รถกระบะสเปซแค็บแล่นอยู่บนถนนทางลูกรังสายหนึ่งในเวลาตีห้าสิบห้า
คนขับชื่อ สุชาติ แช่ขุนทด เพศชาย อายุ 57 ปี 5 เดือน สัญชาติไทย เชื้อชาติไทย ราศีมีน เลือดกรุ๊ปโอ นับถือศาสนาพุทธ ถนัดขวา ความสูง 158 ซม.
น้ำหนัก 60 กิโล สวมเสื้อลายทาง กางเกงขายาวสีกรมท่า สวมรองเท้าแตะแบบสอดสีน้ำตาล ระดับน้ำตาล 111 ค่าไต 2.2 ความดันโลหิต 134/78
ชีพจร 76 ครั้งต่อนาที อัตราการหายใจ...
หืม..รายละเอียดที่ไม่จำเป็นเยอะไปเหรอ...
งั้นก็เอาเป็นตาลุงธรรมดาๆคนนึงละกัน
ตาลุงสุชาติขับรถออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้าสิบห้าทุกวัน เขาต้องไปตรวจรับไม้ที่จะทำการแปรรูปแต่เช้า อันเป็นงานที่เขาทำมาตลอด 20 ปี
แม้สองข้างทางจะไร้เสาไฟส่องสว่าง แต่มีเพียงแค่ไฟหน้ารถ สุชาติก็สามารถขับตามทางนี้ได้อย่างสบาย เพราะเป็นเส้นทางที่เขาคุ้นเคยมากว่า 30 ปี
และเมื่อถึงโค้งต้นไทร แสงจากไฟจากหน้ารถกลับส่องไปให้พบกับสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย จนต้องเหยียบเบรก ดีที่เขาชลอรถ รอเข้าโค้ง รถจึงหยุดได้อย่าง
นุ่มนวล
ที่ตรงนั้น ที่เคย และที่ควรจะมีเพียงแค่ต้นไทรใหญ่ กลับมีหญิงสาวนั่งกอดเข่าก้มหน้าอยู่ด้านข้าง
สุชาติคว้าจับพระที่ห้อยคออย่างลืมตัว ไฟหน้ารถยังสาดจี้ไปที่หญิงสาว แต่เธอก็ไม่ได้ตอบสนองต่อแสงไฟที่ส่องแต่อย่างใด
สุชาติสั่นไปทั้งตัว ตัดสินใจไม่ถูก ว่าจะทำเป็นไม่เห็น แล้วขับผ่านเลยไป หรือจะลองบีบแตรเรียก หรือจะถอยรถ วกรถกลับ รอให้สว่างค่อยไปทำงาน
ยอมไปสายซักวัน เพื่อชีวิตที่ปลอดภัยจากภาวะผมร่วง
แต่เขาก็ไม่กล้าทำอะไรซักอย่าง พนมมือสวดนะโมตัสสะอยู่หลายรอบ จนเรียกขวัญกลับมาได้จำนวนหนึ่ง แสงไฟยังส่อง หญิงสาวใต้ต้นไทรยังไม่หายไป
เขาทำใจกล้าๆกลัวๆ เปิดประตูรถลงไปด้วยขาสั่นๆ มือยังกุมพระที่ห้อยคอแน่น ค่อยๆย่างเข้าไปหาหญิงสาว
สุชาติหยุดยืนที่ระยะห่าง 5 เมตร อาศัยพูดเสียงดัง ลองเรียกเธอ
"น...นี่..คุณ ป..เป็น เป็นอะไรรึเปล่า"
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสุชาติ ทำเอาเขาสะดุ้งเฮิอก ปรากฏว่าใบหน้าของเธอก็เป็นคนธรรมดานี่แหละ เป็นผู้หญิงที่ดูอายุยังน้อย เขาผวาไปเอง
แต่หญิงสาวแค่มองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า แล้วก้มหน้าลงไปซุกหัวเข่าที่กอดไว้อีกครั้ง คราวนี้ สุชาติได้ยินเสียงสะอื้นฮักลอดออกมา
