เตรียมตัวอย่างไรเมื่อต้องเที่ยวคนเดียว

สวัสดีค่ะ

กระทู้นี้เกิดขึ้นหลังจากตามอ่านดราม่าอัฟกานิสถานของทราเวล บล็อคเกอร์ คนหนึ่ง แล้วก็นึกได้ว่า เราเองก็เคยเที่ยวคนเดียว และก็เคยคิดที่จะแบ่งปันประสบการณ์การเตรียมตัวในการเดินทางลงพันทิป แต่ความคิดนั้นก็ค้างคามานานหลายปี เพราะขี้เกียจล้วนๆ จนวันนี้ วันที่ไม่ได้ออกนอกประเทศมาเกือบ ๒ ปี ได้แต่ดูรูปเก่าๆ เที่ยวทิพย์ไปพลางๆ ก็เลยคิดว่า เอาวะ เขียนมันวันนี้แหละ เผื่อวันที่เราได้กลับมาใช้ชีวิตปกติกันได้อีกครั้ง อาจจะได้เป็นแนวทางให้เพื่อนๆ ที่คิดจะออกเดินทางแบบอะโลนจริงๆ ได้บ้าง

ทำไมต้องเที่ยวคนเดียว?
ไม่มีใครคบไง ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (อย่าเอาเรื่องจริงมาพูดเล่นเส่ะ) จริงๆ แรกๆ เราก็ไม่ได้เที่ยวคนเดียวหรอกค่ะ ก็ไปกับเพื่อนๆ นี่แหละ แต่พอถึงวันหนึ่ง มันจะมีวันที่มีเพื่อนเยอะแยะแหละนะ แต่เพื่อนที่มีเวลาก็ไม่มีตังค์ เพื่อนที่มีตังค์ก็ไม่มีเวลา กว่าจะรอให้เพื่อนมีตังค์และเวลา เราก็อาจจะไม่มีตังค์หรือเวลาไปซะก่อน อย่ากระนั้นเลย ถ้าเราพอมีทั้งสองอย่าง ก็ไปมันคนเดียวนี่ล่ะ

เที่ยวคนเดียวกะเที่ยวกับคนอื่น อันไหนดีกว่ากัน?
ทั้งสองแบบมีข้อดี-ข้อด้อยต่างกันค่ะ 
เที่ยวคนเดียวดีตรงที่...
- ไม่ต้องรอใคร มีตังค์มีเวลาก็ไปได้เลย
- อยากไปไหนก็วางแผนเอาที่ชอบ ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะชอบเหมือนเราไหม
- อยากอยู่ตรงไหนนานแค่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจใคร
- วันไหนอยากตื่นสาย หรือไม่อยากไปไหน ก็ไม่มีใครมาเม้ง

และก็มีข้อด้อยตรงที่...
- ไม่มีคนแชร์ค่าใช้จ่าย เช่น ถ้าอยากกินอาหารในร้าน ถ้าไม่กินเก่งจริงๆ ก็จะกินได้น้อยอย่าง สั่งหลายอย่างก็กินไม่หมด จ่ายแพงอีกต่างหาก
- เวลาเจอเรื่องสนุกๆ ไม่มีคนที่จะหัวเราะด้วย ไม่มีคนเม้าท์ด้วย บางทีมันก็จะเหงาๆ เหมือนกันนะ
- ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝัน เราต้องพึ่งตัวเองล้วนๆ (สาธุ ขออย่าให้มีเหตุการณ์เหล่านั้นเลย)
- ที่บ้านจะเป็นห่วงมากกว่าปกติ เพราะถ้าอยู่ดีๆ เราขาดการติดต่อไป เช่น ถ้าแบตมือถือหมดขึ้นมา เค้าก็ไม่รู้จะไปติดต่อใครที่ไหนได้ ทีนี้จินตนาการก็จะสำคัญกว่าความจริงล่ะ

