(เพิ่งเขียนเป้นกระทู้แรก ขออภัยหากมีเรื่องผิดพลาดนะคะ)
“การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ”
แต่หากใครมีโรคแล้วก็ต้องรักษานะคะ
เนื่องจากดิฉันเป็นโรคในกลุ่มแพ้ภูมิตัวเอง 2 โรค คือ Autoimmune Hepatitis และ Granulomatosis with Polyangiitis จึงต้องเจาะเลือดตรวจทุกเดือนและจำเป็นต้องให้ยา Rituximab เพื่อบรรเทาอาการอักเสบ และเนื่องจาก Protocol ของการรับยานี้ในประเทศญี่ปุ่นจะต้องพักอยู่โรงพยาบาลสามวันเป็นอย่างน้อย วันแรกตรวจร่างกาย ตรวจเลือด X-Ray ปอด CT-Scan ค่ะ
โอเค จบเรื่องเรา
เข้าเรื่องขั้นตอนการแอดมิดค่ะ
ส่วนใหญ่หมอจะมีการเกริ่นมาก่อนอยู่แล้วว่าจะต้องแอดมิด (ในกรณีที่ไม่ใช่เคสฉุกเฉินนะคะ) ดังนั้นคุณหมอก็จะทำการจองเตียงให้เราในระบบ ว่าจะเข้าวันไหน กี่วัน จากนั้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็จะนำเราไปที่ลงทะเบียนเพื่อแอดมิดค่ะ (เนื่องจากภาษาญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ขั้นสูง ขั้นตอนหลังจากนี้คุณหมอจึงเรียกล่ามมาประกบให้ค่ะ) ซึ่งก็จะต้องกรอกแบบสอบถามจำพวกข้อมูลส่วนตัว ชื่อ ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด เบอร์โทรศัพท์ เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน เลือกเป็นอันดับ 1-2-3 ว่าอยากจะอยู่ห้อง Type ไหน (ห้องกี่เตียง) A-B-C-D ...แล้วแต่โรงพยาบาลค่ะ และเรา (บวกความเห็นของแพทย์) ก็เลือกตามความเหมาะสมและงบประมาณเราค่ะ
จากนั้นเราก็จะต้องไปให้พยาบาลซักประวัติค่ะ ซึ่งก็เป็นคำถามคร่าวๆ ทานยาอะไรอยู่บ้าง ทานยาบำรุงหรือวิตามินเสริมไหม เคยผ่าตัดไหม ผ่าอะไร แพ้ยา แพ้อาหารอะไรหรือเปล่า เคยแพ้สารทึบรังสีไหม ปกติเข้าห้องน้ำถ่ายหนัก ถ่ายเบา วันละกี่ครั้ง ออกกำลังกายอย่างไรบ้าง ทานอาหารญี่ปุ่นได้ไหม ทานหรือไม่ทานอะไร เนื่องจากเหตุผลทางศาสนาหรือแค่ความชอบ มีอาการเวียนหัว ผื่นแพ้ เจ็บคอ ไอ ภูมิแพ้อะไรไหม ปกตินอนหลับได้สบายหรือเปล่าหรือนอนไม่ค่อยหลับ ฯลฯ เหมือนเล่นเกมส์ 180 คำถามอะค่ะ ละเอี๊ยดละเอียด
พอจบขั้นตอนดังกล่าว เจ้าหน้าที่ก็จะให้เอกสาร Hospital Guide มาอ่านค่ะ แต่ประเด็นหลักที่น่าจะแตกต่างจากประเทศอื่นคือ เราต้องเตรียมของใช้เองค่ะ นั่นคือ…
บัตรประจำตัวของโรงพยาบาล
บัตรประกันสุขภาพ (NHI)
เอกสารแอดมิด (เขาจะให้กลับบ้านมากรอกตั้งแต่วันลงทะเบียนค่ะ พอวันที่แอดมิดก็นำไปด้วย)
