สวัสดีค้าบบบ ทุกคน ผมคิดอยู่นานนะว่าจะเอาเรื่องราวของตัวเองมาแชร์ดีไหม แต่ผมอยากบอกเล่าถึงความยากในช่วงนี้ให้เพื่อนๆที่ประสบปัญหาเหมือนผม รู้แนวทางเป็นไอเดียมาพยุงธุรกิจกันครับ ผมคือพ่อค้าคนนึงครับ ที่เกือบจะไปไม่รอดกับธุรกิจที่ทำ แต่ตอนนี้ก็ค่อย ๆ กลับมาทรงตัวได้ เพราะการยอมเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างของผม สิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือการเปลี่ยนออฟไลน์มาเป็นออนไลน์ ครับ วันนี้ผมขอมาแชร์ประสบการณ์ในปัญหาธุรกิจที่ผมเจอ การแบกรับกับต้นทุนในช่วงโควิด และวิกฤติการเงินที่ถาโถม ผมผ่านมาแม้จะยังไม่ได้ดีมากได้ยังไง มาอ่านกระทู้ไปกับผมพร้อมกันนะครับ ถ้าเขียนถูกใจใคร หรือไม่ถูกใจใครก็ต้องขอโทษไว้ด้วยนะครับ
ก่อนอื่นผมจะบอกว่า โควิดทำผมหน่วงมาก ขอเล่าก่อนว่าที่บ้านผมทำโรงสีครับ ก่อนหน้านี้คือดีเฟ่อ ผมช่วยพ่อกับแม่ส่งขายขายไปต่างประเทศ ทำธุรกิจส่งออกข้าวสาร และข้าวกล้องไปต่างประเทศเป็นหลัก ตอนช่วงโควิดเข้ารอบแรก ก็โดนหางเลขไปนิดนึง แต่ก็ยังพอส่งออกได้ แต่พอมาระลอกที่ 2 -3 บอกตามตรง ว่าอยากยอมแพ้เพราะแทบไปต่อไม่ไหว แต่เพราะผมยังมีครอบครัวอยู่จึงต้องกลับลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง
ครอบครัวผมเป็นคนหลายเจเนอเรชั่น ผมก็อยู่ระหว่าง Gen Y ทื่เข้าถึงออนไลน์บ้าง เข้าไม่ถึงบ้าง
ตามประสาคนอายุ 30 + แต่ทั้งนี้ก็ดีที่คนในครอบครัวก็มีคนรุ่นใหม่บ้าง ก็เลยมีคนแนะนำให้ดันข้าวของเราให้ไปทางออนไลน์ เพื่อรับรายได้จากช่องทางใหม่แทน โดยจากการรวมหัวกัน พวกเราก็คิดทริคในการสู้ต่อไปได้ประมาณนี้ครับ
1.) เปิดช่องทางการขายให้เยอะยิ่งขึ้น เข้าหาโลกออนไลน์ตีตลาดภายในประเทศ
2.) ทำให้สินค้าเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น ผ่านทั้งการแปรรูปและเลือกผลิตสินค้าที่เป็นที่นิยม
3.) ต่อยอดให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าเราอีกครั้ง ด้วยคุณภาพของสินค้าและบริการ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งทั้งหมดนี้เพราะอ่วมจากเดิมไปมากก็เลยขอหาเงินทุนใหม่ ผ่านการขอสินเชื่อซึ่งก็ได้เงินมาก้อนนึงที่เยอะพอสมควร ก่อนที่จะนำมาปลุกธุรกิจให้กลับมาฟื้นอีกครั้ง (อันนี้เผื่อใครถาม ผมขอสินเชื่อทะเบียนรถกับ KTC นะฮะ ชื่อ KTC พี่เบิ้ม จริงๆ ไม่ได้รู้จัก แต่รู้จัก KTC ที่เป็นบัตรเครดิต เค้าเจ้าเดียวกัน อันนี้ง่ายหน่อย เพราะมาไวมีแบบ เดลิเวอรรี่ ได้เงินเลยวันที่ตรวจรถ ผมว่า โอเคนะ คือดอกก็ไม่ได้ดีมากถ้าเทียบแบงค์ แต่ผมว่าความเร็วอ่าได้ แล้วไม่ต้องไปหาที่สาขา อันนี้ได้ความสะดวก)
