.....คำว่า "ตำรวจ" เป็นคำที่ไทยยืมมาจากคำเขมร มีใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้นเรียกเป็น "ดำรวจ" แต่ตามความหมายที่แท้จริง หมายถึง องครักษ์ และสังกัดกลาโหมมิใช่มหาดไทยมิใช่ผู้ทำหน้าที่ “พิทักษ์” ความสงบเรียบร้อยอย่างทุกวันนี้
.....กรมพระตำรวจมีแปดกรม คือ กรมพระตำรวจในขวา กรมพระตำรวจในซ้าย กรมพระตำรวจนอกขวา กรมพระตำรวจนอกซ้าย กรมพระตำรวจใหญ่ขวา กรมพระตำรวจใหญ่ซ้าย กรมพระตำรวจช่างทหารใน และกรมพระตำรวจสนมทหารซ้าย และทำหน้าที่เป็นลูกขุนในศาลรับสั่งกรณีที่มีคดีที่ศาลบรรดามีตัดสินไม่ได้หรือตัดสินยาก จะทรงให้กรมพระตำรวจนำไปพิจารณา ความพิเศษของกรมพระตำรวจคือมีท่าเรือสำหรับขึ้นลงเรือเวลาเข้าเฝ้าหรือเข้าเวรเป็นการเฉพาะไม่มาใช้ท่าเรือปะปนกับขุนนางอื่น เรียกว่าท่าแปดตำรวจ ท่าแปดตำรวจสมัยอยุธยาจะอยู่ที่ไหนไม่ทราบ ส่วนสมัยรัตนโกสินทร์ท่าแปดตำรวจอยู่แถวบริเวณวัดมหาธาตุที่เดี๋ยวนี้เรียกว่าท่ามหาราชไปแล้วนั่นเอง
.....หลวงชัยมนตรีคนที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ ซึ่งตามบรรดาศักดิ์ขณะนั้นได้ “ว่าที่” พระมหามนตรี จางวางกรมพระตำรวจในขวา ซึ่งถ้าเทียบสมัยนี้น่าจะเป็นรักษาราชการอธิบดี เรียกได้ว่าใหญ่คับกรมเลยทีเดียวแต่จะเป็นลูกเต้าเหล่าใครไม่มีหลักฐานเหลือพอจะอ้างอิง แต่ต้องเป็นตระกูลขุนนาง "ใหญ่" ตระกูลหนึ่ง เนื่องจากกรมพระตำรวจพระเจ้าแผ่นดินจะคัดเลือกเองเจ้ากระทรวงกลาโหมยังไม่มีสิทธิ์เลือก ได้รับความไว้วางพระทัยมากเนื่องจากในปีก่อนหน้านั้น (พ.ศ. 2279) เป็นผู้ตีฆ้องสัญญาณในงานพระเมรุสมเด็จพระรูปกรมหลวงโยธาเทพ ต่อมา พ.ศ. 2280 เกิดคดีชาวบ้านเมืองราชบุรีร้องเรียนว่าหมื่นศรีจัดกับหมื่นเทพนายแขวงเมืองราชบุรีเรียกเอาสินบนจนเดือดร้อนไปทั่ว สมเด็จพระเจ้าบรมโกศจึงรับสั่งให้หลวงชัยมนตรีไปเป็นผู้พิพากษาเรื่องนี้ หลวงชัยมนตรีจึงให้ขุนราชเสนาไปสืบข่าวพาพวกขุนหมื่นกรมมหาดไทยไปสืบข่าว แต่ขุนราชเสนาไปหาข่าวและสร้างพยานเท็จโดยให้ญาติพี่น้องบ่าวไพร่ของคนสวมรอยว่าเป็นชาวบ้านเมืองราชบุรีที่ถูกเรียกรับสินบน และนำคำให้การเหล่านั้นมาให้หลวงชัยมนตรีพิจารณา
