สวัสดีครับ
เปิดกระทู้ด้วยข้อสรุปเลยล่ะกันครับ
ข้อดี : 1. หล่อ
2. หล่อมาก
3. Max Torque 80 N.m ที่รอบต่ำเพียง 3,800 rpm
ขี่สนุกทุกย่านความเร็ว
ข้อสังเกต :
1. มันคือ Street Twin ที่เปลี่ยนมาใส่ท่อยกสูง + ล้อซี่ลวด + ยาง On-Off และเพิ่มราคาไปอีก 70,000 บาท
2. เป็น Scrambler ที่ยืนขี่ไม่ได้ ถ้าไม่ถอดกระจกมองหลังออก

เริ่มต้นด้วยสาเหตุของการทำ SR Review กับรถที่วางขายมากว่า 2 ปีแล้ว แบบ Street Scrambler คันนี้ก่อนนะครับ
คือจุดเริ่มต้นมันมาจากว่า ผมเนี่ย ติดต่อไปที่ Triumph Pattaya ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน 6 ล่ะครับ
ว่าอยากขอยืม Triumph Tiger 900 Rally Pro มาลองขี่ เพื่อจะทำการรีวิวและถ่ายรูป
เพราะโดยส่วนตัว ถ้าเคยอ่านกระทู้เก่า ๆ ของผม จะเห็นว่าผมใช้ Africa Twin เป็นหลักอยู่
เลยอยากลองขี่รถสไตล์เดียวกัน แต่เป็นของแบรนด์อื่นบ้าง
แต่ช่วงเวลาที่ผมต้องการขอยืมรถนั้น ทาง Triumph Pattaya มีกำหนดเอา Tiger 900 Rally Pro
ไปออกบูทที่ต่างจังหวัด ไม่สามารถขอยืมมาขี่ได้
และด้วยความที่ผมว่างจริง ๆ ช่วงนั้น อยากออกไปขี่รถพักผ่อนซักหน่อย
ก็เลยคิดว่า เอาล่ะลองขอยืมรุ่นอื่นที่ไม่เคยใช้ก็ได้
คุยไปคุยมา ผมก็เลยได้ Street Scrambler มาลองขี่แทนครับ
อ้อ ผมไปลองขี่มาตั้งแต่ช่วงก่อนกลางเดือน 6 นะครับ
แม้ตอนนั้นโควิด19 จะยังไม่ระบาดรุนแรงเท่าตอนนี้
แต่ก็ทำให้ไม่สะดวกเท่าไรนัก ที่จะขี่ไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ
ผมเลยได้ใช้เวลากับมันแค่ประมาณ 2 วัน
บนเส้นทางภายในพัทยา รวม ๆ แล้วก็แค่ 300 กว่ากิโลเมตร
ซึ่งทำให้เนื้อหาคงไม่ลงละเอียดเหมือนกระทู้ก่อน ๆ นะครับ
และเช่นเคย ผมไม่เน้นรีวิวสเปคหรืออุปกรณ์ติดรถนะครับ จะพูดถึงแต่การขี่จริงเป็นหลัก
แต่ก็คิดว่า น่าจะพอเป็นแนวทางให้คนที่สนใจในรถคันนี้ได้ ไม่มากก็น้อยครับ
เอาล่ะ เข้าเรื่อง
ผมขอข้ามประวัติหรือที่มาของรถสไตล์ Scrambler ออกไปเลยนะครับ ยาวมาก ขี่เกียจพิมพ์ - -“
สรุปแบบง่ายสุดของรถสไตล์ Scrambler คือ
รถจักรยานยนต์ที่ถูกสร้างมาให้เหมาะกับการใช้งานทั้งแบบ Street และ Off Road
มีท่อยกสูง
Ground Clearance สูง
ยางดอกสูง
โช้คหน้า-หลัง ยุบได้เยอะ
ล้อหน้าเส้นรอบวงใหญ่
ทอร์ค (แรงบิด) สูง ตั้งแต่รอบต่ำ ๆ
