สารานุกรมปืนตอนที่ 733 Pattern 1853 Enfield

"ขอขอบคุณเพจ ป ปืนอย่างสูงครับ"
 
https://www.facebook.com/Porpeunbybaster/



จักรวรรดิอังกฤษสามารถพิชิตโลกได้ จนมีฉายาว่าอาณาจักรที่พระอาทิตย์ไม่มีวันตก นั้นส่วนหนึ่งก็เนื่องด้วยกองทัพของอังกฤษเองซึ่งมีเทคนิคและอาวุธที่ใช้งานในสนามรบ(ขณะนั้น) ที่มีประสิทธิภาพสูง
ตั้งแต่ปี 1722ถึงปี 1851 อังกฤษใช้ปืนคายศิลาบรรจุปากลำกล้องเรียบ(muzzle-loading smoothbore flintlock) แบบ British Land Pattern Musket หรือที่รู้จักกันในชื่อ Brown Bess ขนาด .75นิ้ว (ใช้กระสุนทรงกลมแบบ /musket ball .69 นิ้ว )



ในปี 1776 กองทัพอังกฤษมีการใช้งานปืนคาบศิลาบรรจุปากแบบลำกล้องมีเกลียว(muzzle-loading Rifle flintlock) แบบ Pattern 1776 Infantry Rifle ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาใช้งานจำนวน 1,000 กระบอก ซึ่งผลิตโดยช่างปืน William Grice ซึ่งใช้พื้นฐานจากปืนคาบศิลาบรรจุปากแบบลำกล้องมีเกลียวของเยอรมัน ซึ่งปืนชนิดนี้ถูกจ่ายให้แก่ กองร้อยอาวุธเบาของอังกฤษ มันถูกนำไปใช้งานในช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกา(American Revolution) ในปีเดียวกันถึงแม้จะมีการคิดค้นปืนคาบศิลาบรรจุท้ายแบบ Ferguson rifle ซึ่งคิดค้นโดย Major Patrick Ferguson อาศัยพื้นฐานจากออกแบบของฝั่งฝรั่งเศส แต่เนื่องด้วยตัวปืนมีต้นทุนสูงและไม่ทนทานต่อการใช้งานรวมถึง Ferguson เสียชีวิตในสมรภูมิ Battle of Kings Mountain จึงไม่มีการนำมาใช้งานอย่างจริงจัง



ปี1801 มีการนำปืนแบบ Pattern 1800 Infantry Rifle หรือ Baker rifle ซึ่งออกแบบโดย Ezekiel Baker, มาใช้งานซึ่งใช้กระสุนขนาด 0.615 lead ball ซึ่งเป็นปืนแบบ ปืนคาบศิลาบรรจุปากแบบลำกล้องมีเกลียว ใช้งานจนถึงปี 1837 และต่อเนื่องกันในปี 1836 ก็มีการนำปืนแบบ Brunswick rifle มาใช้งานซึ่งเป็นปืนแบบชนวนแก๊ปหรือ Percussion lock ใช้ลำกล้องขนาด 0.704 นิ้ว ซึ่งชนวนแบบใหม่นี้ทำให้อัตราการยิงของผลยิงโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 2 นัดใน 1นาที เป็น 3 นัดใน1นาที ปืนทำการผลิตโดย Royal Small Arms Factory ที่ Enfield ซึ่งเกลียวของปืนนั้นใช้การทำร่อง 2ร่อง และใช้กระสุนที่มีสันรอบตัว จึงไม่จำเป็นต้องใช้แรงมากในการบรรจุเหมือนแบบเก่าที่จะต้องอัดแผ่นหนังหรือผ้าลงไป
จุดเริ่มต้องของชื่อโรงงาน Enfield คือโรงงานผลิตอาวุธเบาแบบ Royal Small Arms Factory ซึ่งตั้งอยู่ที่ Enfield ทางเหนือของลอนดอน ซึ่งผลิตอาวุธปืนแบบบรรจุปากให้แก่กองทัพอังกฤษตั้งแต่ปี 1804 ซึ่งปืนแบบแรกก็คือปืนแบบ Baker rifle. และต่อมาคือ Brunswick rifles ก่อนปี 1851 ปืนเล็กยาวบรรจุปากแบบที่เกลียวลำกล้อง(rifles)มีการใช้งานควบคู่ไปกับปืนเล็กยาวบรรจุปากแบบลำกล้องเรียบ (muskets) สำหรับทหาร
ในปี1851 การมาถึงของกระสุนแบบ Minié ball ซึ่งเป็นกระสุนที่สามารถใช้งานกับปืนที่มีเกลียวลำกล้องได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง โรงงาน Enfield จึงมีการออกแบบ ปืนสำหรับกระสุน Minié ball นั้นคือ ปืนแบบ .702-inch Pattern 1851 Minié rifle ใช้ชนวนแบบ Percussion lock จุดประสงค์เพื่อทดแทนปืนแบบ Pattern 1842 .753 ซึ่งเป็นปืนลำกล้องเรียบ สำหรับกองทหารของอังกฤษ ซึ่งออกแบบให้มีความยาวลำกล้องเท่ากับปืนเล็กยาวมาตราฐานแบบเก่า ยาว39 นิ้ว และสามารถใช้ดาบปลายปืนของ Pattern 1842 ได้ แต่ก็มีการผลิตออกมาจำนวนไม่มาก








ในปี1853 Royal Small Arms Factory ได้ทำการพัฒนา “Pattern 1853 Enfield” ขึ้นมาใช้ลำกล้องยาว 39 นิ้ว เกลียวลำกล้องเวียนขวามีอัตราเวียน 1:78 นิ้ว พานท้ายไม่มีรองลำกล้องตลอดความยาวของปืน รัดด้วยแหวนสามวงหรือ three metal bands ซึ่งทำให้ปืนมีชื่อเล่นว่า "three band" model (ซึ่งคนไทยมั้กจะเรียกว่า ปืนสามปลอก ) ระบบกลไกการยิงแบบปืนแก๊ป หรือ Percussion lock
Pattern 1853 Enfield ขนาดปากลำกล้อง .577 นิ้ว ใช้กระสุนแบบ Boxer Minié ซึ่งมีน้ำหนัก 530 เกรนขนาด .55 นิ้ว ซึ่งใช้ดินปืนน้ำหนัก 2+1⁄2 drams,หรือเท่ากับ 68 เกรน ในการยิงแต่ล่ะครับสามารถสร้างความเร็วปากลำกล้องได้ 850 - 900 ฟุต(259–274ม.) ต่อวินาที
กระสุนดั่งเดิมออกเป็นแบบ Pritchett & Metford ซึ่งออกแบบไว้ให้มีขนาด .568 นิ้ว ซึ่ง Col. Boxer, ได้ออกแบบใหม่ให้มีขนาด .55 นิ้ว ซึ่งทำให้มีความสะดวกในการบรรจุคล่องตัวขึ้นกว่าแบบเก่าและประสิทธิภาพในการขยายตัวจับเกลียวลำกล้องดีกว่า
ระบบศูนย์สามารถปรับได้ 100 หลาคือ “battle sight” , 200 หลา, 300 หลา และ400 หลา และระบบศูนย์สามารพลิกขึ้นเพื่อยิงในระยะ 900 หลาขึ้นไป ถึง1,250หลา







อัตราการยิงสามารถทำได้เฉลี่ย 3 ถึง 4 นัดต่อนาที หรือ 5 นัดต่อนาทีสำหรับทหารที่ชำนาญสูง
Pattern 1853 Enfield ถูกใช้งานครั้งแรกในสงครามไครเมีย Crimean War, 1854–1856 ซึ่งเป็นการเริ่มจ่ายเพื่อทดแทนปืนแบบเก่า ในเดือนกุมภาพันธ์ 1855
การล่มสล่ายของ Federal Republic of Central America คอสตาริก้าถูกคุกคามจากนิการากัวในปี 1848 Juan Rafael Mora Porras ประธานาธิบดีของคอสตาริกาได้ซื้อปืน Pattern 1853 Enfield จำนวน 500ถึง2,000 กระบอก ในปี 1855 ซึ่งเมื่อ William Walker (เกิดในเท็นเนสซี่) ซึ่งได้นำกองทัพนิการากัว เข้ารุกราน คอสตาริกา เพื่อต้องการสถาปณา Central America. ขึ้นมาอีกครั้งและต้องการให้คอสตาริกามาตกอยู่ใต้อานัติ ในปี1856 ผลของสงครามคือฝ่ายคอสตาริกา ได้รับชัยชนะ




