สวัสดีจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา ทุกคน หวังเป็นอย่างยิ่งจริงๆนะว่าทุกคนสบายดี กินอิ่ม นอนหลับ ยังยิ้มและหัวเราะได้ในทุกๆวัน เราขอกอดก่อนเลยละกัน ก๊อดดดด
ใน 14 วันที่ผ่านมา เราวุ่นอยู่กับการแจ้งจดทะเบียนสมรส(อัพเดทสถานะการสมรส)ของเราที่ไทยหลังจากที่ทำเรื่องจดทะเบียนที่ญี่ปุ่นเสร็จแล้ว กว่าจะทำเรื่องฝั่งไทยเสร็จก็คือใช้เวลา 14 วันจริงๆนะ
การติดต่อหน่วยงานราชการในสถานการณ์เอ่ะ อ่ะ ล็อค แบบนี้ มันไม่ง่ายเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เราเลยเกิดอาการคันมืออยากแชร์ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่าจะไล่เรียงเป็นไทม์ไลน์เลยละกัน
ว่าเราไปไหนและทำอะไรบ้าง แน่นอนว่าตอนนี้เราทุกคนในบ้านสบายดี บ้านเราอยู่ในพื้นที่สีแดงเข้มสุดตั้งแต่โควิดรอบแรกบุกไทยจนถึงปัจจุบัน แต่เราสบายดีมากๆกันทุกคน แน่นอนว่าการป้องกัน
ตัวเองเวลาออกนอกบ้านมันไม่ใช่แค่สิ่งที่ต้องทำหรือจำเป็นแล้ว แต่มันกลายเป็นวิถีชีวิตเราไปแล้ว หลายครั้งก็คิดเหมือนกันว่าอาจจะได้รับเชื้อไปตั้งแต่รอบแรกและมีภูมิคุ้มกันไปแล้วก็ได้ แม้จะเคยตรวจ
ไปแล้วผลเป็นลบก็ตามฮ่าๆๆ เรามาเริ่มกันเลยละกัน โพสนี้ยาวน้าาาาา
วันพุธที่ 21 กรกฎาคม 2564
- หลังจากได้รับเอกสารในวันเสาร์ก่อนหน้า เราก็วางแผนว่าจะไปรับรองเอกสารที่กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศที่กรุงเทพในวันศุกร์สัปดาห์เดียวกัน แต่ๆๆ เช้าวันจันทร์ที่ 19 เราก็พบประกาศว่า
กรมการกงสุลปิดรับรองเอกสารเนื่องจากประกาศล็อค โดยให้ส่งอีเมล์แจ้งความจำนงค์และรอตอบกลับเป็นการนัดจากเจ้าหน้าที่เท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ แน่นอนว่าเราร้อง ว้อทเดอะฟัค ไปหลายรอบมากกกกกกก
แม้มือจะพิมพ์อีเมล์ไปด้วย เราโทรตามอีเมล์ตอบกลับในวันอังคารก่อนที่จะได้รับนัดว่าให้เข้าไปวันพุธ
- อันนี้เป็นความเห็น เอาจริงๆระบบนี้โอเคอยู่นะในสถานการณ์แบบนี้ เพียงแต่ควรทำจริงจังไปเลย ทำเป็นการจองคิวจริงๆจังๆเหมือนพาสปอร์ตอ่ะ
และควรทำตั้งแต่ล็อคดาวน์แรกเป็นระบบถาวรจริงๆ เห็นใจและเข้าใจเจ้าหน้าที่หน้างานว่าทำงานกันเต็มที่จริงๆ แต่คนคิดคืออีกพวกไง เราไม่รู้ตื้นลึกหนาบางว่าเขาขอความเห็นจากเจ้าหน้าที่หน้างานไหมเวลาจะออกแบบ
วิธีการทำงานอ่ะ ใครอ่านแล้วรู้ข้อมูลอะไรก็บอกได้น้า