ทั้งหมดนั้น เพื่อให้รถสามารถลุยไปในเส้นทางวิบาก ออฟโรดได้อย่างดี
เอาล่ะ งั้นมาดูที่ Street Scrambler ของเรากัน
ว่าแตกต่างจาก Steet Twin รถคู่แฝดของมันยังไงบ้าง

ถ้าเราให้ Triumph Street twin เป็นรถตั้งต้น
Street Scrambler มีจุดหลักที่ต่างไปคือ
1. ล้อหน้า-หลัง เป็นซี่ลวด --> ยืดหยุ่นมากขึ้น เหมาะกับการใช้งานในทางออฟโรด
2. ล้อหน้าขยายเป็น 19 นิ้ว --> เหมาะกับการใช้ข้ามสิ่งกีดขวาง อุปสรรค มากกว่าล้อหน้าขนาด 18 นิ้ว ของ Steet Twin
3. ยางหน้า-หลังมีดอกยางลึกขึ้น --> ลุยในทางฝุ่นได้มากขึ้น
4. ท่อยกสูง --> ไม่ต้องห่วงว่าท่อจะไปกระแทกสิ่งกีดขวาง
Street Twin และ Street Scrambler ใช้เครื่องยนต์ 2 สูบเรียงตัวเดียวกัน แรงบิดแรงม้าเท่าเดิม
Street Scrambler มีระยะ Wheelbase ที่ยาวขึ้นกว่า Street Twin อีก 31 mm
คือจาก 1,415 เพิ่มเป็น 1,446 mm
มุม Caster เพิ่มขึ้นมา 0.5 องศา
ระยะ Trial เพิ่มขึ้น 6.6 mm
ค่าทั้งสามที่เพิ่มขึ้น ส่งผลรวม ๆ ให้รถมีเสถียรภาพมากขึ้นในทางตรง
ซึ่งหมายรวมไปถึง เมื่อเอาไปขี่ในทางขรุขระ กระแทกกระทั้น Off-road
ก็จะทำให้คอนโทรลรถได้ง่ายขึ้นนะครับ ไม่ดีดดิ้นเท่ารถที่ Wheel Base สั้น ๆ
เมื่อบวกกับ เบาะที่สูงขึ้นอีก 30 mm ซึ่งทำให้นั่งสบายขึ้น ช่วงขาไม่งอมากเหมือนรถที่เบาะเตี้ย ๆ
ก็ยิ่งทำให้มันเป็นรถที่เหมาะสมกับการนำไปขี่ท่องเที่ยว
บนเส้นทางที่หลากหลาย ทั้งทางดำ ทางฝุ่น ได้มากขึ้นกว่า Street Twin
ซึ่งด้านบนทั้งหมด คือข้อมูลที่ผมวิเคราะห์จากสเปคบนหน้ากระดาษนะครับ
ว่าสิ่งที่ต่างไปจาก Street Twin นั้น ดูแล้วก็พอเหมาะพอควรกับชื่อ Scrambler อยู่นะ
แม้จะขัดใจอยู่บ้าง กับระยะยุบหน้า-หลังของโช้คอัพที่ไม่เปลี่ยนไปจาก Street Twin เลย
คืออยู่ที่ 120 mm เท่าเดิม
แถมน้ำหนักตัวรถยังเพิ่มขึ้นมาถึง 8 ก.ก. อีก
แต่เอาล่ะ อย่างที่บอกว่า Spec Sheet ไม่ใช่ทุกอย่าง
คงต้องไปลองขี่ก่อน ค่อยมาสรุปอีกที
อ้อ ลืมบอกไป ราคาของตัวนี้ สูงขึ้นกว่า Street Twin นะครับ
Triumph Steet Twin 395,000 บาท
Triumph Street Scrambler 465,000 บาท
ซึ่งเรื่องราคานี้ ก็คงต้องเทียบกันตามความชอบส่วนตัวล่ะนะครับ
ว่าคุ้มค่าไหม กับ 70,000 บาท ที่เพิ่มขึ้นมา
แล้วทำให้มันพาเราไปได้หลากหลายเส้นทางมากขึ้น
[SR] ลองขี่รถผู้ดีสาย (ดูเหมือน) ลุย Triumph Street Scrambler