พอได้เงินทุนก็ต้องเริ่มทำการสำรวจตลาด ก็เลยได้รู้มาว่าปัจจุบันคนเน้นอาหารสำหรับสุขภาพ เน้นความเป็นออร์แกนิค ปลอดสารพิษ ผมเลยตัดสินใจเดิมพันทำผลิตภัณฑ์ตัวใหม่เป็น Ricebox ซึ่งเป็นข้าวกล้องแบบออร์แกนิค โดยผมก็ศึกษาพวกการลงขายแบบออนไลน์ แล้วก็โพสต์ลงเพจ โพสต์ลงกลุ่มเฟสบุ๊คบ้าง ซึ่งผลตอบรับก็ดีกว่าที่คิด ก็เลยขยายช่องทางไปทาง Line บ้าง เพื่อที่จะเข้าถึงคนได้มากขึ้น
พอจับทางได้แล้ว ผมก็รู้สึกว่าเราจะยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ เพราะงั้นผมก็เลยทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ได้จากข้าวเช่นเดิม
อย่าง เครื่องดื่มข้าวกล่อง ที่ทำเป็นขวดบรรจุและใช้ผลผลิตดั้งเดิม มาแปรรูปให้ดูหลากหลาย ซึ่งมันก็ตอบโจทย์คนทุกวัย จนทำให้กำไรจากเดิมของการผลิต ไรซ์พลัส เพิ่มขึ้นมาอีกประมาณนึง และก็ค่อยฟื้นธุรกิจของบ้านเราได้ โดยใช้ช่องทางออนไลน์ในการวางขายหน้าสินค้า โดยไม่ต้องมีหน้าร้านเช่นเคย
ที่ผมเขียนหลายคนอาจจะคิดว่ามันง่ายไปมั้ย แต่ผมบอกได้เลยครับว่าไม่ได้ง่ายเหมือนที่เขียน เพราะกว่าจะดันอะไรขึ้นมาได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น แต่ทั้งนี้ผมขอเป็นอีกหนึ่งเสียงในการสนับสนุนคนที่ไม่เคยทำธุรกิจออนไลน์ ให้ลองลงมือทำสักครั้ง เผื่อธุรกิจของคุณจะพลิกกลับมาในทางที่ดีขึ้นได้ ของดีอย่าเก็บไว้ครับ เผยแพร่ออกไปเยอะๆ เลย ยังไงก็ดีกว่าหยุดอยู่ที่เดิมแน่นอน
ปล. สุดท้ายผมของฝากธุรกิจข้าวกล้องปลอดสารพิษ ไรซ์พลัส ของผมด้วยนะครับ รับประกันความหอมอร่อย หุงแล้วขึ้นฟูดี ทานแล้วได้สารอาหารที่ดีแบบเต็มๆ ไม่มีสารเคมีตกค้างที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อิ่มอร่อยได้ประโยชน์ทั้งครอบครัว สุดท้ายแล้วจริงๆ
ขอให้ทุกคนที่กำลังกลัวการเข้าสู่ตลาดใหม่นี้ลองหันมาสู้กับสักตั้งกับสิ่งใหม่ๆ ผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันนะครับ
#เรื่องนี้พี่ขอเล่า มาแชร์ประสบการณ์ตรง ดันแบรนด์ ‘ข้าวกล้อง’ สู่ตลาดออนไลน์ในยุค COVID-19
ก่อนอื่นผมจะบอกว่า โควิดทำผมหน่วงมาก ขอเล่าก่อนว่าที่บ้านผมทำโรงสีครับ ก่อนหน้านี้คือดีเฟ่อ ผมช่วยพ่อกับแม่ส่งขายขายไปต่างประเทศ ทำธุรกิจส่งออกข้าวสาร และข้าวกล้องไปต่างประเทศเป็นหลัก ตอนช่วงโควิดเข้ารอบแรก ก็โดนหางเลขไปนิดนึง แต่ก็ยังพอส่งออกได้ แต่พอมาระลอกที่ 2 -3 บอกตามตรง ว่าอยากยอมแพ้เพราะแทบไปต่อไม่ไหว แต่เพราะผมยังมีครอบครัวอยู่จึงต้องกลับลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง
ครอบครัวผมเป็นคนหลายเจเนอเรชั่น ผมก็อยู่ระหว่าง Gen Y ทื่เข้าถึงออนไลน์บ้าง เข้าไม่ถึงบ้าง