ยา
เสื้อผ้า
ถุงเท้า
ชุดนอน
ชุดชั้นใน
เสื้อคลุมคาร์ดิแกน
สบู่
แชมพู
หวี
แปรงสีฟัน
ยาสีฟัน
แก้วน้ำ
ผ้าขนหนูผืนเล็ก
ผ้าขนหนูผืนใหญ่
รองเท้าแตะ
กระดาษทิชชู่
หูฟังสำหรับทีวี
ฯลฯ
(อย่างกับไปค่ายลูกเสือเนตรนารีอะค่ะ)
ก่อนวันแอดมิด ทางโรงพยาบาลจะติดต่อมาทางโทรศัพท์เพื่อคอนเฟิร์มวันและเวลาค่ะ (เนื่องจากสถานการณ์โควิด เตียงอาจจะเต็มและเขาอาจจะเลื่อนวันและเวลาได้ค่ะ)
ณ วันที่แอดมิดเราก็ไปติดต่อที่ Admission Reception ค่ะ แล้วเขาจะแจ้งเบอร์ห้องที่ได้และบัตรผ่านให้เรา ทั้งนี้กฎของโรงพยาบาลและเวลาเยี่ยมน่าจะแตกต่างกันไปตามแต่ละโรงพยาบาลค่ะ แต่รวมๆ ก็น่าจะคล้ายๆ ที่ไทย
ตอนนี้ข้อมูลสุดแค่นี้นะคะ ดิฉันจะแอดมิดวันที่ 27 กันยายนนี้ ถ้ามีโอกาสจะมาเขียนต่อนะคะ
มาเล่าต่อค่ะ ตอนนี้ออกจาก รพ. มาอยู่บ้านได้ประมาณ 2 สัปดาห์แล้วค่ะ
จากตอนที่แล้วพอเราแอดมิดตอนสิบโมงเช้าและได้บัตรผ่านเรียบร้อย ก็จะขึ้นไปรายงานตัวกับพยาบาลประจำวอร์ดค่ะ ก็ส่งเอกสารที่ได้จาก Admission Reception ให้เขาแล้วพยาบาลก็จะพาเราไปที่ห้องเราเลย
ทีนี้เราจะอยู่ห้องแบบไหนเนี่ย ขึ้นอยู่กับ 2 ตัวแปรใหญ่ๆ ก็คือ
ลักษณะโรคและอาการที่เราเป็น คุณหมอจะแนะนำว่าควรอยู่ห้องเดี่ยวนะ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือเพราะเป็นการพักฟื้นหลังการผ่าตัดหนักซึ่งต้องการการพักผ่อนเต็มที่ และง
บประมาณส่วนตัวค่ะ
เคสของเราคือเป็นการให้ยาคีโม ซึ่งช่วงให้ยานั้น พยาบาลจะเข้ามาปรับความเร็วยาและวัดความดันทุกครึ่งชั่วโมงค่ะ (วุ่นวายมาก) และที่สำคัญคือ ภูมิต้านทานจะต่ำ จึงควรอยู่ห้องเดี่ยวและประกันสุขภาพครอบคลุม 100% เราจึงเลือกอยู่ห้องแบบ Private Room type B ค่ะ
ดูรายละเอียดห้องได้ที่
https://www.med.jrc.or.jp/en/tabid/831/Default.aspx
พอเดินเข้าไปในห้อง....ก็พบว่าวิวดีมาก

และเขามี amenities package ให้ค่ะ (Toiletries, hand and bath towels, slippers, and tissues เย่… แค่นี้ก็ดีใจมาก
เรามาดูภาพในห้องกันบ้างค่ะ เตียงปรับระดับได้ และก็มีทีวี ตู้เย็น ตู้เซฟให้ค่ะ


ย้ายมาดูห้องน้ำกันบ้าง บอกตรงๆ ว่าห้องน้ำใหญ่กว่าห้องน้ำที่บ้านที่โตเกียวค่ะ



และระหว่างที่เก็บของนั้น ก็ได้เวลาอาหารเที่ยงค่ะ

