JJNY : รพ.สนามมธ.ระบายได้ไฟเซอร์ไม่ถึงครึ่งด่านหน้า│เสนอหยุดเรียน1ปี│สส.ก้าวไกลร่วมเป็นอาสาฯตรวจโควิด│อนุสรณ์กระทุ้งธปท.

รพ.สนามธรรมศาสตร์ ระบาย ได้รับ 'ไฟเซอร์' ร้อยละ 60 ไม่ถึงครึ่งของด่านหน้าที่ทำงานตอนนี้
https://ch3plus.com/news/program/252438
 
 
เพจเฟซบุ๊ก โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ระบายเกี่ยวกับได้รับการจัดสรรวัคซีน 'ไฟเซอร์' ให้บุคลากรด่านหน้าที่น้อยกว่าจำนวนที่ขอไว้ถึงร้อยละ 60 ของเจ้าหน้าที่ที่ส่งรายชื่อไป สร้างความเศร้าให้แก่บุคลากรทางการแพทย์อย่างมาก พร้อมถามถึงผู้กำหนดนโยบายว่า ถ้าจะต้องประหยัดวัคซีนเก็บไว้เพื่ออะไร
 
"วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม ครบสี่เดือนเต็มของโรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์เวฟ3+4 และวันที่ 59 ของศูนย์รับวัคซีนธรรมศาสตร์รังสิต
 
ตัวเลขผู้ป่วยโควิดรายใหม่วันนี้ลดลงบ้าง อยู่ที่ 19983คนและมีผู้เสียชีวิต 138 คน ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยโควิดที่เสียชีวิตที่รพ.ธรรมศาสตร์เมื่อวานมากถึงสามคน และผลการตรวจ RT-PCR ที่ปรากฏเมื่อเช้า มีผู้ป่วยผลบวกรายใหม่อีก 39 ราย จากผู้เข้าตรวจ swab 133 คน คิดเป็นเกือบ 40% ของผู้ที่มาตรวจทั้งหมดเลยทีเดียว ในจำนวนนี้ มีบุคลากรของรพ.ธรรมศาสตร์ กลายเป็นผู้ติดเชื้อเพิ่มมาอีกสองรายด้วย
 
งานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนแอสตราฯ ให้กับผู้ที่ลงชื่อจองคิวไว้ ที่เราทำเกือบสองเดือนติดต่อกันมาแล้ว วันนี้เราทำเพิ่มได้อีก 2,068 คน ยิ่งการระบาดรุนแรงมากขึ้น และมีผู้เสียชีวิตในแต่ละวันมากขึ้น เรายิ่งได้เห็นจากสีหน้าและแววตาของผู้ได้รับวัคซีนว่า ชีวิตของผู้คนที่มาพบเรา ดูมีความหวังมากขึ้นเพียงใด เมื่อเดินออกไปจากยิม 4 หลังจากฉีดวัคซีนเสร็จ
 
พวกเราช่วยดูแลจัดหา จัดการ และฉีดแอสตราฯ ให้กับผู้คนมากกว่า 100,000 คนมาแล้ว แต่จะมีใครรู้บ้างไหมนะ ว่าพวกเรา แพทย์พยาบาลจำนวนไม่น้อย ที่เป็นคนฉีด แอสตราฯให้กับคนอื่น เพิ่งเคยได้รับเพียงซิโนแวคเพียงสองเข็ม ไปตั้งแต่มีนาและเมษายนที่ผ่านมาเท่านั้น
 
เราส่งรายชื่อแพทย์พยาบาล เภสัชกร นักรังสีเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์และจนท.เวรเปล ตลอดถึงบุคลากรอื่นๆที่ทำงานด่านหน้าในโรงพยาบาล ที่แสดงความจำนงขอรับวัคซีนบูสเตอร์เข็มที่สามเป็นไฟเซอร์ ที่ได้รับบริจาคมาจากสหรัฐอเมริกาไปที่กระทรวงโดยผ่านจังหวัดเรียบร้อยแล้ว ตามกติกาและเงื่อนไขที่สธ. กำหนด ทุกอย่าง แต่เมื่อวันศุกร์บ่าย เราเพิ่งได้รับทราบว่าเราได้รับการจัดสรรให้บุคลากรด่านหน้าเพียงร้อยละ 60 ของจำนวนคนที่ส่งรายชื่อไปเท่านั้น ทั้งที่เราระบุชื่อ ตำแหน่งหน้าที่ และส่งรายชื่อผู้ที่จะขอฉีด บูสเตอร์ ไฟเซอร์ไปไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนบุคลากรทั้งหมด ที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลในขณะนี้ด้วยซ้ำ
 
