หญิงสิงคโปร์ ผิดหวัง ฉีดซิโนแวค ภูมิขึ้นน้อยกว่าไฟเซอร์ 10 เท่า เลือกฉีดไฟเซอร์เพิ่ม
https://www.matichon.co.th/foreign/news_2915898
หญิงสิงคโปร์ ผิดหวัง ฉีดซิโนแวค ภูมิขึ้นน้อยกว่าไฟเซอร์ 10 เท่า เลือกฉีดไฟเซอร์เพิ่มภูมิพุ่ง
เว็บไซต์
เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ รายงานเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ระบุว่าหญิงชาวสิงคโปร์รายหนึ่งถึงกับต้องผิดหวังหลังจากฉีดวัคซีนซิโนแวค ไป 2 เข็ม แล้วไปตรวจปริมาณภูมิพบว่า ภูมิขึ้นน้อยกว่าผู้ที่ฉีดไฟเซอร์ถึง 10 เท่า โดยตนเตรียมที่จะไปฉีดไฟเซอร์กระตุ้นเพิ่ม ขณะที่รัฐบาลสิงคโปร์ เปิดทางให้ผู้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มแล้วสามารถเข้ารับวัคซีน ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา ตามโครงการฉีดวัคซีนของรัฐเพิ่มเติมได้
รายงานระบุว่าหญิงคนดังกล่าวชื่อว่า Soh วัย 43 ปีระบุว่าหลังจากฉีดวัคซีนซิโนแวค เข็ม 2 เมื่อเดือนก่อน ตนได้เข้ารับการตรวจภูมิพบว่ามีภูมิขึ้นที่ 140 ตัวเลขซึ่งแพทย์ระบุว่าน้อยกว่าระดับภูมิของผู้ฉีดไฟเซอร์ถึง 10 เท่าที่ปกติจะขึ้นในระดับ 1,300 ถึง 2,000
โดย Soh ผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมธนาคารระบุว่า ตนผิดหวังเล็กน้อยและได้ไปรับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ก่อนที่จะตรวจภูมิอีกครั้งพบว่าขึ้นไปถึง 1,900
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ เคยประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ชาวสิงคโปร์ ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวค หรือวัคซีนอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ในโครงการฉีดวัคซีนให้ประชาชนของรัฐบาล สามารถเข้าร่วมโครงการฉีดวัคซีนของรัฐบาลซึ่งมีวัคซีนไฟเซอร์ และ โมเดอร์นา ได้
สื่อนอกตีข่าว ไทยเป็นหนึ่งในชาติฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ผู้สูงอายุล่าช้า
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/155302
สำนักข่าวรอยเตอร์วิเคราะห์ข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด-19 ประเทศไทย รายงานผู้สูงอายุในไทยได้รับวัคซีนครบโดสเพียง 6.7% จากผู้สูงอายุทั้งหมด
วันที่ 31 ส.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรอยเตอร์ ได้ทำการสำรวจข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของ 30 ประเทศทั่วโลก โดยหนึ่งในนั้นคือประเทศไทย และพวกเขาพบว่า “
ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวใน 30 ประเทศที่มีผู้สูงอายุที่ได้รับการฉีดวัคซีนน้อยกว่ากลุ่มที่อายุน้อยกว่า”
สำนักข่าวรอยเตอร์วิเคราะห์ข้อมูลของรัฐบาลไทยซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชากรสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ครบโดสแล้ว 6.7% จากประชากรสูงอายุที่มีประมาณ 10.9 ล้านคน ขณะที่กลุ่มอายุ 18-59 ปีมีผู้ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วถึง 15%
ขณะที่มาเลเซียซึ่งอยู่ติดกันได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ผู้สูงอายุครบโดสไปแล้วอย่างน้อย 64% ณ วันที่ 2 ส.ค. ตามข้อมูลของรัฐบาลมาเลเซีย ส่วนอินโดนีเซีย สถานการณ์จะคล้ายกับไทย คือมีผู้สูงอายุเพียง 17% เท่านั้นที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบโดส
นพ.
เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แผนการจัดลำดับความสำคัญของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ผู้สูงอายุจะเปลี่ยนไปหลังจากเกิดการระบาดครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ และเสริมว่า อัตราการฉีดวัคซีนที่ค่อนข้างต่ำในกลุ่มนี้อาจทำให้มีผู้สูงอายุเสียชีวิตเพิ่มขึ้น
ตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ผ่านมา การเสียชีวิตจากโควิด-19 ในประเทศไทยกว่า 62% หรือเกินครึ่ง เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ และคิดเป็น 8.7% ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้ผู้สูงอายุจะติดน้อย แต่เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยง จึงทำให้มีอัตราการเสียชีวิตสูง ซึ่งเป็นผลเกี่ยวเนื่องที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนล่าช้า
ขณะที่ในอินโดนีเซีย กลุ่มผู้สูงอายุคิดเป็นเกือบ 12% ของผู้ป่วยทั้งหมด แต่คิดเป็นเพียง 47% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลไทยเคยประกาศในช่วงแรกว่า ผู้สูงอายุจะเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญในการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นกลุ่มแรก ๆ แต่การวางแผนเปลี่ยนไปจากระบบการจัดลำดับความสำคัญตามอายุไปเป็นระบบจัดลำดับความสำคัญตามพื้นที่ภูมิศาสตร์ หลังจากมีการระบาดในกรุงเทพฯ ในเดือน เม.ย.
ส่งผลให้กลุ่มประชากรที่อายุน้อยและวัยทำงานในเมืองหลวงเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ง่ายกว่าคนชรา ส่งผลให้อัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุลดลง
“เรากำลังจะจัดลำดับความสำคัญของผู้สูงอายุ แต่เราไม่ได้คาดการณ์ว่าจะมีการติดเชื้อจำนวนมากจากสายพันธุ์เดลตา ... เมื่อมันเกิดขึ้น เราจึงจำต้องรวบรวมทรัพยากรของเราสำหรับพื้นที่เสี่ยงที่มีอัตราการติดเชื้อสูงและฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ทุกกลุ่มอายุในพื้นที่นั้นเพื่อควบคุมการติดเชื้อ” นพ.
เฉวตสรรกล่าว
รอยเตอร์ระบุว่า พื้นที่กรุงเทพฯ ได้รับปริมาณการจัดสรรวัคซีนคิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศไทย ขณะที่มีจำนวนประชากรคิดเป็น 1 ใน 10 ของทั้งประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า การจองวัคซีนผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเป็นหลัก เป็นการตัดโอกาสผู้สูงอายุในหลายพื้นที่ เพราะเป็นกลุ่มที่เข้าใจเทคโนโลยีน้อยที่สุด
รัฐบาลไทยกล่าวว่า ขณะนี้มีเป้าหมายที่จะเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับผู้สูงอายุ นพ.เฉวตสรรกล่าวว่า ภายในสิ้นเดือน ก.ย. นี้ ผู้สูงอายุในประเทศไทยอย่างน้อย 70% ควรได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็ม
ปัจจุบัน ผู้สูงอายุในกรุงเทพฯ กว่า 97% ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็มแล้ว และมี 7% ได้รับวัคซีนอย่างครบโดสแล้ว
เรียบเรียงจาก
Reuters
ร้อง นักศึกษา ป.ตรี อาชีวะ ไม่ได้รับเยียวยา 2 พัน วอนรมว.ศธ.เร่งแก้ไข
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_6594214
ร้อง นักศึกษา ปริญญาตรี อาชีวะ ทั่วประเทศ มี 23 แห่ง กว่า 13,000 คน ไม่ได้รับเงินเยียวยาค่าใช้จ่ายทางการศึกษา 2 พัน วอนรมว.ศธ.เร่งแก้ไข
เมื่อวันที่ 31 ส.ค.64 นาย