แต่เวลาแห่งความสุขก็อยู่กับเราไม่นานค่ะ พอสักบ่ายโมง พยาบาลก็มาเจาะเลือด สัมภาษณ์เล็กๆ น้อยๆ เรื่องอาการ มีเภสัชกรมาคุยเรื่องยาที่กินอยู่และยาที่จะให้พรุ่งนี้ และพยาบาลก็จะมาคอยเตือนเมื่อถึงคิวให้ลงไปทำ Echo, EKG, หาหมอผิวหนังเพื่อ Biopsy ชิ้นเนื้อตรงผื่นไปตรวจและ CT-Scan ตามลำดับค่ะ ซึ่งทุกการตรวจนี้พยาบาลจะไปส่งนะคะ และก่อนตรวจก็แค่ให้เจ้าหน้าที่ Scan ตรง Barcode ที่ข้อมือ เมื่อตรวจเสร็จขากลับก็เดินกลับขึ้นวอร์ดเองค่ะ
ดังนั้นเราก็แว่บไปซื้อขนมที่ร้านสะดวกซื้อค่ะ จะรออะไร

จากนั้นก็หมดวันค่ะ ทานข้าวเย็น โทร.หาที่บ้านนิดหน่อย อาบน้ำ นอน
(ช่วงโควิดนี่ รพ. เขาจะไม่แนะนำให้คนมาเยี่ยมนะคะ จากตอนแอดมิดถึงวันกลับ เราลุยคนเดียวตลอดค่ะ แข็งแกร่งที่สุด ฮ่าฮ่า)

เช้ามาหลังจากทานยาได้หนึ่งชั่วโมง อาหารเช้าก็มาเสิร์ฟค่ะ วันนี้ Chemo Day ต้องกินเพิ่มพลังค่ะ พอทานเสร็จพยาบาลก็มาเตรียมเจาะปลั๊กแถมติดเครื่อง ECG วัดคลื่นหัวใจด้วยค่ะ จากนั้นก็เริ่มให้น้ำเกลือ ยา Pre-Chemo medication และคีโม ตามลำดับ ซึ่งเหมือนจะมีทีมพยาบาลสองทีมเวียนกันมา ทีมแรกเป็นคนให้ยา ปรับความเร็วยา วัดความดัน วัดไข้ทุกครึ่งชั่วโมง และอีกทีมจะมา Cross check ค่ะ เราก็จะวิงเวียนมากค่ะ เพราะคนเข้าออกห้องบ่อยมาก


พอคีโมเสร็จก็เย็นพอดีค่ะ ลากันด้วยฟ้ายามเย็นของโตเกียว

วันที่สาม...พอหมอมาตรวจตอนเช้า อาการโอเคก็กลับบ้านได้ค่ะ ไม่ต้องเซ็นเอกสารใดๆ บิลก็จะส่งไปที่บ้านภายใน 1-2 สัปดาห์ค่ะ (ซึ่งอันนี้คิดว่าแปลกมากที่เขาไม่กลัวเราไม่จ่ายเงินเหรอคะ!!) พยาบาลเขาก็จะมาส่งเราหน้าลิฟท์และโค้งคำนับเป็นการร่ำลาค่ะ
[CR] รีวิวประสบการณ์การนอนโรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น Hospital Admission in Japan
“การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ”
แต่หากใครมีโรคแล้วก็ต้องรักษานะคะ
เนื่องจากดิฉันเป็นโรคในกลุ่มแพ้ภูมิตัวเอง 2 โรค คือ Autoimmune Hepatitis และ Granulomatosis with Polyangiitis จึงต้องเจาะเลือดตรวจทุกเดือนและจำเป็นต้องให้ยา Rituximab เพื่อบรรเทาอาการอักเสบ และเนื่องจาก Protocol ของการรับยานี้ในประเทศญี่ปุ่นจะต้องพักอยู่โรงพยาบาลสามวันเป็นอย่างน้อย วันแรกตรวจร่างกาย ตรวจเลือด X-Ray ปอด CT-Scan ค่ะ
โอเค จบเรื่องเรา
เข้าเรื่องขั้นตอนการแอดมิดค่ะ