สุชาติจึงเดินไปหาเธอ
"เป็นอะไร หนู มานั่งร้องไห้มืดๆตรงนี้คนเดียวทำไม"
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยน้ำตานองหน้า ก่อนจะตอบว่า
"ฉันถูกไล่ออกจากบ้าน"
"หา ใครไล่"
"พวกทางการ"
"เฮ้ย เรื่องมันเป็นยังไงหนู ทางการมาทำได้ยังไง"
"พวกเขาบอกว่าจะเวนคืนที่ แล้วก็ทำลายบ้านของฉัน"
"บ้านหนูอยู่ที่ไหน"
"ที่ชายป่าด้านนู้น ตรงริมแม่น้ำ"
"อืม ตรงนั้นมัน ได้ยินว่ามีโครงการสร้างเขื่อน ใช่มั้ย หรือว่าบ้านที่หนูอยู่จะถูกเวนคืนเพราะทางการจะเอาที่ไปสร้างเขื่อน"
"คงจะเป็นอย่างนั้น"
"แล้วยังไง หนูไม่ได้ค่าชดเชยอะไรเลยหรือ"
หญิงสาวส่ายหัว
"อย่างนี้ก็ไม่ถูกสิ ..เดี๋ยวนะ ชายป่า หรือว่าที่บ้านหนูไม่มีเอกสารสิทธิ "
หญิงสาวส่ายหัว
"เฮ่อ เวร หนูจะทำยังไงต่อไปล่ะ"
หญิงสาวส่ายหัวอีกครั้ง แล้วก้มหน้าลงไปซุกหัวเข่าต่อ
สุชาติมองหญิงสาวอย่างเห็นใจ
"เอาอย่างนี้ไหม ข้างหน้ามีวัดอยู่ ลุงรู้จักกับหลวงพ่อ จะฝากไว้ให้ซักคน คงไม่เป็นไรหรอก หนูไปอาศัยอยู่ที่วัดซักพัก แล้วค่อยคิดกันที่หลังว่าจะอะไรยังไง ดีไหม ดีกว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ"
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสุชาติ
"ที่วัดเหรอ"
"อืม ที่วัด"
คราวนี้ หญิงสาวพยักหน้า แล้วลุกขึ้นยืน
"แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ" สุชาติพนมมือนิมนต์หลวงพ่อช่วง วัดจันทร์หินแก้ว ออกจากคอ ยื่นไปให้หญิงสาว
"หนูช่วยถือพระองค์นี้ให้ดูหน่อยได้มั้ย"
หญิงสาวแบมือ สุชาติหย่อนพระลงไป เธอไม่มีอาการอย่างไร สุชาติจึงได้ถอนใจแรง ที่เสียเวลากลัวมาตั้งนาน หยิบพระ นิมนต์กลับมาห้อยคอตามเดิม
"มา ไปขึ้นรถลุง"
สุชาติเรียกหญิงสาวให้ตามเขาไปที่รถ เขาขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ แต่หญิงสาวกลับยังไม่ขึ้นรถ เขาเอื้อมมือไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้ เธอจึงได้
ขึ้นรถมา แล้วนั่งตัวตรงมองไปข้างหน้า
"หนู ปิดประตูรถด้วยสิ"
เธอหันไปทางประตูรถ แล้วดึงประตูเข้ามา
สุชาติหักพวงมาลัย เหยียบคันเร่ง ขับตีโค้งผ่านต้นไทรไป
เขาและเธอก็ร่วมทางกันไปเงียบๆแบบนั้น ไม่ได้พูดอะไรกันเลย
จนเห็นวัดอยู่ข้างหน้า แสงตะวันเริ่มสาดส่องขับไล่ความมืด สุชาติไม่เคยนึก ว่าเขาจะคิดถึงดวงอาทิตย์เช่นนี้มาก่อน
"หนู หนูชื่ออะไรล่ะ ลุงยังไม่ได้ถามเลย"
สุชาติหันไปถามผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้าง แล้วเขาก็สะดุ้งเฮือก กระทืบเบรกอย่างลืมตัว จนรถส่ายเสียหลัก แต่เพราะประสบการณ์ขับรถมากว่า 40 ปี ทำให้เขา
ควบคุมรถได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุ
หลวงพ่อช่วง วัดจันทร์หินแก้ว ถูกนิมนต์อีกครั้ง พนมมือสวดนะโมตัสสะแบบไม่รู้เรื่องอยู่หลายรอบ กว่าสุชาติจะตั้งสติได้
เขาหันไปจับพวงมาลัย ขับรถตรงไปยังวัดข้างหน้า ที่ประตูวัด หลวงพ่อเดินนำพระลูกวัด กำลังจะออกไปบิณฑบาต
สุชาติรีบลงรถเข้าไปหาหลวงพ่อ นั่งยองๆลง พนมมือคุยกับท่าน
"หลวงพ่อครับ ผมขออนุญาตปลูกต้นไม้ในวัดซักต้นได้มั้ยครับ"
"ทำไมหรือโยม"
"ผมรับปากเค้าไว้ครับ"
"จะปลูกต้นอะไรล่ะ"
"ต.. ต้นตะเคียนครับ"
หลวงพ่อเอียงคอดูสุชาติ แล้วหันมองไปยังรถกระบะของสุชาติ นิ่งไปครู่หนึ่ง จึงพูดว่า
"ปลูกในวัดคงไม่สะดวก เดี๋ยวมีคนมากันมากจะวุ่นวายเสียเปล่าๆ ถ้าจะปลูก ก็เอาไปปลูกที่หลังวัด ตรงที่ใกล้แม่น้ำ จะดีกว่านะ โยม"
หลวงพ่อพูดแค่นั้น แล้วก็ออกไปบิณฑบาต โดยมีพระลูกวัดเดินตาม
สุชาติขับรถเข้าไปในวัดอย่างคุ้นเคย จอดรถตรงที่ใกล้กับประตูหลังของวัด ลงรถ เปิดประตูที่นั่งข้างคนขับ อุ้มต้นกล้าตะเคียนลงมา เดินออกไปทาง
หลังวัด
ที่ด้านหลังวัดเป็นป่าละเมาะ มีต้นไม้สารพัดชนิดที่เกิดตามธรรมชาติที่นกมาถ่ายเมล็ดไว้ สุชาติเลือกที่เหมาะๆ ที่มีพื้นที่กว้างพอให้ต้นตะเคียนเติบโต
และมีร่มเงาของต้นตะขบ ดินริมแม่น้ำอ่อนร่วน ทำให้เขาใช้สามารถใช้มือเปล่า ขุดลึกลงไปสักข้อมือ ก็นำต้นกล้าตะเคียนหย่อนลงไป ก่อนจะกลบดินให้เรียบร้อย
สุชาติเดินกลับเข้าไปในวัด ล้างมือ หาถังมารองน้ำ แล้วหิ้วถังน้ำกลับมาอีกครั้ง เพื่อรดน้ำให้ต้นตะเคียน
เขานั่งยองๆ พนมมือไหว้ปลกๆ
"แม่ตะเคียน อยู่ที่นี่คงไม่มีใครมาไล่แม่แล้วล่ะ ขอให้แม่ได้อยู่อย่างสงบนะ ถ้าฉันจะไม่ได้มาเยี่ยม จะได้ไม่เป็นการรบกวนแม่ แม่คงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย"
ณ ตอนนั้น ไม่ได้มีลมพัด แต่กิ่งและใบน้อยๆของต้นกล้าตะเคียนก็ค้อมลงมาทางสุชาติ ราวกับจะกล่าวขอบคุณ
............................................................................................................................................................................................................./...