เศรษฐศิษฏ์ ณุวงค์ศรี ประธานเครือข่ายคนรักษ์อาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย(ค.ร.อ.ท.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ปกครองและนักเรียน นักศึกษาในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำหนดด้านค่าใช้จ่ายทางการศึกษา จำนวน 2,000 บาทต่อนักเรียน 1 คน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึง ม.6 ระดับอาชีวศึกษาระดับประกาศนียบัติวิชาชีพ (ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)
ในส่วนของค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนิสิต นักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม(อว.) จะได้รับส่วนลดเป็นลักษณะร่วมจ่ายระหว่างรัฐและสถาบันอุดมศึกษาในอัตราส่วน 6:4 โดยค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษาส่วนที่ไม่เกิน 50,000 บาท ลดร้อยละ 50 เป็นต้น
ตนในฐานะภาคประชาชนและติดตามการทำงานในภารรัฐมาอย่างต่อเนื่อง ได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครองและนักศึกษาระดับปริญญาตรี ที่ศึกษาอยู่ในสถาบันการอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โดยสถาบันที่เปิดสอนปริญญาตรีทั่วประเทศ มี 23 แห่ง และปัจจุบันมีนักศึกษากำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีกว่า 13,000 คน ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่จัดการสอนในระดับปริญญาตรี ในสังกัด ศธ. แต่ไม่ได้การพิจารณาเงินเยียวยา ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาแต่อย่างใด
“ศธ.คงลืมไปว่า มีการจัดการสอนระดับปริญญาตรี อยู่ในกระทรวงหรืออาจเป็นความบกพร่องของ สอศ. ที่ไม่ได้เสนอ จำนวนนักศึกษาระดับปริญญาตรี ต่อ น.ส.ตรีนุช เทีนยทอง รัฐมนตรี ศธ. ทำให้นักศึกษาระดับปริญญาตรีในส่วนของศธ. จึงไม่ได้รับการพิจารณาให้ได้รับการเยียวยา
ทั้งที่มีความเดือดร้อนจากผลกระทบเช่นเดียวกัน ผู้เรียนทกระดับในนามภาคประชาชนและผู้ปกครองและนักศึกษาป.ตรี ของสถาบันการอาชีวศึกษา ขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการศธ. และเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ออกมารับผิดชอบและหาทางแก้ไขโดยเร็ว” นาย
เศรษฐศิษฏ์ กล่าว
JJNY : 4in1 หญิงสิงคโปร์ผิดหวังซิโนแวค│สื่อนอกตีข่าวไทยฉีดให้ผู้สูงอายุช้า│ร้องป.ตรี อาชีวะไม่ได้เยียวยา│ศก.ก.ค.สาหัส
https://www.matichon.co.th/foreign/news_2915898
หญิงสิงคโปร์ ผิดหวัง ฉีดซิโนแวค ภูมิขึ้นน้อยกว่าไฟเซอร์ 10 เท่า เลือกฉีดไฟเซอร์เพิ่มภูมิพุ่ง
เว็บไซต์ เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ รายงานเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ระบุว่าหญิงชาวสิงคโปร์รายหนึ่งถึงกับต้องผิดหวังหลังจากฉีดวัคซีนซิโนแวค ไป 2 เข็ม แล้วไปตรวจปริมาณภูมิพบว่า ภูมิขึ้นน้อยกว่าผู้ที่ฉีดไฟเซอร์ถึง 10 เท่า โดยตนเตรียมที่จะไปฉีดไฟเซอร์กระตุ้นเพิ่ม ขณะที่รัฐบาลสิงคโปร์ เปิดทางให้ผู้รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มแล้วสามารถเข้ารับวัคซีน ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา ตามโครงการฉีดวัคซีนของรัฐเพิ่มเติมได้
รายงานระบุว่าหญิงคนดังกล่าวชื่อว่า Soh วัย 43 ปีระบุว่าหลังจากฉีดวัคซีนซิโนแวค เข็ม 2 เมื่อเดือนก่อน ตนได้เข้ารับการตรวจภูมิพบว่ามีภูมิขึ้นที่ 140 ตัวเลขซึ่งแพทย์ระบุว่าน้อยกว่าระดับภูมิของผู้ฉีดไฟเซอร์ถึง 10 เท่าที่ปกติจะขึ้นในระดับ 1,300 ถึง 2,000