.....คดีนี้ซับซ้อนตรงที่เมื่อหลวงชัยมนตรีสอบสวนหมื่นศรีจัดกับหมื่นเทพ น่าจะเป็นคดีแรกที่เจ้าตัวได้รับหน้าที่ให้ไปเป็นผู้พิพากษาซึ่งคงจัดการสอบสวนแบบพิเศษเพื่อขอให้ได้คำสารภาพก็พอจนทั้งคู่ก็รับสารภาพทุกข้อกล่าวหา แต่ต้นฉบับเขียนไว้ว่า “ผู้มีชื่อร้องฟ้องแก่ผู้รักษาเมือง ผู้รั้ง กรมการ กล่าวโทษผู้จำเลย (น่าจะหมายถึงหมื่นศรีจัดกับหมื่นเทพ) รักษาเมืองปิตราประทับหลังส่งฟ้องให้พิจารณา ครั้นได้ผู้มีชื่อฝ่ายจำเลยมา จำเลยยอมลงเอาเงินแก่ผู้มีชื่อตามรับ” ซึ่งน่าจะหมายถึงชาวบ้านฟ้องร้องกัน หมื่นศรีจัดกับหมื่นเทพนั้นเป็นผู้พิจารณาและไกล่เกลี่ยจนทั้งสองฝ่ายยอมคืนเงินแก่กัน แต่พยานเท็จที่ขุนราชเสนาสร้างขึ้นบอกว่าหมื่นทั้งสองรับสินบน หลวงชัยมนตรีอยากสร้างผลงานจึงกราบทูลแต่เรื่องหมื่นทั้งสองรับสินบน สมเด็จพระเจ้าบรมโกศจึงรับสั่งให้เฆี่ยนคนละ 7 ครั้งแล้วให้คืนเงินชาวบ้าน
.....ฝ่ายหมื่นทั้งสองโดนเฆี่ยนไม่พอต้องหาเงินมาคืนอีกกลายเป็นซวยสองเด้ง จึงฮึดสู้ถวายฎีกาฟ้องหลวงชัยมนตรีกับขุนราชเสนาบ้าง สมเด็จพระเจ้าบรมโกศทรงรับฟ้องทรงให้ตั้งคณะกรมการสอบสวน จึงปรากฏความจริงว่าหลวงชัยมนตรีปิดบังไม่ยอมกราบทูลความทั้งหมด หมื่นทั้งสองเป็นฝ่ายถูกแต่ไปสร้างพยานเท็จจนกลายเป็นฝ่ายผิด สมเด็จพระเจ้าบรมโกศทรงพระพิโรธมากจึงรับสั่งให้ปรับเงินหลวงชัยมนตรีเป็นเงิน 7 ชั่ง 7 ตำลึง 2 บาท 2 สลึง ส่วนขุนราชเสนานั้นหนักหน่อยเพราะเป็นต้นเรื่องสร้างพยานเท็จให้ปรับเงินถึง 8 ชั่ง 18 ตำลึง 2 บาท 2 สลึง แล้วสั่งทำขวัญหมื่นศรีจัดกับหมื่นเทพที่ต้องอาญาแบบไม่ยุติธรรม นอกจากนี้ยังปลดหลวงชัยมนตรีจากตำแหน่งลงเป็นไพร่ หมดอนาคตขุนนางใหญ่ที่กำลังจะได้ไปแบบชั่วชีวิต
หลวงชัยมนตรี ตำรวจสุดฉาวยุคกรุงศรีอยุธยา
.....กรมพระตำรวจมีแปดกรม คือ กรมพระตำรวจในขวา กรมพระตำรวจในซ้าย กรมพระตำรวจนอกขวา กรมพระตำรวจนอกซ้าย กรมพระตำรวจใหญ่ขวา กรมพระตำรวจใหญ่ซ้าย กรมพระตำรวจช่างทหารใน และกรมพระตำรวจสนมทหารซ้าย และทำหน้าที่เป็นลูกขุนในศาลรับสั่งกรณีที่มีคดีที่ศาลบรรดามีตัดสินไม่ได้หรือตัดสินยาก จะทรงให้กรมพระตำรวจนำไปพิจารณา ความพิเศษของกรมพระตำรวจคือมีท่าเรือสำหรับขึ้นลงเรือเวลาเข้าเฝ้าหรือเข้าเวรเป็นการเฉพาะไม่มาใช้ท่าเรือปะปนกับขุนนางอื่น เรียกว่าท่าแปดตำรวจ ท่าแปดตำรวจสมัยอยุธยาจะอยู่ที่ไหนไม่ทราบ ส่วนสมัยรัตนโกสินทร์ท่าแปดตำรวจอยู่แถวบริเวณวัดมหาธาตุที่เดี๋ยวนี้เรียกว่าท่ามหาราชไปแล้วนั่นเอง