- กลับเข้าเรื่อง เราไปยื่นเอกสารตามนัด เอกสารที่เรายื่นขอรับรองเป็นภาษาไทยที่มีตราประทับรับรองจากสถานฑูตไทยในญี่ปุ่นแล้วจึงไม่ต้องมีการปรับแก้คำแปลหรือแก้เอกสารใดๆ เราเลือกรับคืนแบบส่งไปรษณีย์มาให้ที่บ้านแทน
วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2564
- ได้รับเอกสารในช่วงสายๆและไปทำเรื่องที่อำเภอเอ(นามสมมติ)ที่ๆเรามีทะเบียนบ้านอยู่
- อำเภอเอแจ้งว่าต้องใช้พาสปอร์ตแปลภาษาไทยของคู่สมรสญี่ปุ่นพร้อมประทับตรารับรองจากกระทรวงการต่างประเทศด้วย เรากลับมาบ้านแบบงงๆและโทรถามสถานฑูตญี่ปุ่นในไทย ได้ความว่าหากจะนำคำแปลไทยไปรับรองกระทรวง
ก็ต้องให้ที่สถานฑูตรับรองตัวสำเนาจริงก่อน แต่ๆๆเจ้าของพาสปอร์ตต้องมายื่นขอรับรองเอง ซึ่งเจ้าของอยู่ญี่ปุ่นจ้าาาาา อีกทางคือให้รับรองจากญี่ปุ่นส่งมา เจ้าหน้าที่สถานฑูตคือน่ารักมากกกกกกกกก พยายามช่วยขั้นสุด
เจ้าหน้าที่บอกเราว่าแปลกมาก ปกติแทบไม่มีใครเคยขอเลยในกรณีแจ้งสมรส สุดท้ายเจ้าหน้าที่แนะนำว่าลองไปแจ้งที่อำเภออื่นดู เพราะคนญี่ปุ่นแจ้งมาว่าถ้าเป็นที่อำเภอเอกับอำเภอซีจะยากกว่าที่อื่น
- หลังจากได้รับการประสานงานและช่วยแนะนำอำเภอให้จากคนรู้จักของคุณแม่(ขอบคุณมากค่า) เราจึงโทรไปเช็คกับอำเภอบีที่แนะนำมา ได้ความว่าใช้เพียงแค่เอกสารที่มีและพาสปอร์ตแปลไทยของคู่สมรสลงรับรองคำแปลจากร้านแปลได้เลย
วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564
- เราและครอบครัวฮ่าๆๆ(คุณพ่อและคุณแม่เพราะต้องใช้พยาน 2 คน) เดินทางไปที่อำเภอบีในจังหวัดเดียวกัน และใช้เวลาในการบันทึกเรื่องทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง เนื่องจากเจ้าหน้าที่น้องใหม่ทำเอกสารเรื่องนี้ครั้งแรก เอ้อ เอาซี้ ฮ่าๆๆ
- หลังจากกลับมาบ้าน เราก็เมาท์เล่าเรื่องให้พี่ๆที่ออฟฟิศเราซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นรุ่นพี่มหาลัยด้วย รุ่นพี่พูดเล่นๆกับเราว่า ทำไมไม่ไปทำเรื่องเปลี่ยนนามสกุลที่อำเภอซีเลยหล่ะ (อำเภอเอที่เรามีชื่ออยู่ปิดบริการเปลี่ยนนามสกุล 14 วัน)
ซื้อบ้านที่นั่นไว้หนิ เราเลยคิดว่าแบบเอ้อ จริงๆก็ทำได้นะ ไปทำเรื่องย้ายชื่อเราเข้าบ้านตัวเองที่ซื้อในเขตอำเภอซี และทำเรื่องเปลี่ยนนามสกุลไปเลย (การเปลี่ยนนามสกุลทำได้แค่อำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเท่านั้น)
วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564
- เราไปทำเรื่องย้ายชื่อตัวเองเข้าบ้านตัวเองที่อำเภอซี(หนึ่งในอำเภอที่เจ้าหน้าที่สถานฑูตญี่ปุ่นกระซิบว่าทำเรื่องแจ้งสมรสยาก) พร้อมเปลี่ยนนามสกุล และได้บัตรประชาชนใหม่เรียบร้อย
- เราจะทำเรื่องของ COE และวีซ่าต่อจึงต้องทำพาสปอร์ตใหม่จากการเปลี่ยนนามสกุลด้วย เลยจองคิวทำพาสปอร์ตในเมืองที่ตัวเองอยู่ไป ได้คิววันที่ 10 สิงหาคม
วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม 2564
- เพจกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศแจ้งปิดที่ทำพาสปอร์ตในกรุงเทพทั้งหมดบวกกับเมืองที่เราอยู่จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม เนื่องจากประกาศต่อล็อคดาวน์ เราร้อง ว้อทเดอะฟัค อีกรอบบบบบบบบบบบบบ
วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564
- เราจองคิวออนไลน์กับอีกที่ในภาคเดียวกันแทน คุณแม่ช่วยโทรไปเช็คกับเจ้าหน้าที่ด้วยความอยากรู้ ได้ความว่าจังหวัดที่เราจะไปต้องยื่นผลตรวจเป็นลบ 72 ชั่วโมงก่อนมาหรือใบรับวัคซีนครบ 2 เข็ม
- คุณแม่(อีกแล้ว ขอบคุณค่าาาาา) เสนอไอเดียไปอีกจังหวัดนึง ใกล้กับบ้านเกิดของทั้งพ่อและแม่ แต่ๆๆ ขับรถไปราวๆ 4 ชั่วโมงครึ่ง เราเลยลองจองออนไลน์ไปได้นัดวันพฤหัสที่ 5 สิงหาคม
- ด้วยความไม่ไว้ใจสถานการณ์เพราะหากวันอังคารที่ 3 มีคนเดินทางไปทำจังหวัดที่เราจองไว้เยอะ(เนื่องจากที่กรุงเทพปิดหมดและที่นี่ห่างจากกรุงเทพแค่ 2-3 ชั่วโมง) วันที่ 5 เราอาจเข้าไปไม่ได้เพราะมีการตรวจที่เข้มงวดขึ้นก็ว่าได้
เราจึงโทรเช็คกับเจ้าหน้าที่เลย ได้ความว่าไม่มีการจำกัดคิววอคอิน เพียงแต่ให้มารับคิวช่วงเช้าจะดีกว่า
วันอังคารที่ 3 สิงหาคม 2564
- เราตื่นตั้งแต่ตีสี่ ออกเดินทางตีห้าเพื่อไปให้ทันจับคิวตอนเก้าโมง(สำนักงานเปิดสิบโมง) เราไปถึงราวๆเก้าโมงหน่อยๆและได้ลำดับคิวที่ 14 คนเริ่มทยอยกันมา แน่นอนว่าส่วนมากมาจากต่างจังหวัด
- เราทำพาสปอร์ตเสร็จราวๆ 11 โมงครึ่ง และเดินทางกลับ
ต่อไปเป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้ทั้งหมดและอยากแชร์จริงๆนะ
- ไม่มีอะไรแน่นอนเลยในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งเดียวที่แน่นอนก็คือเราเพิ่งพาอะไรใดๆจากการอำนวยความสะดวกของภาครัฐไม่ได้เลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย อันนี้รู้อยู่แล้ว แต่เห็นชัดขึ้นแบบเห้ยๆๆๆ
เราเข้าใจการล็อคดาวน์จากสถานการณ์ที่มีอยู่ แต่การปิดแบบระยะยาว(ทั้งเดือน)การให้บริการของภาครัฐโดยอ้างอิงจากประกาศเพราะกันการเดินทางข้ามเขตนั้น ไม่มีอะไรสมเหตุสมผลเลย เพราะเอกสารราชการเป็นสิ่งจำเป็นและมีระยะเวลากำหนด