โดย Soh ผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมธนาคารระบุว่า ตนผิดหวังเล็กน้อยและได้ไปรับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ก่อนที่จะตรวจภูมิอีกครั้งพบว่าขึ้นไปถึง 1,900
ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ เคยประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ชาวสิงคโปร์ ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวค หรือวัคซีนอื่นๆที่ไม่ได้อยู่ในโครงการฉีดวัคซีนให้ประชาชนของรัฐบาล สามารถเข้าร่วมโครงการฉีดวัคซีนของรัฐบาลซึ่งมีวัคซีนไฟเซอร์ และ โมเดอร์นา ได้
สื่อนอกตีข่าว ไทยเป็นหนึ่งในชาติฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ผู้สูงอายุล่าช้า
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/155302
สำนักข่าวรอยเตอร์วิเคราะห์ข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด-19 ประเทศไทย รายงานผู้สูงอายุในไทยได้รับวัคซีนครบโดสเพียง 6.7% จากผู้สูงอายุทั้งหมด
วันที่ 31 ส.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรอยเตอร์ ได้ทำการสำรวจข้อมูลการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของ 30 ประเทศทั่วโลก โดยหนึ่งในนั้นคือประเทศไทย และพวกเขาพบว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวใน 30 ประเทศที่มีผู้สูงอายุที่ได้รับการฉีดวัคซีนน้อยกว่ากลุ่มที่อายุน้อยกว่า”
สำนักข่าวรอยเตอร์วิเคราะห์ข้อมูลของรัฐบาลไทยซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชากรสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ครบโดสแล้ว 6.7% จากประชากรสูงอายุที่มีประมาณ 10.9 ล้านคน ขณะที่กลุ่มอายุ 18-59 ปีมีผู้ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วถึง 15%
ขณะที่มาเลเซียซึ่งอยู่ติดกันได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ผู้สูงอายุครบโดสไปแล้วอย่างน้อย 64% ณ วันที่ 2 ส.ค. ตามข้อมูลของรัฐบาลมาเลเซีย ส่วนอินโดนีเซีย สถานการณ์จะคล้ายกับไทย คือมีผู้สูงอายุเพียง 17% เท่านั้นที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบโดส
นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แผนการจัดลำดับความสำคัญของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ผู้สูงอายุจะเปลี่ยนไปหลังจากเกิดการระบาดครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ และเสริมว่า อัตราการฉีดวัคซีนที่ค่อนข้างต่ำในกลุ่มนี้อาจทำให้มีผู้สูงอายุเสียชีวิตเพิ่มขึ้น
ตั้งแต่เดือน เม.ย. ที่ผ่านมา การเสียชีวิตจากโควิด-19 ในประเทศไทยกว่า 62% หรือเกินครึ่ง เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ และคิดเป็น 8.7% ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้ผู้สูงอายุจะติดน้อย แต่เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยง จึงทำให้มีอัตราการเสียชีวิตสูง ซึ่งเป็นผลเกี่ยวเนื่องที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีนล่าช้า
ขณะที่ในอินโดนีเซีย กลุ่มผู้สูงอายุคิดเป็นเกือบ 12% ของผู้ป่วยทั้งหมด แต่คิดเป็นเพียง 47% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลไทยเคยประกาศในช่วงแรกว่า ผู้สูงอายุจะเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญในการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นกลุ่มแรก ๆ แต่การวางแผนเปลี่ยนไปจากระบบการจัดลำดับความสำคัญตามอายุไปเป็นระบบจัดลำดับความสำคัญตามพื้นที่ภูมิศาสตร์ หลังจากมีการระบาดในกรุงเทพฯ ในเดือน เม.ย.