ตามประสาคนอายุ 30 + แต่ทั้งนี้ก็ดีที่คนในครอบครัวก็มีคนรุ่นใหม่บ้าง ก็เลยมีคนแนะนำให้ดันข้าวของเราให้ไปทางออนไลน์ เพื่อรับรายได้จากช่องทางใหม่แทน โดยจากการรวมหัวกัน พวกเราก็คิดทริคในการสู้ต่อไปได้ประมาณนี้ครับ
1.) เปิดช่องทางการขายให้เยอะยิ่งขึ้น เข้าหาโลกออนไลน์ตีตลาดภายในประเทศ
2.) ทำให้สินค้าเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น ผ่านทั้งการแปรรูปและเลือกผลิตสินค้าที่เป็นที่นิยม
3.) ต่อยอดให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าเราอีกครั้ง ด้วยคุณภาพของสินค้าและบริการ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งทั้งหมดนี้เพราะอ่วมจากเดิมไปมากก็เลยขอหาเงินทุนใหม่ ผ่านการขอสินเชื่อซึ่งก็ได้เงินมาก้อนนึงที่เยอะพอสมควร ก่อนที่จะนำมาปลุกธุรกิจให้กลับมาฟื้นอีกครั้ง (อันนี้เผื่อใครถาม ผมขอสินเชื่อทะเบียนรถกับ KTC นะฮะ ชื่อ KTC พี่เบิ้ม จริงๆ ไม่ได้รู้จัก แต่รู้จัก KTC ที่เป็นบัตรเครดิต เค้าเจ้าเดียวกัน อันนี้ง่ายหน่อย เพราะมาไวมีแบบ เดลิเวอรรี่ ได้เงินเลยวันที่ตรวจรถ ผมว่า โอเคนะ คือดอกก็ไม่ได้ดีมากถ้าเทียบแบงค์ แต่ผมว่าความเร็วอ่าได้ แล้วไม่ต้องไปหาที่สาขา อันนี้ได้ความสะดวก)
พอจับทางได้แล้ว ผมก็รู้สึกว่าเราจะยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ เพราะงั้นผมก็เลยทำผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ได้จากข้าวเช่นเดิม
อย่าง เครื่องดื่มข้าวกล่อง ที่ทำเป็นขวดบรรจุและใช้ผลผลิตดั้งเดิม มาแปรรูปให้ดูหลากหลาย ซึ่งมันก็ตอบโจทย์คนทุกวัย จนทำให้กำไรจากเดิมของการผลิต ไรซ์พลัส เพิ่มขึ้นมาอีกประมาณนึง และก็ค่อยฟื้นธุรกิจของบ้านเราได้ โดยใช้ช่องทางออนไลน์ในการวางขายหน้าสินค้า โดยไม่ต้องมีหน้าร้านเช่นเคย
ที่ผมเขียนหลายคนอาจจะคิดว่ามันง่ายไปมั้ย แต่ผมบอกได้เลยครับว่าไม่ได้ง่ายเหมือนที่เขียน เพราะกว่าจะดันอะไรขึ้นมาได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น แต่ทั้งนี้ผมขอเป็นอีกหนึ่งเสียงในการสนับสนุนคนที่ไม่เคยทำธุรกิจออนไลน์ ให้ลองลงมือทำสักครั้ง เผื่อธุรกิจของคุณจะพลิกกลับมาในทางที่ดีขึ้นได้ ของดีอย่าเก็บไว้ครับ เผยแพร่ออกไปเยอะๆ เลย ยังไงก็ดีกว่าหยุดอยู่ที่เดิมแน่นอน
ปล. สุดท้ายผมของฝากธุรกิจข้าวกล้องปลอดสารพิษ ไรซ์พลัส ของผมด้วยนะครับ รับประกันความหอมอร่อย หุงแล้วขึ้นฟูดี ทานแล้วได้สารอาหารที่ดีแบบเต็มๆ ไม่มีสารเคมีตกค้างที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อิ่มอร่อยได้ประโยชน์ทั้งครอบครัว สุดท้ายแล้วจริงๆ
ขอให้ทุกคนที่กำลังกลัวการเข้าสู่ตลาดใหม่นี้ลองหันมาสู้กับสักตั้งกับสิ่งใหม่ๆ ผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกันนะครับ