ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น : ชวลิต เสริมปรุงสุข ชีวิตที่มีศิลปะเป็นศาสนา (ตอนจบ)

ศิลปะยืนยาว  ชีวิตสั้น
ชวลิต  เสริมปรุงสุข ชีวิตที่มีศิลปะเป็นศาสนา (ตอนจบ)
โดย  วรา  วราภรณ์

                                         
            “คนที่เกิดมาเป็นศิลปิน กับคนที่อยากเป็นศิลปินไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้อยากเป็นศิลปิน แต่ธรรมชาติให้ผมเป็นศิลปิน ผมทำอย่างอื่นไม่ได้”
                                                                                                                                --ชวลิต  เสริมปรุงสุข--
                                                                        
         
           จากนักเรียนโรงเรียนศิลปศึกษา (ชื่อเดิมของวิทยาลัยช่างศิลปะ ช่วงปี พ.ศ. 2495-2518) และนักศึกษาคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปี พ.ศ. 2504 ชวลิต  เสริมปรุงสุข ในวัยยี่สิบสองปีเดินทางไปตามหาความฝันของเขาที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ มาตุภูมิของเหล่าจิตรกรเอกที่เป็นแรงบันดาลใจแก่ศิลปินทั่วโลก รวมทั้งเขาด้วย  

            เขาใช้ชีวิตที่นั่นราวกับเป็นบ้านหลังที่สองรองจากเมืองไทย เป็นการดุ่มเดินไปบนหนทางที่ได้ตั้งใจไว้แล้วอย่างแน่วแน่ คือการทำงานศิลปะ

            “ผมจบปริญญาตรีที่ศิลปากร ผมก็ไม่เคยเห็นรูปผมเพราะตอนผมมาเขายังไม่ออกให้ แล้วผมก็ไม่รู้จะเอามาทำไม แต่เขาเก็บไว้ให้ แล้วเขาก็ให้ไปรับ แต่ผมไม่รู้จะเอามาทำไม เพราะเราเป็นศิลปิน ศิลปะเขาดูที่ผลงาน คุณจะมีปริญญากี่ใบถ้าคุณทำงานไม่เป็นมันก็ไม่เป็น เพราะฉะนั้นผมก็ไม่รู้จะเอามาทำไม

            “สมัยก่อนเขาไม่ได้เรียนเพื่อเอาปริญญาเหมือนสมัยนี้ อาจารย์ศิลป์ (พีระศรี) ก็ไม่ได้สอนให้คนได้ปริญญา ท่านสอนเพื่อให้คนเป็นศิลปิน พอปีสี่ขึ้นไปท่านจะคัดแต่คนที่ทำศิลปะเพื่อเตรียมตัวเป็นศิลปิน”

            “บางทีผมก็ไม่เข้าใจว่าศิลปะจะเรียนให้ได้ดอกเตอร์ไปทำไม เพราะสังคมไทยต่างจากสังคมเมืองนอก สังคมไทยเป็นสังคมผักชีโรยหน้า สังคมไทยดูที่เปลือกนอกตลอดเวลา คนที่เข้าใจความสามารถของคนจริง ๆ จะน้อย เพราะฉะนั้นคนไทยจะตกอยู่ในสังคมแบบนั้น ทุกคนจะสร้างเปลือกของตนเอง สร้างเกียรติยศของตัวเอง เพื่อเอาไปยึดไปอวดว่าฉันมีความสามารถ เขาไม่ดูที่งาน ทุกคนก็จะมีปริญญาไว้ข้างฝาเอาไว้ขู่คน”

            และเขาก็คือคนที่ใช้ทักษะของตนเองอย่างเต็มศักยภาพที่สุด ตั้งแต่เรื่องราวในชีวิตประจำวันไปจนถึงการทำงาน 

            “ผมทำได้ทุกอย่าง (ผายมือไปทางเครื่องเรือนในห้องพัก) งานช่างไม้ ทำเองหมด โต๊ะทำเอง ที่นอน ก๊อกน้ำ ทำหมดทุกอย่าง”
 

                                 
                                                                ที่นอนใต้ชั้นวางของ หนึ่งในเครื่องเรือนซึ่งเขาออกแบบและลงมือทำเอง
 

            พร้อมกับการศึกษาศิลปะ เขาก็ศึกษาวิถีชีวิตผู้คนต่างแดนไปด้วย

            “ตอนมาอยู่ อายุยี่สิบสองเอง ปีแรกงงมาก ใช้เวลาหลายปีกว่าจะเข้าใจฝรั่ง ปีแรก ๆ ผมโดนหลอกสารพัด”

            แม้เนเธอร์แลนด์เป็นบ้านหลังที่สอง แต่รูปแบบการใช้ชีวิตของเขาก็ยังเป็นตัวของตัวเอง และเขาไม่มีเพื่อนชาวต่างชาติมากเท่ากับเพื่อนคนไทย มองง่าย ๆ เหมือนกับว่าเขามีห้องทำงานอยู่ที่ยุโรป แต่มีห้องนั่งเล่นอยู่ที่เมืองไทยซึ่งเขาเลือกที่จะเดินทางกลับมาพบปะ และมีกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ ในเมืองไทยเสมอ กระทั่งในวัยเจ็ดสิบเศษเขาก็ยังเดินทางไปช่วยเพื่อนสร้างงานประติมากรรมในสวน สถานที่พักผ่อนแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี

            “ผมไม่มีสังคมกับฝรั่งมาก สุขกับสภาพแวดล้อม แต่ไม่สุขกับเพื่อนฝรั่ง ผมชอบการมีเพื่อนคนไทย เพราะผมมาที่นี่เมื่อโตแล้ว” 

            สิ่งที่ผู้เขียนทึ่งก็คือ ในความเป็นศิลปินที่เต็มไปด้วยความเป็นตัวของตัวเอง ความอ่อนไหว และพลังจากความคิดร่วมกับจินตนาการ เขากลับมองโลกอย่างคนที่เข้าใจความเป็นจริง ดำเนินชีวิตด้วยความรอบคอบ ทั้งจากหลักคิดและการกระทำ

            “เราจะหวังความสุขของคนอื่นไม่ได้ ความสุขต้องมองจากข้างในของตนเอง เราต้องพอใจกับชีวิตของเรา ความทุกข์มันจะมาจากความไม่พอใจของเรา…ผมเป็นคนไม่มีความทุกข์ ผมไม่หาทุกข์มาใส่ตัว ระวังเรื่องการสร้างปัญหากับคน อย่าเมาเหล้า อย่าติดค่าเช่า อย่าให้การกินสร้างปัญหา…ทุกข์ที่เราไม่ได้หา มันมีอยู่เยอะแล้ว  

            “ถ้าคุณแก้ปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้ คุณก็ไม่มีทางพ้นทุกข์หรอก พอทุกข์ก็ใช้ปัญญาค้นหาสาเหตุ ถ้าเรายึดคนอื่นเราก็มีความทุกข์ อย่าเสียเวลากับการโกรธ”

             และแน่นอน ศิลปินของเราใช้เวลาไปกับการทำงานมากที่สุด 

             “ร่างกายผมเวลาเจ็บป่วยผมก็ไม่ทุกข์ เป็นเรื่องปกติ กินง่าย นอนง่าย เรื่องอื่นไม่สำคัญ งานต้องมาก่อน เรามีเป้าหมายในการใช้ชีวิต ผมเป็นคนวางแผนในชีวิตดี เพราะวางแผนชัดเจน ไม่ย่อท้อ…ความสุขไม่ใช่ความสำเร็จ ความสุขไม่ใช่เงิน ผมเลยใช้เวลากับการทำงานศิลปะ เวลาทำงานศิลปะคุณไม่ได้หวังอย่างอื่น”
            
             เมื่อถามถึงวาระสิ้นสุดการทำงาน เขาตอบทันที

             “ไม่มีเกษียณ จนกว่าจะตาย ไม่รู้เรื่องแล้วก็คงจะหยุดเอง...ผมตั้งเป้าว่าจะเป็นศิลปินตลอดชาติ ผมล้ม ผมก็ลุกขึ้นมาเดินเพื่อไปที่เป้านั้น ผมก็ไม่ไปไหน เวลาเซก็ไปเดินมิวเซียม (museum พิพิธภัณฑ์) หา inspiration (แรงบันดาลใจ) ใหม่ ๆ การเข้ามิวเซียมให้ความสงบ ให้ปัญญา มีสิ่งดี ๆ จนนับไม่หวาดไม่ไหว แค่เดินผ่านก็ได้รับอันนั้นแล้ว เข้าไป มันจะมีพลัง เราจะได้พลังนั้นกลับมาว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นถูกต้องแล้ว เราได้กำลังใจ”

                                                        
                            ผลงานภาพพิมพ์ของชวลิต  เสริมปรุงสุข ปี พ.ศ. 2505-2509 ในคอลเลกชั่นคุณสุชาย  พรศิริกุล

             
              ในเมื่อใจมุ่งมั่นกับงานศิลปะ เขาจึงให้เวลากับการทำงานศิลปะมากกว่าอื่นใด และนั่นคือเส้นทางที่เลือกในวัยหนึ่ง

              “ผมเชื่อว่าศิลปินต้องอยู่คนเดียว ผมไม่เหมาะกับการมีครอบครัว ศิลปะมันต้องสุดโต่ง คุณทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ได้...งานศิลปะมันไม่เหมือนอาชีพอื่น เราต้องมีความเป็นตัวของตัวเอสูง สังคมกับคนอื่นน้อย เราต้องอยู่คนเดียวได้และมีความสุข มีสมาธิในการทำงาน...ถ้าคุณมีครอบครัว เดี๋ยวเมียบอกกินข้าว นอนเถอะ ไม่ได้ เราอยากทำ คือเป็นอะไรที่ไม่ควรจะยุ่งกับใครเขา ผมลองมาหมดแล้ว มันไม่ได้ผล การอยู่กับศิลปินด้วยกันเองก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน มันก็ยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่ ยังมีความต้องการให้เขาพอใจอยู่ อยากให้เขากิน อยากให้เขาดี ไอ้การหวังดีเนี่ย เราก็ไม่อยากรับไว้แล้ว 

(ต่อกรอบล่าง)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่