คือเริ่มเรื่องจากเราบอกคุณแม่ว่า เออ ถ้าหนูทำงานแล้วน้องเรียนอยู่ ไม่มีใครดูแลพ่อกับแม่(เช่น เวลาพ่อกับแม่ป่วย) หนูขอส่งพ่อกับแม่ไปบ้านพักคนชราได้มั้ยคะ พ่อกับแม่จะได้มีคนดูแล หนูจะทำงานหาเงินมารักษากับจ่ายค่าเทอมให้น้องเอง เเต่แม่บอกว่าทำไมเราเห็นแก่ตัวแบบนี้ บ้านพักคนชราไว้สำหรับคนแก่ที่ครอบครัวไม่ต้องการ เราก็เลยแบบอึ้งไป แล้วพยายามอธิบายกับพ่อแม่ว่าเราไม่อยากให้น้องชายออกมากลางคันเพื่อไปดูแลพ่อกับแม่ ละเราก็หันไปถามน้องชายว่า ถ้าเธอออกมาดูแลพ่อกับแม่เธอจะกลับไปเรียนต่อมั้ย น้องชายคือตอบมาว่าไม่! ไม่อยากเรียนต่อ เราก็อึ้งไป แม่ก็ถามว่าทำไมเราเห็นแก่ตัวเราจะออกจากงานมาดูแลแม่ไม่ได้เลยหรอ เราต้องกตัญญูสิ เงินหาตอนไหนก็ได้ แต่แม่หาตอนไหนไม่ได้ เเล้วเราก็บอกไปว่าแต่น้องชายของเราไม่ได้มีแม่คนเดียวในชีวิตนะ น้องเราต้องสร้างครอบครัว มีลูก มีค่าใช้จ่ายอะไรเยอะแยะ ถ้าไม่มีปริญญารับรองจะหางานมั่นคงยากนะ คือพ่อแม่พูดเสมอว่าที่ทำงานหนักเพราะอยากให้ลูกจบสูงๆ ไม่ต้องมาทำงานหนักแบบพ่อแม่ แต่สิ่งที่แม่บอกให้น้องออกจากการเรียนมหาลัยมาดูแลคือการย้อนแย้งสิ่งที่ตั้งใจไว้ การทำงานหนักของแม่จะไร้ความหมายไปเลยเพราะถึงตอนนั้นน้องเราคงจะไม่กลับไปเรียนแล้ว หรือกว่าจะกลับไปเรียนก็หลายปี แถมประสบการณ์การทำงานก็ต้องเริ่มใหม่หมดเพราะบางบริษัทรับคนมีประสบการณ์ แม่เราก็บอกแล้วไง บ้านเรามีสวนยางพารา สวนปาร์มไม่มีทางจนหรอก แล้วเราก็บอกแม่ว่า ประเทศอื่นเขาเริ่มเลิกซื้อ ปาร์มซื้อยางจากประเทศเราแล้ว เหมือนอินเดียที่เมื่อก่อนซื้อปาร์มจากไทยเเต่ตอนนี้เขาปลูกเอวและผลิตได้เยอะกว่าที่ไทยผลิตได้อีก ไทยไม่ใช่ชาติเดียวในโลกที่ปลูกยางพารากับปาร์มได้ ซักวันเขาคงหนีไปซื้อกับชาติอื่น ราคายางกับปาร์มจะขึ้นๆลงๆไม่คงที้ แถมบ้านเราก็มีสวนไม่เยอะด้วย อาจจะพอเเค่เลี้ยงน้องเราคนเดียวให้กินอิ่มอยู่สบาย แล้วถ้าน้องมีครอบครัวแม่คิดว่ามันจะพอต่อค่าใช้จ่ายจริงๆหรอ
เเล้วแม่ก็บอกว่าเรามองแม่เป็นภาระหรอ เราก็บอกเราไม่ได้มองแม่เป็นภาระ เราเเค่คิดถึงอนาคตที่มันจะเกิดก่อนจะตัดสินใจจะทำอะไร เงินที่เราหามาจะช่วยให้แม่มีโรงพยาบาลดีๆได้รับการรักษาดีๆ แม่จะได้อยู่กับเราไปนานๆ
เเต่สุดท้ายเราก็ยอมลงให้แม่เพราะมันอาจจะเป็นแค่อนาคตที่เราไปคิดแทนน้องก็ไม่ได้ แล้วเราก็บอก เดี๋ยวหนูให้เเม่อยู่บ้านกับพ่อก็ได้แต่หนูจะจ้างคนดูแลให้ แล้วน้องจะกลับมาอยู่บ้านก็ได้แต่ต้องเรียนให้ได้ปริญญาตรีเป็นประกันให้อนาคต
วันรุ่งขึ้นแม่ก็ไปบ่นให้พ่อฟังว่าเราจะส่งแม่ไปบ้านพักคนชรา บ่นว่าเราเห็นแก่ตัวเห็นว่าเขากับพ่อเป็นภาระ
เเต่ๆที่เราติดคือ เราดูเห็นแก่ตัวเหมือนที่แม่บอกมั้ยคะ คือเราพยายามอธิบายแล้วว่าอยากให้แม่มีคนดูแลในตอนที่เรากับน้องดูแลไม่ได้ เพราะบางทีอาจจะมีงานด่วนที่ต้องไปทำจริงๆ
ป.ล.อยากได้ทั้งความเห็นของทั้งคนที่เป็นผู้ใหญ่เเละยะงเป็นวัยรุ่นอยู่
ป.ล.เป็นเพียงความคิดของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
พ่อแม่บอกว่าเราเห็นแก่ตัว
เเล้วแม่ก็บอกว่าเรามองแม่เป็นภาระหรอ เราก็บอกเราไม่ได้มองแม่เป็นภาระ เราเเค่คิดถึงอนาคตที่มันจะเกิดก่อนจะตัดสินใจจะทำอะไร เงินที่เราหามาจะช่วยให้แม่มีโรงพยาบาลดีๆได้รับการรักษาดีๆ แม่จะได้อยู่กับเราไปนานๆ
เเต่สุดท้ายเราก็ยอมลงให้แม่เพราะมันอาจจะเป็นแค่อนาคตที่เราไปคิดแทนน้องก็ไม่ได้ แล้วเราก็บอก เดี๋ยวหนูให้เเม่อยู่บ้านกับพ่อก็ได้แต่หนูจะจ้างคนดูแลให้ แล้วน้องจะกลับมาอยู่บ้านก็ได้แต่ต้องเรียนให้ได้ปริญญาตรีเป็นประกันให้อนาคต
วันรุ่งขึ้นแม่ก็ไปบ่นให้พ่อฟังว่าเราจะส่งแม่ไปบ้านพักคนชรา บ่นว่าเราเห็นแก่ตัวเห็นว่าเขากับพ่อเป็นภาระ
เเต่ๆที่เราติดคือ เราดูเห็นแก่ตัวเหมือนที่แม่บอกมั้ยคะ คือเราพยายามอธิบายแล้วว่าอยากให้แม่มีคนดูแลในตอนที่เรากับน้องดูแลไม่ได้ เพราะบางทีอาจจะมีงานด่วนที่ต้องไปทำจริงๆ
ป.ล.อยากได้ทั้งความเห็นของทั้งคนที่เป็นผู้ใหญ่เเละยะงเป็นวัยรุ่นอยู่
ป.ล.เป็นเพียงความคิดของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