.....หลวงชัยมนตรีคนที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ ซึ่งตามบรรดาศักดิ์ขณะนั้นได้ “ว่าที่” พระมหามนตรี จางวางกรมพระตำรวจในขวา ซึ่งถ้าเทียบสมัยนี้น่าจะเป็นรักษาราชการอธิบดี เรียกได้ว่าใหญ่คับกรมเลยทีเดียวแต่จะเป็นลูกเต้าเหล่าใครไม่มีหลักฐานเหลือพอจะอ้างอิง แต่ต้องเป็นตระกูลขุนนาง "ใหญ่" ตระกูลหนึ่ง เนื่องจากกรมพระตำรวจพระเจ้าแผ่นดินจะคัดเลือกเองเจ้ากระทรวงกลาโหมยังไม่มีสิทธิ์เลือก ได้รับความไว้วางพระทัยมากเนื่องจากในปีก่อนหน้านั้น (พ.ศ. 2279) เป็นผู้ตีฆ้องสัญญาณในงานพระเมรุสมเด็จพระรูปกรมหลวงโยธาเทพ ต่อมา พ.ศ. 2280 เกิดคดีชาวบ้านเมืองราชบุรีร้องเรียนว่าหมื่นศรีจัดกับหมื่นเทพนายแขวงเมืองราชบุรีเรียกเอาสินบนจนเดือดร้อนไปทั่ว สมเด็จพระเจ้าบรมโกศจึงรับสั่งให้หลวงชัยมนตรีไปเป็นผู้พิพากษาเรื่องนี้ หลวงชัยมนตรีจึงให้ขุนราชเสนาไปสืบข่าวพาพวกขุนหมื่นกรมมหาดไทยไปสืบข่าว แต่ขุนราชเสนาไปหาข่าวและสร้างพยานเท็จโดยให้ญาติพี่น้องบ่าวไพร่ของคนสวมรอยว่าเป็นชาวบ้านเมืองราชบุรีที่ถูกเรียกรับสินบน และนำคำให้การเหล่านั้นมาให้หลวงชัยมนตรีพิจารณา
.....คดีนี้ซับซ้อนตรงที่เมื่อหลวงชัยมนตรีสอบสวนหมื่นศรีจัดกับหมื่นเทพ น่าจะเป็นคดีแรกที่เจ้าตัวได้รับหน้าที่ให้ไปเป็นผู้พิพากษาซึ่งคงจัดการสอบสวนแบบพิเศษเพื่อขอให้ได้คำสารภาพก็พอจนทั้งคู่ก็รับสารภาพทุกข้อกล่าวหา แต่ต้นฉบับเขียนไว้ว่า “ผู้มีชื่อร้องฟ้องแก่ผู้รักษาเมือง ผู้รั้ง กรมการ กล่าวโทษผู้จำเลย (น่าจะหมายถึงหมื่นศรีจัดกับหมื่นเทพ) รักษาเมืองปิตราประทับหลังส่งฟ้องให้พิจารณา ครั้นได้ผู้มีชื่อฝ่ายจำเลยมา จำเลยยอมลงเอาเงินแก่ผู้มีชื่อตามรับ” ซึ่งน่าจะหมายถึงชาวบ้านฟ้องร้องกัน หมื่นศรีจัดกับหมื่นเทพนั้นเป็นผู้พิจารณาและไกล่เกลี่ยจนทั้งสองฝ่ายยอมคืนเงินแก่กัน แต่พยานเท็จที่ขุนราชเสนาสร้างขึ้นบอกว่าหมื่นทั้งสองรับสินบน หลวงชัยมนตรีอยากสร้างผลงานจึงกราบทูลแต่เรื่องหมื่นทั้งสองรับสินบน สมเด็จพระเจ้าบรมโกศจึงรับสั่งให้เฆี่ยนคนละ 7 ครั้งแล้วให้คืนเงินชาวบ้าน
.....ฝ่ายหมื่นทั้งสองโดนเฆี่ยนไม่พอต้องหาเงินมาคืนอีกกลายเป็นซวยสองเด้ง จึงฮึดสู้ถวายฎีกาฟ้องหลวงชัยมนตรีกับขุนราชเสนาบ้าง สมเด็จพระเจ้าบรมโกศทรงรับฟ้องทรงให้ตั้งคณะกรมการสอบสวน จึงปรากฏความจริงว่าหลวงชัยมนตรีปิดบังไม่ยอมกราบทูลความทั้งหมด หมื่นทั้งสองเป็นฝ่ายถูกแต่ไปสร้างพยานเท็จจนกลายเป็นฝ่ายผิด สมเด็จพระเจ้าบรมโกศทรงพระพิโรธมากจึงรับสั่งให้ปรับเงินหลวงชัยมนตรีเป็นเงิน 7 ชั่ง 7 ตำลึง 2 บาท 2 สลึง ส่วนขุนราชเสนานั้นหนักหน่อยเพราะเป็นต้นเรื่องสร้างพยานเท็จให้ปรับเงินถึง 8 ชั่ง 18 ตำลึง 2 บาท 2 สลึง แล้วสั่งทำขวัญหมื่นศรีจัดกับหมื่นเทพที่ต้องอาญาแบบไม่ยุติธรรม นอกจากนี้ยังปลดหลวงชัยมนตรีจากตำแหน่งลงเป็นไพร่ หมดอนาคตขุนนางใหญ่ที่กำลังจะได้ไปแบบชั่วชีวิต