นักข่าว การเดินทางครั้งใหม่ของชีวิต-
.
ช่วงเวลาที่อยากลาออก เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เกิดโควิด มันเป็นความสับสนอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในใจผม เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก เพราะงานปัจจุบัน เงินเดือนดีและขึ้นให้ผมทุกปี มีโบนัส มีสวัสดิการ อยู่ใกล้บ้าน เพื่อนร่วมงาน หัวหน้างาน ก็ดีมาก และยิ่งมันดีมากเท่าไหร่ การตัดสินใจลาออกก็ยากมากขึ้นเท่านั้น
.
การตัดสินใจเกิดขึ้นเกือบปี ในช่วงแรกผมลาออกไปลองทำที่ใหม่ในตำแหน่ง หัวหน้าฝ่ายธุรการและสรรหาบุคลากร แต่ก็ไปไม่รอด เพราะไม่สามารถเข้ากับผู้บริหารได้ จึงกลับมาทำงานที่เดิม แต่ในช่วงเวลาที่กลับมานั้น ผมรู้แล้วว่าจิตใจผมแทบไม่อยู่กับงานเลย มันไม่หลงเหลือความสนุก ความกระหายในการเรียนรู้อีกต่อไปแล้ว แต่ผมก็ยังไม่มีไอเดียว่า จะทำอย่างไรต่อ จึงยังคงทำงานต่อไป และเริ่มมองหาโอกาสใหม่เรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แวว
.
โดยในระหว่างนั้น งานเขียนของผมก็พัฒนามากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มมีการเขียนงานที่จริงจังขึ้น มืออาชีพขึ้น จนผมพัฒนาการเขียนในรูปแบบ งานสารคดี ถึงระดับหนึ่ง งานในบางชิ้นได้เผยแพร่ตามเพจต่างๆ ที่มีชื่อเสียง แต่ก็ไม่ได้มากนัก  ผมมักใช้เวลาหลังเลิกงานในการเขียน และเสาร์อาทิตย์ มันเหนื่อยมาก จนทำให้ผมคิดว่าจะดีแค่ไหนกัน ถ้าได้ทำงานเขียนเป็นอาชีพหลัก
.
.
และแล้วสำนักข่าวออนไลน์หนึ่ง ก็เปิดรับสมัคร นักเขียน เป็นงานเขียนสารคดีกึ่งข่าว ประเด็นเกี่ยวกับทางสังคมและการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราถนัดและสนใจ ผมตัดสินใจรวบรวมผลงานตัวเอง และส่งจดหมายสมัครงาน ไม่กี่สัปดาห์ทาง สำนักข่าวนั้นก็เรียกผมไปสัมภาษณ์ และผลปรากฏว่า ผมได้งานดังกล่าวนั้น ผมจึงถึงทางเลือกที่ต้องตัดสินใจอีกครั้ง
.
จริงๆ ผมแทบไม่มีความลังเลในการยื่นลาออก เพราะคิดว่าอยู่ไปก็ทำงานได้ไม่ดีเหมือนเก่า ผมลาออกจาก ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝึกอบรม ด้วยความเสี่ยงที่ว่า ผมจะทำงานในตำแหน่ง นักเขียน นี้ได้รอดไหม เพราะผมเป็นเพียงมือสมัครเล่น ที่วันนี้จะต้องลงสนามจริง และมันไม่ง่ายดายเลย
.
สิ่งที่ผมวาดหวังไว้จากการสมัครงานนี้ คือการเป็น นักเขียน ที่มีหน้าที่เขียน แต่จริงๆ แล้วตำแหน่งที่ผมสมัครเข้าไป มันก็คือ นักข่าวนั่นแหละ การปรับตัวในงานข่าว ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย ผมพบว่า มันเป็นสายงาน ที่ทุกอย่าง เกิดขึ้น และเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มันแทบจะแตกต่างจากการออฟฟิศ แบบหน้ามือเป็นหลังมือ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่