ส่วนข้อดี-ข้อด้อย ของการเที่ยวกับคนอื่น ก็กลับกันกับด้านบนค่ะ



เที่ยวคนเดียวยากไหม?
ยากค่ะ... แต่ยากแค่ตอนเริ่มต้นเท่านั้น ยากตอนที่เราต้องต่อสู้กับความกลัวในจิตใจ เราจะเที่ยวคนเดียวได้เหรอ? เราจะปลอดภัยไหม? เราจะเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันหรือเปล่า? เราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร? โอ๊ยยยยยยยยยยย เยอะแยะค่ะคู๊ณณณณณณณณณณณ เราแค่ต้องเอาชนะความกลัวในใจของเราให้ได้เท่านั้น ถ้าเราผ่านก้าวแรกไปได้ ก้าวต่อไปก็แค่วางแผนให้ดีเท่านั้น ก้าวทีละก้าว พี่ตูนเค้าว่าไว้ แฮร่

แล้วต้องวางแผนยังไงอ่ะ?
ในที่นี้ เราจะแชร์ประสบการณ์และวิธีการวางแผนการเดินทางไปประเทศอังกฤษเท่านั้นนะคะ เพราะเราไปอยู่ประเทศเดียว ฮ่าๆๆๆ หลักๆ ก็ไปดูบอลน่ะค่ะ แหะๆ

วางแผนก่อนการเดินทาง...
เนื่องจากเรามีเป้าหมายแน่ชัดว่าเราจะไปดูบอล ดังนั้น สิ่งแรกที่เราต้องหาให้ได้ก็คือ "ตั๋วบอล" ค่ะ จากนั้น ค่อยวางแผนจากโปรแกรมฟุตบอลเป็นลำดับถัดไป

ก่อนหน้านี้เราเป็นแฟนลิเวอร์พูลค่ะ แต่ไปแต่ละครั้ง เราก็จะไปดูทีมอื่นๆ ด้วย ดังนั้น เราจะไม่ไปวันปิดฤดูกาล เพราะทุกคู่จะเตะพร้อมกันหมด แล้วเราจะดูได้แค่คู่เดียว ไม่คุ้มๆ (ก่อนหน้านั้นชอบไปดูนัดสุดท้ายค่ะ เพราะจะได้ดูครอบครัวนักเตะเดินขอบคุณแฟนๆ ด้วย แต่หลังๆ ตั๋วนัดสุดท้ายเริ่มแพงขึ้นๆ ด้วยความงกของเรา เราเลยเปลี่ยนแผน ไปดูนัดอื่นแทนค่ะ)

ตั๋วบอล... เราจองตั๋ว Hospitality ของสโมสรค่ะ แพงกว่าตั๋วปกติแน่นอน แต่ก็มาพร้อมแพคเกจอาหาร ซึ่งเรากินไม่คุ้มหรอก แต่เราไม่อยากไปเสี่ยงกับตั๋วที่ได้จากการขายต่อ เพราะถ้าเกิดมีการเปลี่ยนแปลงวันแข่งขันขึ้นมา แล้วถ้าเราไม่สะดวก เราก็คืนตั๋วให้สโมสรได้ ไม่ยุ่งยาก (เราเคยซื้อตั๋วผ่านเอเยนต์ และไม่เคยพบเจอปัญหาใดๆ นะคะ ถ้าใครสะดวกซื้อผ่านเอเยนต์ ก็ได้ตามสะดวกค่ะ)

ตั๋วบอล Hospitality จะเปิดขายฤดูกาลละ 2 รอบ รอบแรก คือ ตั๋วครึ่งฤดูกาลแรก หลังจากประกาศโปรแกรมของฤดูกาลนั้นๆ แล้ว ก็น่าจะประมาณเดือนกรกฎาคมค่ะ ส่วนรอบ ๒ สำหรับครึ่งฤดูกาลหลัง จะเปิดขายราวๆ เดือนพฤศจิกายนค่ะ
ตอนประกาศโปรแกรม ทุกเกมจะกำหนดเวลาเป็นบ่ายสามวันเสาร์ทั้งหมด แต่โปรแกรมที่แน่นอน จะประกาศล่วงหน้าประมาณ ๑ เดือน เช่น โปรแกรมเดือนพฤศจิกายน จะประกาศวันและเวลาแข่งขันที่แน่นอนประมาณต้นเดือนตุลาคมค่ะ ซึ่งโดยปกติ อาจจะเลื่อนไปเป็นวันศุกร์, เสาร์, อาทิตย์ หรือจันทร์ ตามแต่ตารางการถ่ายทอดสด ซึ่งอาจจะคาดเดาได้คร่าวๆ ว่า ถ้าเป็นคู่ใหญ่ มักจะเตะวันเสาร์คู่สุดท้าย หรือวันอาทิตย์ แต่ก็มีบางครั้งที่กระเด็นไปอยู่วันจันทร์