ความยากลำบากของการบริหารงานก็คือ เราจะอธิบายกับกลุ่มแพทย์แต่ละกลุ่มที่ทำหน้าที่อยู่ในโรงพยาบาลได้อย่างไรว่าในกลุ่มแพทย์สาขานี้ ในจำนวน 15คนที่ร้องขอ จะมีแพทย์ได้รับวัคซีนเพียงเก้าคน อีกหกคนไม่ได้ และเราจะอธิบายกับพยาบาลในวอร์ด ICU โควิดได้อย่างไรว่า 10 คนที่ทำงานอยู่ในวอร์ดเดียวกัน และเคยฉีดซิโนแวค มาคนละสองเข็มนั้น จะมีคนได้รับวัคซีนไฟเซอร์เพียงหกคนเท่านั้น อีกสี่คนให้รอไปก่อน
 
และถ้าคนของเราตอบ และดูเหมือนว่ามีความชอบธรรมที่จะตอบด้วย ว่าถ้าเขายังไม่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่สามเหมือนเพื่อนที่ทำงานอยู่ด้วยกัน ขอให้พวกเขาได้หยุดทำงานไปก่อน จนกว่าเขาจะได้รับวัคซีนเหมือนเพื่อนคนอื่นๆที่ทำงานอยู่ด้วยกัน เพื่อความปลอดภัยของชีวิตของเขาเอง ของครอบครัวและของญาติที่บ้านของเขาด้วยแล้ว พวกเราที่เป็นผู้บริหารจัดการ จะขอให้เขามาทำงานที่เสี่ยงภัยต่อไปอีกด้วยเหตุผลอย่างไรดีนะ
 
เราอยากจะขอร้อง ไปยังผู้กำหนดนโยบายว่าถ้าจะต้องประหยัดวัคซีนเก็บไว้เพื่ออะไรก็ตาม ขอให้ไปใช้ส่วนที่พูดกันว่าจะสำรองไว้ในกรณีฉุกเฉินหรือส่วนที่กันไว้เพื่อการวิจัยนั้นเถิด ขออย่าได้ทำให้ผู้คนที่รบอยู่ด่านหน้าในทุกโรงพยาบาลต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และทำให้เกิดความระส่ำระสาย เกิดปัญหาเรื่องขวัญกำลังใจขึ้นในหมู่กำลังรบที่อ่อนล้า และรบมายืดเยื้อยาวนานมากแล้วของเราเลย
 
ที่รพ.สนามธรรมศาสตร์ วันนี้เรารับผู้ป่วยใหม่เข้ามาอีก 27 คนและส่งผู้ป่วยที่หายแล้วกลับบ้านได้ 31 คน แต่วันนี้ต้องส่งผู้ป่วยที่อาการไม่ดีกลับเข้าดูแลรักษาที่รพ.ธรรมศาสตร์มากถึง 4ราย ทำให้จำนวนผู้ป่วยที่เหลืออยู่คือ 385 คน
 
ถ้านับตั้งแต่ต้นเมษายนเป็นต้นมา เราสู้รบในสงครามโควิดระลอกนี้มาเกือบห้าเดือนแล้วนะ และคงต้องรบหนักกันต่อไปอีกหลายเดือนสุดท้าย คงต้องพยายามหาทางอยู่ร่วมกับมันให้ได้ โดยสร้างแนวที่มั่นในโรงพยาบาลต่างๆซึ่งเป็นแนวรับสุดท้ายให้เข้มแข็ง ทำให้ประชาชนตระหนักเรื่องระวังป้องกันตัวให้มากที่สุด กับเร่งสร้างภูมิคุ้มกันโดยวัคซีนให้กว้างขวางที่สุด
 
ทั้งสามแนวทางนี้พวกเราที่นี่บากบั่นพากเพียรทำงานกันมายาวนานมากแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่า ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก ขวัญกำลังใจและความช่วยเหลือสนับสนุนก็ลุ่มๆดอนๆ อยู่ วัคซีนก็มาบ้างไม่มาบ้าง ชโดยไม่ค่อยมีใครมาบอกเล่า หรืออธิบายให้ฟังว่าเรื่องมันลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างไร ชแต่ช่างเถอะ พวกเราทำใจได้ และก็คงจะทำสิ่งที่เราคิดว่าเป็นหน้าที่ของเราที่มีอยู่ต่อไป ให้ดีที่สุด # ด้วยหน้าที่ ชีวิตรับผิดชอบ คือคำตอบที่รบอยู่มิรู้สิ้น"
 
https://www.facebook.com/TUFHforCOVID19/posts/363895865254255
 

 
นักวิชาการเสนอหยุดเรียนทั่วประเทศ 1 ปี เหตุเรียนออนไลน์ไร้ประสิทธิภาพ งานวิจัยชี้เด็กเครียด ทำโดดเรียน 20%
https://www.matichon.co.th/education/news_2873877
 