ขอบคุณ #2 ต้นตะเคียน
คนขับชื่อ สุชาติ แช่ขุนทด เพศชาย อายุ 57 ปี 5 เดือน สัญชาติไทย เชื้อชาติไทย ราศีมีน เลือดกรุ๊ปโอ นับถือศาสนาพุทธ ถนัดขวา ความสูง 158 ซม.
น้ำหนัก 60 กิโล สวมเสื้อลายทาง กางเกงขายาวสีกรมท่า สวมรองเท้าแตะแบบสอดสีน้ำตาล ระดับน้ำตาล 111 ค่าไต 2.2 ความดันโลหิต 134/78
ชีพจร 76 ครั้งต่อนาที อัตราการหายใจ...
หืม..รายละเอียดที่ไม่จำเป็นเยอะไปเหรอ...
งั้นก็เอาเป็นตาลุงธรรมดาๆคนนึงละกัน
ตาลุงสุชาติขับรถออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้าสิบห้าทุกวัน เขาต้องไปตรวจรับไม้ที่จะทำการแปรรูปแต่เช้า อันเป็นงานที่เขาทำมาตลอด 20 ปี
แม้สองข้างทางจะไร้เสาไฟส่องสว่าง แต่มีเพียงแค่ไฟหน้ารถ สุชาติก็สามารถขับตามทางนี้ได้อย่างสบาย เพราะเป็นเส้นทางที่เขาคุ้นเคยมากว่า 30 ปี
และเมื่อถึงโค้งต้นไทร แสงจากไฟจากหน้ารถกลับส่องไปให้พบกับสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคย จนต้องเหยียบเบรก ดีที่เขาชลอรถ รอเข้าโค้ง รถจึงหยุดได้อย่าง
นุ่มนวล
ที่ตรงนั้น ที่เคย และที่ควรจะมีเพียงแค่ต้นไทรใหญ่ กลับมีหญิงสาวนั่งกอดเข่าก้มหน้าอยู่ด้านข้าง
สุชาติคว้าจับพระที่ห้อยคออย่างลืมตัว ไฟหน้ารถยังสาดจี้ไปที่หญิงสาว แต่เธอก็ไม่ได้ตอบสนองต่อแสงไฟที่ส่องแต่อย่างใด
สุชาติสั่นไปทั้งตัว ตัดสินใจไม่ถูก ว่าจะทำเป็นไม่เห็น แล้วขับผ่านเลยไป หรือจะลองบีบแตรเรียก หรือจะถอยรถ วกรถกลับ รอให้สว่างค่อยไปทำงาน
ยอมไปสายซักวัน เพื่อชีวิตที่ปลอดภัยจากภาวะผมร่วง
แต่เขาก็ไม่กล้าทำอะไรซักอย่าง พนมมือสวดนะโมตัสสะอยู่หลายรอบ จนเรียกขวัญกลับมาได้จำนวนหนึ่ง แสงไฟยังส่อง หญิงสาวใต้ต้นไทรยังไม่หายไป
เขาทำใจกล้าๆกลัวๆ เปิดประตูรถลงไปด้วยขาสั่นๆ มือยังกุมพระที่ห้อยคอแน่น ค่อยๆย่างเข้าไปหาหญิงสาว
สุชาติหยุดยืนที่ระยะห่าง 5 เมตร อาศัยพูดเสียงดัง ลองเรียกเธอ
"น...นี่..คุณ ป..เป็น เป็นอะไรรึเปล่า"
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสุชาติ ทำเอาเขาสะดุ้งเฮิอก ปรากฏว่าใบหน้าของเธอก็เป็นคนธรรมดานี่แหละ เป็นผู้หญิงที่ดูอายุยังน้อย เขาผวาไปเอง
แต่หญิงสาวแค่มองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า แล้วก้มหน้าลงไปซุกหัวเข่าที่กอดไว้อีกครั้ง คราวนี้ สุชาติได้ยินเสียงสะอื้นฮักลอดออกมา
สุชาติจึงเดินไปหาเธอ