สำหรับแฟนบอลที่ต้องการไปดูบอลยุโรปด้วย แนะนำให้ดูช่วงเวลาคร่าวๆ ในเว็บยูฟ่าก่อนค่ะ ว่าเค้าเตะกันช่วงไหน แล้วก็วางแผนไปช่วงนั้นๆ ถ้าจะไปช่วงรอบแบ่งกลุ่มก็ง่ายหน่อย โปรแกรมมันค่อนข้างแน่นอน พอเค้าจับฉลากแบ่งกลุ่มเสร็จ ไม่เกิน ๓ ชั่วโมง สโมสรก็เปิดขายตั๋วแล้วค่ะ เข้าไปส่องได้เลย และเราสามารถเดาโปรแกรมพรีเมียร์ลีกคร่าวๆ ได้ด้วย ว่าถ้าเตะบอลยุโรปวันอังคาร มีแนวโน้มมากว่าโปรแกรมพรีเมียร์ลีกจะได้เตะไม่ศุกร์ก็เสาร์ แต่ถ้าเตะบอลยุโรปวันพุธ ก็น่าจะได้เตะพรีเมียร์ลีกวันอาทิตย์ เพราะเค้ามักจะไม่ยัดทีมใหญ่ๆ ไปเตะกระจุกกันวันเสาร์วันเดียวค่ะ



ตั๋วเครื่องบิน... พอได้ตั๋วบอล ก็เริ่มมองหาตั๋วเครื่องบินได้เลยค่ะ โดยส่วนตัว เราจะชอบบินสายการบินตะวันออกกลาง เพราะถึงแม้จะขาสั้น นั่งไม่ลำบากเท่าคนขายาว แต่ก็อยากลงไปยืดเส้นยืดสายบ้าง อีกอย่าง สายการบินตะวันออกกลางมักจะมีเที่ยวบินให้เลือกเยอะ เรามักเลือกบินดึกๆ ค่ะ จะได้ไม่ต้องลางาน เลิกงานกลับบ้านอาบน้ำ ออกจากบ้านสักสองทุ่ม บินสามสี่ทุ่มสบายๆ ไม่เครียด ขึ้นเครื่องปุ๊บ หลับปั๊บ ตื่นมาอีกที แวะลงไปช็อปปิ้งที่สนามบินนิดหน่อย (เราชอบบินเอมิเรตส์ค่ะ เพราะจะแวะลงไปซื้อครีมหิมาลายา กับอินทผาลัมเคลือบช็อคโกแลต พูดแล้วก็หิว) ถ้าง่วง ก็งีบแป๊บ แล้วตั้งนากาปลุกไว้ ดังนั้น อย่าลืมหมอนรองคอนะคะ มันช่วยได้มากจริงๆ 

ถ้าเจอตั๋วเครื่องบินราคารับได้ก็จัดเลยค่ะ เราเคยได้อยู่ระหว่าง สองหมื่นถึงสามหมื่น เรนจ์กว้างมากจริงๆ สำหรับคนที่ชอบบินตรง บริติชแอร์เวย์สก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจนะคะ ราคาไม่แพง ไม่ค่อยวุ่นวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตรงพนักมีที่พักหัว หัวไม่โคลงเคลงเวลาหลับ ถ้าบินอันนี้ ไม่ต้องเอาหมอนรองคอไปก็ได้ค่ะ แต่ข้อเสียคือ อาหารไม่จัดเต็มเท่าสายการบินตะวันออกกลาง อันนั้นกินจนกระเพาะต้องร้องขอชีวิตอ่ะ

วางแผนสถานที่ท่องเที่ยว...
พอเรารู้โปรแกรมบอลคร่าวๆ แล้ว เราก็รู้แล้วว่าเราจะอยู่ที่ลิเวอร์พูลวันไหนบ้าง จากนั้น เราก็จะหาโปรแกรมบอลของทีมอื่นๆ ในเมืองอื่นๆ ที่อยู่ไม่ไกลมาก วันไหนดูบอลที่ไหน ก็เดินทางไปเมืองนั้น จะไปเช้าเย็นกลับ หรือจะไปค้างคืน ก็แล้วแต่สถานการณ์ ระหว่างสัปดาห์ที่ไม่มีบอล ก็หาเมืองใกล้ๆ ไปเที่ยวเล่นเปิดหูเปิดตา