เปิดกระทู้ด้วยข้อสรุปเลยล่ะกันครับ
ข้อดี : 1. หล่อ
2. หล่อมาก
3. Max Torque 80 N.m ที่รอบต่ำเพียง 3,800 rpm
ขี่สนุกทุกย่านความเร็ว
ข้อสังเกต :
1. มันคือ Street Twin ที่เปลี่ยนมาใส่ท่อยกสูง + ล้อซี่ลวด + ยาง On-Off และเพิ่มราคาไปอีก 70,000 บาท
2. เป็น Scrambler ที่ยืนขี่ไม่ได้ ถ้าไม่ถอดกระจกมองหลังออก
เริ่มต้นด้วยสาเหตุของการทำ SR Review กับรถที่วางขายมากว่า 2 ปีแล้ว แบบ Street Scrambler คันนี้ก่อนนะครับ
คือจุดเริ่มต้นมันมาจากว่า ผมเนี่ย ติดต่อไปที่ Triumph Pattaya ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน 6 ล่ะครับ
ว่าอยากขอยืม Triumph Tiger 900 Rally Pro มาลองขี่ เพื่อจะทำการรีวิวและถ่ายรูป
เพราะโดยส่วนตัว ถ้าเคยอ่านกระทู้เก่า ๆ ของผม จะเห็นว่าผมใช้ Africa Twin เป็นหลักอยู่
เลยอยากลองขี่รถสไตล์เดียวกัน แต่เป็นของแบรนด์อื่นบ้าง
แต่ช่วงเวลาที่ผมต้องการขอยืมรถนั้น ทาง Triumph Pattaya มีกำหนดเอา Tiger 900 Rally Pro
ไปออกบูทที่ต่างจังหวัด ไม่สามารถขอยืมมาขี่ได้
และด้วยความที่ผมว่างจริง ๆ ช่วงนั้น อยากออกไปขี่รถพักผ่อนซักหน่อย
ก็เลยคิดว่า เอาล่ะลองขอยืมรุ่นอื่นที่ไม่เคยใช้ก็ได้
คุยไปคุยมา ผมก็เลยได้ Street Scrambler มาลองขี่แทนครับ
อ้อ ผมไปลองขี่มาตั้งแต่ช่วงก่อนกลางเดือน 6 นะครับ
แม้ตอนนั้นโควิด19 จะยังไม่ระบาดรุนแรงเท่าตอนนี้
แต่ก็ทำให้ไม่สะดวกเท่าไรนัก ที่จะขี่ไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ
ผมเลยได้ใช้เวลากับมันแค่ประมาณ 2 วัน
บนเส้นทางภายในพัทยา รวม ๆ แล้วก็แค่ 300 กว่ากิโลเมตร
ซึ่งทำให้เนื้อหาคงไม่ลงละเอียดเหมือนกระทู้ก่อน ๆ นะครับ
และเช่นเคย ผมไม่เน้นรีวิวสเปคหรืออุปกรณ์ติดรถนะครับ จะพูดถึงแต่การขี่จริงเป็นหลัก
แต่ก็คิดว่า น่าจะพอเป็นแนวทางให้คนที่สนใจในรถคันนี้ได้ ไม่มากก็น้อยครับ
เอาล่ะ เข้าเรื่อง
ผมขอข้ามประวัติหรือที่มาของรถสไตล์ Scrambler ออกไปเลยนะครับ ยาวมาก ขี่เกียจพิมพ์ - -“
สรุปแบบง่ายสุดของรถสไตล์ Scrambler คือ
รถจักรยานยนต์ที่ถูกสร้างมาให้เหมาะกับการใช้งานทั้งแบบ Street และ Off Road
มีท่อยกสูง
Ground Clearance สูง
ยางดอกสูง
โช้คหน้า-หลัง ยุบได้เยอะ
ล้อหน้าเส้นรอบวงใหญ่
ทอร์ค (แรงบิด) สูง ตั้งแต่รอบต่ำ ๆ