มีการใช้งานในสงครามกลางเมืองอเมริกา(American Civil War) ทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้มีการใช้งานปืนแบบ Springfield Model 1861 Rifled Musket แต่ฝ่ายใต้มีการสั่งปืนแบบ Pattern 1853 Enfield เข้ามาใช้งานราวๆ 900,000กระบอก ซึ่งมีการใช้งานในสมรภูมิสำคัญเช่น Battle of Shiloh (1862 Siege of Vicksburg (1863), ซึ่งใช้งานถึงสมรภูมิสุดท้ายจนสิ้นสุดสงครามในปี 1865. ในสงครามนี้พบว่า ปืนแบบลำกล้องเรียบบบรรจุปาก 70 % คือปืนแบบ Model 1842 Springfield และปืนแบบลำกล้องมีเกลียวบรรจุปาก 75% คือปืนแบบ
ซึ่งปืนแบบ Pattern 1853 Enfield มีการผลิตตั้งแต่ปี 1853ถึงปี 1867 และคาดว่ามีการผลิตมากถึง 1,500,000 กระบอก มีการใช้งานถึงปี 1867
ในปี1866 มีการนำPattern 1853 Enfield. มาปรับปรุงเป็นปืนบรรจุท้ายรังเพลิง(breech-loading rifle.)โดยเป็นแบบของ Jacob Snider ซึ่งกลายเป็นปืนแบบ .577 Snider–Enfield ซึ่งทำการปรับปรุงที่ Royal Small Arms Factory (RSAF) Enfield โดยนอกจากแบบของ Jacob Snider แล้วก็ยังมีนักออกแบบคนอื่นๆที่เสนอแบบการปรับปรุงอีกหลายคน



มีรุ่นแยกออกมาอีกคือ
Pattern 1858 naval rifle มี 5เกลียว ใช้งานใน British Admiralty ใช้แหวนรัดลำกล้อง 2วง หรือที่นิยมเรียกว่า 2 band rifle
Pattern 1858 Indian Service มีแหวนรัดลำกล้อง 2วง มีลำกล้องสั้น ศูนย์หลังไม่สามารถปรับได้ มีขนาดลำกล้อง 0.656 นิ้ว วึ่งออกมามาให้เบากว่า Pattern 1853 Enfield
Pattern 1860 Short Rifle เป็นรุ่นลำกล้องสั้นที่มีใช้กันในสงครามกลางเมืองอเมริกาอย่างแพร่หลายเพราะถึงลำกล้องจะสั้นแต่ก็มีความแม่นยำ รวมถึงมีการใช้ในอกงทัพอังกฤษด้วย ระบบศูนย์หลังสามารถปรับได้
Pattern 1861 Enfield musketoon ซึ่งเป็นรุ่น short-barrel version ของ Pattern 1853 Enfield แต่มีอัตราเวียนของเกลียวลำกล้องอยู่ที่ 1:48 นิ้ว ใช้งานในหน่วยปืนใหญ่และทหารม้า

ในปัจจุบันมีการนำ Pattern 1853 Enfield มาผลิตใหม่แบบ Reproductions โดยบริษัทอิตาลี คือ Davide Pedersoli & C. and Armi Chiappa (Armi Sport) ซึ่งนำเข้าไปขายในอเมริกาโดย Italian Firearms Group located ใน Amarillo, มลรัฐเท็กซัส โดยผลงานการผลิตด้วยเครื่องจักรและวิธีการสมัยใหม่ทำให้ Pattern 1853 Enfield นั้นมีความแม่นยำ และคุณภาพสูง รวมถึงเป็นที่นิยมในกลุ่มนักจำลองประวัติศาสตร์ สงครามกลางเมืองอเมริกา
ในอังกฤษ มีบริษัทที่ผลิตแบบดั่งเดิมคือ Parker Hale ซึ่งผลิตตามแบบ Enfield 1853 rifle-musket และ Pattern 1861 Enfield musketoon ซึ่งเหมาะสำหรับนักสะสม
ในประเทศไทยมีการนำ Pattern 1853 Enfield เข้ามาใช้งานในรัชสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่4 ซึ่งมีการเรียกว่า “ปืนอินฟิน” **ซึ่งต่อมามีการนำไปปรับปรุงเป็นปืนบรรจุท้าย ซึ่งเป็นการดัดแปลงที่ออกแบบโดยพี่น้องกรีน หรือ Green Brother's Patent .577 Breech Loading ซึ่งยุคนั้นจะเรียกว่า”ปืนกรีน” (ตัวปืนจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรมสรรพาวุธทหารบก)ซึ่งมีการใช้แบบห่อหัวกระสุนและดินปืนกึ่งครบนัดใส่ท้างท้ายรังเพลิง ในยุคนั้นเรียกว่า “กระสุนปัสตัน” แต่ยังใช้แก๊ปเป็นชนวนอยู่แยกกันอยู่ ซึ่งปืนบรรจุท้ายรังเพลิงมีอีกชื่อว่า”ปืนปัสตัน” ** และต่อมาจึงมีการจัดซื้อปืนแบบ Snider–Enfield เข้ามาใช้งานเพิ่มเติมไปจนถึงปืนแบบ Martini–Henry rifle

(** โดยข้อสัญนิฐานของผมน่ะครับ)

ขอบคุณที่ติดตามและขออภัยหากมีข้อผิดพลาดประการใดๆ มา ณ. ที่นี้ครับ


สวัสดีครับ


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่