โดยปกติ เราจะไปอังกฤษปีละ ๒ ครั้ง ๑๐ วัน และ ๒๐ วัน ถ้าไป ๑๐ วัน ก็จะวางแผนไปสัก ๓ เมือง ถ้า ๒๐ วัน ก็อาจจะได้ ๔-๕ เมือง เราชอบไปอยู่เมืองนึงสัก ๓-๔ วัน แบบเที่ยวในที่ที่มันต้องไป เอาให้ครบ แล้วคราวหน้าก็ไม่มาแล้ว ไปเมืองอื่นบ้าง 

วิธีการหาที่ท่องเที่ยวในประเทศอังกฤษเป็นเรื่องง่ายมาก แบบง่ายมากๆ ค่ะ แค่เปิดดูแผนที่ พอจิ้มได้ว่าอยากไปที่ไหน ก็เข้าเว็บ visit ตามด้วยชื่อเมือง แล้วตามด้วย .co.uk เช่น อยากไปบริสทอล ก็พิมพ์ visitbristol.co.uk ระบบก็จะพาเราเข้าสู่เว็บไซต์เมืองบริสทอล หาได้ทุกสิ่งในนั้นค่ะ หรืออยากไปฮัลล์ ก็พิมพ์ visithull.co.uk ระบบก็จะพาเราเข้าสู่เว็บไซต์ของ East Yorkshire ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองฮัลล์ค่ะ อยากไปที่ไหน วิสิทเมืองนั้นโลด ง่ายมากค่ะ

นอกจากวัด วัง โบสถ์ ตลาด และสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไปแล้ว เรายังชอบไปเที่ยวตามสนามบอลค่ะ ขอหมายเหตุไว้นิดว่า ถ้าใครอยากไปทัวร์สนามบอล พวกสโมสรใหญ่ๆ ไม่ค่อยมีปัญหาค่ะ มักจะมีทัวร์ทุกวัน วันละหลายๆ รอบ แต่หลายๆ สโมสรที่มีฐานแฟนบอลต่างชาติไม่มากนัก อาจจะมีทัวร์บางวัน หรือเฉพาะวันที่มีการแข่งขันเท่านั้น เช่น ลีดส์ และเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ เป็นต้น ดังนั้น อาจต้องเช็คข้อมูลของแต่ละที่ก่อนนะคะ จะได้ไม่เสียเที่ยวอย่างเรา แหะๆ



วางแผนเดินทางภายในเมือง...
เมื่อเราคิดได้แล้วว่าจะไปที่ไหนบ้าง ก็เข้าไปดูในแผนที่ของเมืองนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีให้เว็บไซต์เมืองนั่นล่ะค่ะ โหลดมาเก็บไว้เลย หรือจะปรินท์มาก็ได้ เพราะนี่จะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราประหยัดเวลาได้เยอะเลยค่ะ

พอปรินท์แผนที่ออกมาแล้ว จะไปไหนมั่งก็เอาปากกามาวง ฮ่าๆๆๆ อันนี้พูดจริงนะ เพราะพอเราวงที่ที่เราจะไปแล้ว เราก็จะมองเห็นว่า สถานที่ท่องเที่ยวไหนอยู่ในเส้นทางเดียวกัน เราก็จัดมันไว้ในวันเดียวกัน จับใส่ตารางไว้คร่าวๆ แล้วเข้าไปดูรายละเอียดแต่ละที่ ว่าเราน่าจะใช้เวลาอยู่ในนั้นแค่ไหน ใช้กูเกิลเมพดูวิธีการเดินทางจาก A ไป B ไป C เราก็จะประเมินได้ว่า วันนึงเราน่าจะไปได้กี่ที่ เอาเวลา กับวิธีการเดินทาง ว่าต้องนั่งรถเมล์สายไหน ต่อสายอะไร ไปใส่ตารางให้ละเอียดขึ้น  เวลาใส่เวลา เราจะไม่ใส่เวลาเป๊ะๆ ค่ะ แต่จะใส่เวลาเริ่มต้นของวันตอนเช้า เราไม่ใช่คนตื่นเช้า เราก็จะใส่เวลาเริ่มต้นวันเป็นสิบโมงเช้า ก็ใส่ไปสัก ๑-๒ ที่ ที่เราน่าจะไปได้ บรรทัดถัดมาก็ใส่เป็นบ่ายโมง ก็น่าจะได้อีกสัก ๒-๓ ที่ หรือ ๔ ที่ ถ้ามันไม่ได้ไกลกันมาก ทำแบบนี้ให้ครบทุกเมือง ทุกวัน เราก็จะได้ตารางที่จะเอาไว้ใช้ตลอดการเดินทาง

วางแผนเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ...
แน่นอนว่าเราไปคนเดียว การเช่ารถขับคงไม่ใช่แผนการที่ดี อีกอย่าง ขับในไทยไม่หลงก็เลย อย่าคิดจะไปขับที่อื่นเลย เราไม่มีหัวทางด้านนี้ การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะจึงเป็นวิธีที่เหมาะกับเราที่ซู้ดดดดดด

ประเทศอังกฤษ เป็นประเทศไม่ได้แพงอย่างที่คิด ถ้าเราวางแผนล่วงหน้านานพอ... อย่างน้อย ๑ เดือนค่ะ

การเดินทางระหว่างเมือง... เราเลือกใช้รถไฟเป็นหลักค่ะ เพราะเราเป็นคนเมารถ การเดินทางโดยรถบัส แม้จะประหยัดกว่า แต่ก็อาจทำให้เราเดินทางไม่สนุก เพราะอาจต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดหัว จนอาจทำให้แผนที่วางไว้ต้องพังพาบไม่เป็นท่าก็ได้ 
การจองตั๋วรถไฟผ่านเว็บไซต์ nationalrail.co.uk สามารถทำได้ล่วงหน้า ๓ เดือนก่อนวันเดินทางค่ะ โดยวิธีการจองตั๋วรถไฟของเรา เราจะจองล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๑ เดือน แต่ไม่เกิน ๒ เดือนค่ะ เพราะเราลองปรับเวลาดูแล้ว การจองล่วงหน้า ๒ เดือน หรือ ๓ เดือน ราคาไม่ต่างกันค่ะ จริงๆ จองล่วงหน้า ๑ เดือน ก็แทบไม่ต่างเหมือนกัน ดังนั้น การจองล่วงหน้านานๆ ไม่ได้ทำให้เราประหยัดมากขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าแผนเรามีการเปลี่ยนแปลง เราอาจต้องเสียเงินจองตั๋วรถไฟนั้นไปฟรีๆ ก็ได้ แต่การจองล่วงหน้าแค่เดือนเดียว แผนการเดินทางเราจะค่อนข้างนิ่งแล้ว ดังนั้น โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลง แล้วเสียตังค์ไปเปล่าๆ ก็น้อยลง

การเดินทางภายในเมือง... ถ้าเป็นในลอนดอน เราจะใช้บัตรหอย (Oyster Card) แบบเติมเงินค่ะ เพราะไม่จำกัดเวลาออกเดินทาง จะไปตอนไหนก็ได้ ใจขณะที่แบบทราเวลการ์ด (จำไม่ได้ว่าเรียกแบบนี้หรือเปล่า) อาจจะต้องเดินทางในช่วงที่ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน (Off-peak) ซึ่งอาจจะไม่สะดวกกับเรา เพราะบางที เราก็อยากออกเช้าบ้างอะไรบ้าง การซื้อบัตรเติมเงิน ข้อดีคือ ค่าเดินทางจะคิดตามระยะทาง วันไหนไปน้อย ก็จ่ายน้อย วันไหนไปมาก ก็จ่ายแบบจำกัด เพราะในหนึ่งวัน เมื่อเราเดินทางขึ้นเขาลงห้วยจนค่าเดินทางขึ้นไปเท่ากับตั๋วแบบหนึ่งวันแล้ว (Day Ticket) เราก็จะไม่ต้องเสียค่าเดินทางเพิ่มอีก แบบเค้าแคปไว้ว่า วันนี้เราจะเสียตังค์ค่าเดินทางแค่เนี้ยะ ไม่มากไปกว่านี้... Oyster Card สามารถใช้ได้ทั้ง Tube, Bus และ Boat ถ้าไกลๆ เราก็เลือกใช้ Tube ถ้าใกล้ๆ ป้ายสองป้าย เราก็ใช้รถเมล์ แล้วแต่สถานการณ์ค่ะ

(เนื้อที่หมด ต่อด้านล่างค่ะ)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่