คณบดีศึกษาฯ มก.เสนอให้หยุดเรียนทั่ว ปท. 1 ปี เหตุเรียนออนไลน์ไร้ประสิทธิภาพ กระทบ ‘เด็กปฐมวัย-ประถม’ มาก ‘สมพงษ์’ นักวิชาการศึกษา เผยผลวิจัยชี้เด็กไทยเครียด โดดเรียนออนไลน์ 20% เปิดผลสำรวจทั่วโลกชี้เรียนออนไลน์ 1 ปี การศึกษาถดถอย 50% จี้ ‘ตรีนุช’ กล้าตัดสินใจ เลิกกลัวเกินเหตุ
 
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า จากที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 อาจจะส่งผลกระทบให้นักเรียนอาจต้องเรียนผ่านระบบออนไลน์อย่างน้อย 1-2 ปีนั้น มองว่าอาจเกิดขึ้นได้จริง แต่ขณะนี้ปัญหาใหญ่ของการเรียนออนไลน์ คือ เด็กทั่วประเทศโดดเรียนออนไลน์กว่า 20% ทำให้เห็นว่าการเรียนออนไลน์ทำให้เด็กเครียดจนต้องโดดเรียน ดังนั้น ถ้ายังจะต้องเรียนออนไลน์ต่ออีก 1 ปี คิดว่าการศึกษาไทยน่าเป็นห่วงอย่างมาก ทั้งในเชิงคุณภาพ ความถดถอยทางการศึกษา และสุขภาพจิตของเด็ก
 
“ทั่วโลกมีการศึกษาเรื่องผลกระทบจากการเรียนออนไลน์ พบข้อมูลที่ตรงกันคือ ถ้าเด็กต้องเรียนออนไลน์ จะเกิดความถดถอยทางการศึกษาประมาณ 20-50% ดังนั้น หากต้องให้เด็กเรียนออนไลน์ต่ออีก 1 ปี เป็นทางเลือกที่ไม่เห็นด้วย การตัดสินใจที่จะให้เด็กเรียนออนไลน์ หรือรูปแบบอื่นนั้น เป็นการตัดสินใจที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก และกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำลังกลัว และตระหนกจนเกินไป” ศ.ดร.สมพงษ์กล่าว
 
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวต่อว่า ระบบการศึกษาไทยเป็นระบบอนุรักษนิยม ที่ติดกรอบ ติดระเบียบไปหมด บวกกับความกลัวการแพร่ระบาดขอเชื้อโควิด-19 ทำให้ระบบการศึกษาหดตัว ถดถอย จึงกลายเป็นความกลัวเกินเหตุ ทำให้การจัดการศึกษาไม่ตอบสนองกับปัญหาที่เกิดขึ้นจริง สถานศึกษาต้องปรับการเรียนการสอนตาม 5 รูปแบบที่ ศธ.กำหนด คือ On-site, On-air, On-demand, On-line และ On-hand แทนการสอบปกติแทบทั้งหมด
 
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นว่าเด็กติดเชื้อโควิด-19 จำนวนหนึ่ง แต่ยังไม่พบข้อมูลเด็กเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ดังนั้น อยากเสนอให้ ศธ.นำเงินสร้างโรงพยาบาลสนาม หรือศูนย์พักคอยผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสถานศึกษา มาจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา และเด็กทั่วประเทศจะดีกว่า ถ้า ศธ.ยังไม่หาวัคซีนมาให้เด็ก และดึงเวลาโดยให้เด็กเรียนออนไลน์ จะสร้างความเลวร้ายต่อระบบการศึกษาของประเทศอย่างมาก
 
“ศธ.กลัวเกินเหตุ แก้ไขปัญหาด้วยการหยุดเรียน หรือจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เหมือนกับ ศธ.กำลังปฏิเสธความรับผิดชอบ ที่ผ่านมา ศธ.ตัดสินใจโดยยึดว่าต้องไม่ให้เด็กเสี่ยง หรือเกิดอันตรายกับเด็ก แต่ผมว่า ศธ.ตัดสินใจโดยไม่ดูข้อมูลอย่างรอบด้าน และ ศธ.ไม่ไม่ได้เตรียมการอะไรเพื่อเด็กเลย ได้แต่ตัดสินใจบนข้อมูลด้านเดียวเท่านั้น และการตัดสินใจของ ศธ.ที่ผ่านมา ก็ตัดสินใจบนฐานที่ต้องให้ถูกวิจารณ์น้อยที่สุด แต่ไม่มองโลกทัศน์ภายนอกของการศึกษาเลย แต่ถ้า ศธ.คลายล็อก เชื่อมั่นในระบบของครู และผู้บริหารโรงเรียน และจัดหาวัคซีนให้เด็กทุกคน การเรียนการสอนจะหลากหลายมากขึ้น เด็กสามารถเรียนในโรงเรียนได้ปกติ” ศ.ดร.สมพงษ์กล่าว
 