ทั้งหมดนั้น เพื่อให้รถสามารถลุยไปในเส้นทางวิบาก ออฟโรดได้อย่างดี
เอาล่ะ งั้นมาดูที่ Street Scrambler ของเรากัน
ว่าแตกต่างจาก Steet Twin รถคู่แฝดของมันยังไงบ้าง
ถ้าเราให้ Triumph Street twin เป็นรถตั้งต้น
Street Scrambler มีจุดหลักที่ต่างไปคือ
1. ล้อหน้า-หลัง เป็นซี่ลวด --> ยืดหยุ่นมากขึ้น เหมาะกับการใช้งานในทางออฟโรด
2. ล้อหน้าขยายเป็น 19 นิ้ว --> เหมาะกับการใช้ข้ามสิ่งกีดขวาง อุปสรรค มากกว่าล้อหน้าขนาด 18 นิ้ว ของ Steet Twin
3. ยางหน้า-หลังมีดอกยางลึกขึ้น --> ลุยในทางฝุ่นได้มากขึ้น
4. ท่อยกสูง --> ไม่ต้องห่วงว่าท่อจะไปกระแทกสิ่งกีดขวาง
Street Twin และ Street Scrambler ใช้เครื่องยนต์ 2 สูบเรียงตัวเดียวกัน แรงบิดแรงม้าเท่าเดิม
Street Scrambler มีระยะ Wheelbase ที่ยาวขึ้นกว่า Street Twin อีก 31 mm
คือจาก 1,415 เพิ่มเป็น 1,446 mm
มุม Caster เพิ่มขึ้นมา 0.5 องศา
ระยะ Trial เพิ่มขึ้น 6.6 mm
ค่าทั้งสามที่เพิ่มขึ้น ส่งผลรวม ๆ ให้รถมีเสถียรภาพมากขึ้นในทางตรง
ซึ่งหมายรวมไปถึง เมื่อเอาไปขี่ในทางขรุขระ กระแทกกระทั้น Off-road
ก็จะทำให้คอนโทรลรถได้ง่ายขึ้นนะครับ ไม่ดีดดิ้นเท่ารถที่ Wheel Base สั้น ๆ
เมื่อบวกกับ เบาะที่สูงขึ้นอีก 30 mm ซึ่งทำให้นั่งสบายขึ้น ช่วงขาไม่งอมากเหมือนรถที่เบาะเตี้ย ๆ
ก็ยิ่งทำให้มันเป็นรถที่เหมาะสมกับการนำไปขี่ท่องเที่ยว
บนเส้นทางที่หลากหลาย ทั้งทางดำ ทางฝุ่น ได้มากขึ้นกว่า Street Twin
ซึ่งด้านบนทั้งหมด คือข้อมูลที่ผมวิเคราะห์จากสเปคบนหน้ากระดาษนะครับ
ว่าสิ่งที่ต่างไปจาก Street Twin นั้น ดูแล้วก็พอเหมาะพอควรกับชื่อ Scrambler อยู่นะ
แม้จะขัดใจอยู่บ้าง กับระยะยุบหน้า-หลังของโช้คอัพที่ไม่เปลี่ยนไปจาก Street Twin เลย
คืออยู่ที่ 120 mm เท่าเดิม
แถมน้ำหนักตัวรถยังเพิ่มขึ้นมาถึง 8 ก.ก. อีก
แต่เอาล่ะ อย่างที่บอกว่า Spec Sheet ไม่ใช่ทุกอย่าง
คงต้องไปลองขี่ก่อน ค่อยมาสรุปอีกที
อ้อ ลืมบอกไป ราคาของตัวนี้ สูงขึ้นกว่า Street Twin นะครับ
Triumph Steet Twin 395,000 บาท
Triumph Street Scrambler 465,000 บาท
ซึ่งเรื่องราคานี้ ก็คงต้องเทียบกันตามความชอบส่วนตัวล่ะนะครับ
ว่าคุ้มค่าไหม กับ 70,000 บาท ที่เพิ่มขึ้นมา
แล้วทำให้มันพาเราไปได้หลากหลายเส้นทางมากขึ้น
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้