ส่วนใหญ่หมอจะมีการเกริ่นมาก่อนอยู่แล้วว่าจะต้องแอดมิด (ในกรณีที่ไม่ใช่เคสฉุกเฉินนะคะ) ดังนั้นคุณหมอก็จะทำการจองเตียงให้เราในระบบ ว่าจะเข้าวันไหน กี่วัน จากนั้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็จะนำเราไปที่ลงทะเบียนเพื่อแอดมิดค่ะ (เนื่องจากภาษาญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ขั้นสูง ขั้นตอนหลังจากนี้คุณหมอจึงเรียกล่ามมาประกบให้ค่ะ) ซึ่งก็จะต้องกรอกแบบสอบถามจำพวกข้อมูลส่วนตัว ชื่อ ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด เบอร์โทรศัพท์ เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน เลือกเป็นอันดับ 1-2-3 ว่าอยากจะอยู่ห้อง Type ไหน (ห้องกี่เตียง) A-B-C-D ...แล้วแต่โรงพยาบาลค่ะ และเรา (บวกความเห็นของแพทย์) ก็เลือกตามความเหมาะสมและงบประมาณเราค่ะ
จากนั้นเราก็จะต้องไปให้พยาบาลซักประวัติค่ะ ซึ่งก็เป็นคำถามคร่าวๆ ทานยาอะไรอยู่บ้าง ทานยาบำรุงหรือวิตามินเสริมไหม เคยผ่าตัดไหม ผ่าอะไร แพ้ยา แพ้อาหารอะไรหรือเปล่า เคยแพ้สารทึบรังสีไหม ปกติเข้าห้องน้ำถ่ายหนัก ถ่ายเบา วันละกี่ครั้ง ออกกำลังกายอย่างไรบ้าง ทานอาหารญี่ปุ่นได้ไหม ทานหรือไม่ทานอะไร เนื่องจากเหตุผลทางศาสนาหรือแค่ความชอบ มีอาการเวียนหัว ผื่นแพ้ เจ็บคอ ไอ ภูมิแพ้อะไรไหม ปกตินอนหลับได้สบายหรือเปล่าหรือนอนไม่ค่อยหลับ ฯลฯ เหมือนเล่นเกมส์ 180 คำถามอะค่ะ ละเอี๊ยดละเอียด
พอจบขั้นตอนดังกล่าว เจ้าหน้าที่ก็จะให้เอกสาร Hospital Guide มาอ่านค่ะ แต่ประเด็นหลักที่น่าจะแตกต่างจากประเทศอื่นคือ เราต้องเตรียมของใช้เองค่ะ นั่นคือ…
ณ วันที่แอดมิดเราก็ไปติดต่อที่ Admission Reception ค่ะ แล้วเขาจะแจ้งเบอร์ห้องที่ได้และบัตรผ่านให้เรา ทั้งนี้กฎของโรงพยาบาลและเวลาเยี่ยมน่าจะแตกต่างกันไปตามแต่ละโรงพยาบาลค่ะ แต่รวมๆ ก็น่าจะคล้ายๆ ที่ไทย
ตอนนี้ข้อมูลสุดแค่นี้นะคะ ดิฉันจะแอดมิดวันที่ 27 กันยายนนี้ ถ้ามีโอกาสจะมาเขียนต่อนะคะ
มาเล่าต่อค่ะ ตอนนี้ออกจาก รพ. มาอยู่บ้านได้ประมาณ 2 สัปดาห์แล้วค่ะ
จากตอนที่แล้วพอเราแอดมิดตอนสิบโมงเช้าและได้บัตรผ่านเรียบร้อย ก็จะขึ้นไปรายงานตัวกับพยาบาลประจำวอร์ดค่ะ ก็ส่งเอกสารที่ได้จาก Admission Reception ให้เขาแล้วพยาบาลก็จะพาเราไปที่ห้องเราเลย
ทีนี้เราจะอยู่ห้องแบบไหนเนี่ย ขึ้นอยู่กับ 2 ตัวแปรใหญ่ๆ ก็คือ ลักษณะโรคและอาการที่เราเป็น คุณหมอจะแนะนำว่าควรอยู่ห้องเดี่ยวนะ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือเพราะเป็นการพักฟื้นหลังการผ่าตัดหนักซึ่งต้องการการพักผ่อนเต็มที่ และงบประมาณส่วนตัวค่ะ