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวต่อว่า การเตรียมการที่ผ่านมาของ ศธ.ทำให้เห็นว่าการตัดสินใจต่างๆ ยึดส่วนกลางเป็นหลัก ไม่ได้ยึดโรงเรียน และเด็กเป็นหลักเลย ศธ.มองแค่ว่าจะออกนโยบายอะไรที่จะได้รับแรงกระทบจากการเมืองให้น้อยที่สุดเท่านั้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดผลเสียต่อคุณภาพ ต่อชีวิต ต่อสุขภาพของนักเรียนอย่างมหาศาล ศธ.ได้คำนึงถึงส่วนนี้หรือไม่ มองว่า น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ติดอยู่กับระบบราชการ ติดอยู่กับการทำงานที่ต้องได้รับกระแสวิพาษ์วิจารณ์ให้น้อยที่สุด ขอให้ น.ส.ตรีนุช อย่ากลัวเกินเหตุ ต้องกล้าตัดสินใจ ต้องคิดถึงผลเสียทางการศึกษาที่เกิดขึ้นกับเด็ก และตลาดแรงงานด้วย อย่าคิดแต่ว่าต้องออกนโยบายที่ทำให้ ศธ.อยู่รอดปลอดภัยจากการวิจารณ์เท่านั้น
 
น.ท.สุมิตร สุวรรณ รองคณบดีคณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) วิทยาเขตกำแพงแสน กล่าวว่า หากต้องเรียนออนไลน์ต่ออย่างน้อย 1-2 ปี จะส่งผลกระทบต่อเด็กในระดับปฐมวัย และประถมศึกษาอย่างมาก เพราะเด็กเหล่านี้ไม่สามารถใช้เทคโนโลยีได้คล่อง การเรียนต้องเน้นพัฒนาการเป็นหลัก แต่ถ้าเด็กในระดับมัธยม ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ต้องเรียนออนไลน์ต่อ อาจไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าใด เพราะเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีอยู่ มองว่าการเรียนออนไลน์จะเหมาะกับกลุ่มวิชาสังคมศาสตร์ แต่ไม่เหมาะกับวิชาที่ต้องฝึกปฏิบัติ วิชาคำนวณ วิชาวิทยาศาสตร์ที่ต้องทดลองเรื่องต่างๆ เพราะการเรียนออนไลน์เป็นเพียงแต่เสริมความสะดวกให้เด็กสามารถเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลาเท่านั้น
 
“ถ้าจะต้องเรียนออนไลน์ต่ออย่างน้อย 1-2 ปี ผมมองว่ารัฐควรจัดสรรคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ตให้เด็กด้วย หากรัฐช่วยส่วนนี้ จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ ส่วนครูที่ต้องลงพื้นที่ตรวจดูนักเรียน ครูเหล่านี้อาจพบปัญหา พบความลำบากที่ต้องเดินทางไปหาเด็ก ซึ่งต้องใช้เวลา และใช้แรงอย่างมาก ถ้าผู้ปกครองคนไหนดูแลลูกได้ ก็อาจช่วยครูโดยการดูแลให้ความรู้ลูก เพื่อให้ครูเข้าไปหาเด็กที่มีปัญหาจริงๆ และรัฐจะสามารถจัดสรรค่าเดินทางให้ครูที่ต้องลงพื้นที่หรือไม่ เพราะต้องยอมรับว่าในเวลานี้ครูทำงานมาก” น.ท.สุมิตรกล่าว
 
น.ท.สุมิตรกล่าวอีกว่า ทั้งนี้ จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่หยุดการเรียนการสอนไป 1 ปี เพราะถ้าต้องเรียนออนไลน์ต่อ การเรียนจะไม่มีประสิทธิภาพ และไม่มีคุณภาพ ซึ่งการหยุดเรียนทั้งระบบการศึกษา และเริ่มใหม่ในปีหน้า จะช่วยทำให้การเรียนการสอนมีคุณภาพ แต่หากหยุดเรียน 1 ปี จะมีผลกระทบเรื่องการเสียโอกาส และเสียเวลาด้วย ทั้งนี้ ไม่ว่ารัฐจะตัดสินใจอย่างไร ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ของนักเรียนเป็นหลักด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่