ส่งผลให้กลุ่มประชากรที่อายุน้อยและวัยทำงานในเมืองหลวงเข้าถึงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ง่ายกว่าคนชรา ส่งผลให้อัตราการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุลดลง
“เรากำลังจะจัดลำดับความสำคัญของผู้สูงอายุ แต่เราไม่ได้คาดการณ์ว่าจะมีการติดเชื้อจำนวนมากจากสายพันธุ์เดลตา ... เมื่อมันเกิดขึ้น เราจึงจำต้องรวบรวมทรัพยากรของเราสำหรับพื้นที่เสี่ยงที่มีอัตราการติดเชื้อสูงและฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ทุกกลุ่มอายุในพื้นที่นั้นเพื่อควบคุมการติดเชื้อ” นพ.เฉวตสรรกล่าว
รอยเตอร์ระบุว่า พื้นที่กรุงเทพฯ ได้รับปริมาณการจัดสรรวัคซีนคิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศไทย ขณะที่มีจำนวนประชากรคิดเป็น 1 ใน 10 ของทั้งประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า การจองวัคซีนผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเป็นหลัก เป็นการตัดโอกาสผู้สูงอายุในหลายพื้นที่ เพราะเป็นกลุ่มที่เข้าใจเทคโนโลยีน้อยที่สุด
รัฐบาลไทยกล่าวว่า ขณะนี้มีเป้าหมายที่จะเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับผู้สูงอายุ นพ.เฉวตสรรกล่าวว่า ภายในสิ้นเดือน ก.ย. นี้ ผู้สูงอายุในประเทศไทยอย่างน้อย 70% ควรได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็ม
ปัจจุบัน ผู้สูงอายุในกรุงเทพฯ กว่า 97% ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็มแล้ว และมี 7% ได้รับวัคซีนอย่างครบโดสแล้ว
เรียบเรียงจาก Reuters
ร้อง นักศึกษา ป.ตรี อาชีวะ ไม่ได้รับเยียวยา 2 พัน วอนรมว.ศธ.เร่งแก้ไข
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_6594214
ร้อง นักศึกษา ปริญญาตรี อาชีวะ ทั่วประเทศ มี 23 แห่ง กว่า 13,000 คน ไม่ได้รับเงินเยียวยาค่าใช้จ่ายทางการศึกษา 2 พัน วอนรมว.ศธ.เร่งแก้ไข
เมื่อวันที่ 31 ส.ค.64 นายเศรษฐศิษฏ์ ณุวงค์ศรี ประธานเครือข่ายคนรักษ์อาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย(ค.ร.อ.ท.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ปกครองและนักเรียน นักศึกษาในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำหนดด้านค่าใช้จ่ายทางการศึกษา จำนวน 2,000 บาทต่อนักเรียน 1 คน ตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึง ม.6 ระดับอาชีวศึกษาระดับประกาศนียบัติวิชาชีพ (ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.)
ในส่วนของค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนิสิต นักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม(อว.) จะได้รับส่วนลดเป็นลักษณะร่วมจ่ายระหว่างรัฐและสถาบันอุดมศึกษาในอัตราส่วน 6:4 โดยค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมการศึกษาส่วนที่ไม่เกิน 50,000 บาท ลดร้อยละ 50 เป็นต้น
ตนในฐานะภาคประชาชนและติดตามการทำงานในภารรัฐมาอย่างต่อเนื่อง ได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครองและนักศึกษาระดับปริญญาตรี ที่ศึกษาอยู่ในสถาบันการอาชีวศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) โดยสถาบันที่เปิดสอนปริญญาตรีทั่วประเทศ มี 23 แห่ง และปัจจุบันมีนักศึกษากำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีกว่า 13,000 คน ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่จัดการสอนในระดับปริญญาตรี ในสังกัด ศธ. แต่ไม่ได้การพิจารณาเงินเยียวยา ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาแต่อย่างใด
“ศธ.คงลืมไปว่า มีการจัดการสอนระดับปริญญาตรี อยู่ในกระทรวงหรืออาจเป็นความบกพร่องของ สอศ. ที่ไม่ได้เสนอ จำนวนนักศึกษาระดับปริญญาตรี ต่อ น.ส.ตรีนุช เทีนยทอง รัฐมนตรี ศธ. ทำให้นักศึกษาระดับปริญญาตรีในส่วนของศธ. จึงไม่ได้รับการพิจารณาให้ได้รับการเยียวยา
ทั้งที่มีความเดือดร้อนจากผลกระทบเช่นเดียวกัน ผู้เรียนทกระดับในนามภาคประชาชนและผู้ปกครองและนักศึกษาป.ตรี ของสถาบันการอาชีวศึกษา ขอเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการศธ. และเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) ออกมารับผิดชอบและหาทางแก้ไขโดยเร็ว” นายเศรษฐศิษฏ์ กล่าว