เคสของเราคือเป็นการให้ยาคีโม ซึ่งช่วงให้ยานั้น พยาบาลจะเข้ามาปรับความเร็วยาและวัดความดันทุกครึ่งชั่วโมงค่ะ (วุ่นวายมาก) และที่สำคัญคือ ภูมิต้านทานจะต่ำ จึงควรอยู่ห้องเดี่ยวและประกันสุขภาพครอบคลุม 100% เราจึงเลือกอยู่ห้องแบบ Private Room type B ค่ะ
ดูรายละเอียดห้องได้ที่ https://www.med.jrc.or.jp/en/tabid/831/Default.aspx
พอเดินเข้าไปในห้อง....ก็พบว่าวิวดีมาก
และเขามี amenities package ให้ค่ะ (Toiletries, hand and bath towels, slippers, and tissues เย่… แค่นี้ก็ดีใจมาก
ย้ายมาดูห้องน้ำกันบ้าง บอกตรงๆ ว่าห้องน้ำใหญ่กว่าห้องน้ำที่บ้านที่โตเกียวค่ะ
และระหว่างที่เก็บของนั้น ก็ได้เวลาอาหารเที่ยงค่ะ
แต่เวลาแห่งความสุขก็อยู่กับเราไม่นานค่ะ พอสักบ่ายโมง พยาบาลก็มาเจาะเลือด สัมภาษณ์เล็กๆ น้อยๆ เรื่องอาการ มีเภสัชกรมาคุยเรื่องยาที่กินอยู่และยาที่จะให้พรุ่งนี้ และพยาบาลก็จะมาคอยเตือนเมื่อถึงคิวให้ลงไปทำ Echo, EKG, หาหมอผิวหนังเพื่อ Biopsy ชิ้นเนื้อตรงผื่นไปตรวจและ CT-Scan ตามลำดับค่ะ ซึ่งทุกการตรวจนี้พยาบาลจะไปส่งนะคะ และก่อนตรวจก็แค่ให้เจ้าหน้าที่ Scan ตรง Barcode ที่ข้อมือ เมื่อตรวจเสร็จขากลับก็เดินกลับขึ้นวอร์ดเองค่ะ
ดังนั้นเราก็แว่บไปซื้อขนมที่ร้านสะดวกซื้อค่ะ จะรออะไร
(ช่วงโควิดนี่ รพ. เขาจะไม่แนะนำให้คนมาเยี่ยมนะคะ จากตอนแอดมิดถึงวันกลับ เราลุยคนเดียวตลอดค่ะ แข็งแกร่งที่สุด ฮ่าฮ่า)
เช้ามาหลังจากทานยาได้หนึ่งชั่วโมง อาหารเช้าก็มาเสิร์ฟค่ะ วันนี้ Chemo Day ต้องกินเพิ่มพลังค่ะ พอทานเสร็จพยาบาลก็มาเตรียมเจาะปลั๊กแถมติดเครื่อง ECG วัดคลื่นหัวใจด้วยค่ะ จากนั้นก็เริ่มให้น้ำเกลือ ยา Pre-Chemo medication และคีโม ตามลำดับ ซึ่งเหมือนจะมีทีมพยาบาลสองทีมเวียนกันมา ทีมแรกเป็นคนให้ยา ปรับความเร็วยา วัดความดัน วัดไข้ทุกครึ่งชั่วโมง และอีกทีมจะมา Cross check ค่ะ เราก็จะวิงเวียนมากค่ะ เพราะคนเข้าออกห้องบ่อยมาก
พอคีโมเสร็จก็เย็นพอดีค่ะ ลากันด้วยฟ้ายามเย็นของโตเกียว
วันที่สาม...พอหมอมาตรวจตอนเช้า อาการโอเคก็กลับบ้านได้ค่ะ ไม่ต้องเซ็นเอกสารใดๆ บิลก็จะส่งไปที่บ้านภายใน 1-2 สัปดาห์ค่ะ (ซึ่งอันนี้คิดว่าแปลกมากที่เขาไม่กลัวเราไม่จ่ายเงินเหรอคะ!!) พยาบาลเขาก็จะมาส่งเราหน้าลิฟท์และโค้งคำนับเป็นการร่ำลาค่ะ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้