"เป็นอะไร หนู มานั่งร้องไห้มืดๆตรงนี้คนเดียวทำไม"
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยน้ำตานองหน้า ก่อนจะตอบว่า
"ฉันถูกไล่ออกจากบ้าน"
"หา ใครไล่"
"พวกทางการ"
"เฮ้ย เรื่องมันเป็นยังไงหนู ทางการมาทำได้ยังไง"
"พวกเขาบอกว่าจะเวนคืนที่ แล้วก็ทำลายบ้านของฉัน"
"บ้านหนูอยู่ที่ไหน"
"ที่ชายป่าด้านนู้น ตรงริมแม่น้ำ"
"อืม ตรงนั้นมัน ได้ยินว่ามีโครงการสร้างเขื่อน ใช่มั้ย หรือว่าบ้านที่หนูอยู่จะถูกเวนคืนเพราะทางการจะเอาที่ไปสร้างเขื่อน"
"คงจะเป็นอย่างนั้น"
"แล้วยังไง หนูไม่ได้ค่าชดเชยอะไรเลยหรือ"
หญิงสาวส่ายหัว
"อย่างนี้ก็ไม่ถูกสิ ..เดี๋ยวนะ ชายป่า หรือว่าที่บ้านหนูไม่มีเอกสารสิทธิ "
หญิงสาวส่ายหัว
"เฮ่อ เวร หนูจะทำยังไงต่อไปล่ะ"
หญิงสาวส่ายหัวอีกครั้ง แล้วก้มหน้าลงไปซุกหัวเข่าต่อ
สุชาติมองหญิงสาวอย่างเห็นใจ
"เอาอย่างนี้ไหม ข้างหน้ามีวัดอยู่ ลุงรู้จักกับหลวงพ่อ จะฝากไว้ให้ซักคน คงไม่เป็นไรหรอก หนูไปอาศัยอยู่ที่วัดซักพัก แล้วค่อยคิดกันที่หลังว่าจะอะไรยังไง ดีไหม ดีกว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ"
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองสุชาติ
"ที่วัดเหรอ"
"อืม ที่วัด"
คราวนี้ หญิงสาวพยักหน้า แล้วลุกขึ้นยืน
"แต่อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ" สุชาติพนมมือนิมนต์หลวงพ่อช่วง วัดจันทร์หินแก้ว ออกจากคอ ยื่นไปให้หญิงสาว
"หนูช่วยถือพระองค์นี้ให้ดูหน่อยได้มั้ย"
หญิงสาวแบมือ สุชาติหย่อนพระลงไป เธอไม่มีอาการอย่างไร สุชาติจึงได้ถอนใจแรง ที่เสียเวลากลัวมาตั้งนาน หยิบพระ นิมนต์กลับมาห้อยคอตามเดิม
"มา ไปขึ้นรถลุง"
สุชาติเรียกหญิงสาวให้ตามเขาไปที่รถ เขาขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับ แต่หญิงสาวกลับยังไม่ขึ้นรถ เขาเอื้อมมือไปเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับให้ เธอจึงได้
ขึ้นรถมา แล้วนั่งตัวตรงมองไปข้างหน้า
"หนู ปิดประตูรถด้วยสิ"
เธอหันไปทางประตูรถ แล้วดึงประตูเข้ามา
สุชาติหักพวงมาลัย เหยียบคันเร่ง ขับตีโค้งผ่านต้นไทรไป
เขาและเธอก็ร่วมทางกันไปเงียบๆแบบนั้น ไม่ได้พูดอะไรกันเลย
จนเห็นวัดอยู่ข้างหน้า แสงตะวันเริ่มสาดส่องขับไล่ความมืด สุชาติไม่เคยนึก ว่าเขาจะคิดถึงดวงอาทิตย์เช่นนี้มาก่อน
"หนู หนูชื่ออะไรล่ะ ลุงยังไม่ได้ถามเลย"
สุชาติหันไปถามผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้าง แล้วเขาก็สะดุ้งเฮือก กระทืบเบรกอย่างลืมตัว จนรถส่ายเสียหลัก แต่เพราะประสบการณ์ขับรถมากว่า 40 ปี ทำให้เขา
ควบคุมรถได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุ
หลวงพ่อช่วง วัดจันทร์หินแก้ว ถูกนิมนต์อีกครั้ง พนมมือสวดนะโมตัสสะแบบไม่รู้เรื่องอยู่หลายรอบ กว่าสุชาติจะตั้งสติได้
เขาหันไปจับพวงมาลัย ขับรถตรงไปยังวัดข้างหน้า ที่ประตูวัด หลวงพ่อเดินนำพระลูกวัด กำลังจะออกไปบิณฑบาต
สุชาติรีบลงรถเข้าไปหาหลวงพ่อ นั่งยองๆลง พนมมือคุยกับท่าน
"หลวงพ่อครับ ผมขออนุญาตปลูกต้นไม้ในวัดซักต้นได้มั้ยครับ"
"ทำไมหรือโยม"
"ผมรับปากเค้าไว้ครับ"
"จะปลูกต้นอะไรล่ะ"
"ต.. ต้นตะเคียนครับ"
หลวงพ่อเอียงคอดูสุชาติ แล้วหันมองไปยังรถกระบะของสุชาติ นิ่งไปครู่หนึ่ง จึงพูดว่า
"ปลูกในวัดคงไม่สะดวก เดี๋ยวมีคนมากันมากจะวุ่นวายเสียเปล่าๆ ถ้าจะปลูก ก็เอาไปปลูกที่หลังวัด ตรงที่ใกล้แม่น้ำ จะดีกว่านะ โยม"
หลวงพ่อพูดแค่นั้น แล้วก็ออกไปบิณฑบาต โดยมีพระลูกวัดเดินตาม
สุชาติขับรถเข้าไปในวัดอย่างคุ้นเคย จอดรถตรงที่ใกล้กับประตูหลังของวัด ลงรถ เปิดประตูที่นั่งข้างคนขับ อุ้มต้นกล้าตะเคียนลงมา เดินออกไปทาง
หลังวัด
ที่ด้านหลังวัดเป็นป่าละเมาะ มีต้นไม้สารพัดชนิดที่เกิดตามธรรมชาติที่นกมาถ่ายเมล็ดไว้ สุชาติเลือกที่เหมาะๆ ที่มีพื้นที่กว้างพอให้ต้นตะเคียนเติบโต
และมีร่มเงาของต้นตะขบ ดินริมแม่น้ำอ่อนร่วน ทำให้เขาใช้สามารถใช้มือเปล่า ขุดลึกลงไปสักข้อมือ ก็นำต้นกล้าตะเคียนหย่อนลงไป ก่อนจะกลบดินให้เรียบร้อย
สุชาติเดินกลับเข้าไปในวัด ล้างมือ หาถังมารองน้ำ แล้วหิ้วถังน้ำกลับมาอีกครั้ง เพื่อรดน้ำให้ต้นตะเคียน
เขานั่งยองๆ พนมมือไหว้ปลกๆ
"แม่ตะเคียน อยู่ที่นี่คงไม่มีใครมาไล่แม่แล้วล่ะ ขอให้แม่ได้อยู่อย่างสงบนะ ถ้าฉันจะไม่ได้มาเยี่ยม จะได้ไม่เป็นการรบกวนแม่ แม่คงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย"
ณ ตอนนั้น ไม่ได้มีลมพัด แต่กิ่งและใบน้อยๆของต้นกล้าตะเคียนก็ค้อมลงมาทางสุชาติ ราวกับจะกล่าวขอบคุณ
............................................................................................................................................................................................................./...