คนที่ได้รับผลกระทบจากก็ต้องเดินทางไปทำที่ๆเปิดอยู่แล้ว การจัดการที่เราคิดว่าสมเหตุผลกว่าก็คือ เปิดทุกที่ไม่ควรปิดที่ไหนเลย เพียงแต่จำกัดวันเปิด และเป็นการจองคิวออนไลน์ทั้งหมด ไม่มีวอคอิน
แน่นอนว่ามันยากในการทำระบบรองรับ แต่มันคือการแก้ปัญหาที่เข้าใจประชาชนมากกว่าและสมเหตุสมผลมากกว่าจากมุมมองผู้ใช้งานจริง อันนี้เขียนถึงคนคิดกระบวนการการทำงานของแต่ละที่ทั้งหมด เพราะเจ้าหน้าที่หน้างานทุกคนทำงานเต็มที่มาก
เข้าใจดีเลยว่าได้แค่ทำตามคำสั่งจากคนที่นั่งเทียนเขียนให้เป็นไปตามนโยบายเฉยๆ แต่ไม่เคยลองมาต่อแถวหรือนั่งมอนิเตอร์การทำงานจริงๆ
- ตั้งแต่โควิดมาเราอยู่กับสถานการณ์เปิดๆปิดๆ พูดจริงบ้าง กล่าวอ้างบ้าง นั่งเทียนเขียนนโยบายบ้าง วันๆเอาแต่คอยตามจับคนที่ออกมาพูดความจริงแต่ไม่เข้าหูบ้าง และแน่นอนการแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นแบบวัวหายล้อมคอกในตลอดระยะเวลา 2 ปี แบบไม่ได้
เรียนรู้อะไรเลย งงเหมือนกันว่ามนุษย์จริงๆใช่ไหมที่บริหารประเทศอยู่ หรือเป็นบอทที่โปรแกรมบักแก้ไม่ได้ถาวรงี้ ยังไงวะ เราเนี่ยเปรียบเทียบยังไงวะฮ่าๆๆ
การตัดสินใจทำอะไรตั้งแต่เนิ่นๆและวางแผนแค่หลวมๆมีแผนสำรองตลอดเวลา ลงมือทำก่อนที่วัวจะหาย และโดนสั่งล้อมคอกจนทำอะไรไม่ได้คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้มากกกก ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์จริง
- ตัวอย่างแรก เรารีบส่งอีเมล์นัดรับรองเอกสารทันที หลังจากเราได้รับนัดแล้ว กรมกางกงสุลก็มีการเปลี่ยนระบบเป็นลงทะเบียนในกูเกิ้ลฟอร์มแทนและใช้เวลานานกว่ามากในการรอตอบกลับ
- ตัวอย่างที่สอง เราตัดสินใจเดินทางไปทำพาสปอร์ตก่อนวันที่จองไว้แล้วแต่เช้ามืดโดยเสี่ยงไปจับคิววอคอินเอา ด้วยความคิดที่ว่าหากวันแรกมีคนเดินทางมาทำเยอะ วันถัดไปซึ่งเป็นวันนัดของเรา การเดินทางเข้าจังหวัดที่เราจองไว้อาจมีการเปลี่ยนแปลง
ปล.ระหว่างยืนรอคิวเราได้ยินเจ้าหน้าที่ของสำนักพาสปอร์ตพูดกับเจ้าหน้าที่จากสาธารณสุข (ที่มาจัดฉีดวัคซีนที่เดียวกัน) ว่าต่อไปอาจจะต้องขอผล swab test ด้วย เพราะไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้ แต่วันนี้มาแล้วต้องทำไปก่อนเพราะวันแรก
จะเห็นได้ว่าจากทั้งสองกรณี ช่วงเวลาสำคัญมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ถ้าคาดการณ์สถาการณ์ประกาศตามใจชอบของรัฐได้ไม่ดีก็คือเสียเวลาไปเยอะเลยจริงๆ
- ข้อสุดท้าย ห่วยค่ะ ระบบทุกอย่าง การดูแล การบังคับใช้ คนออกคำสั่ง ทุกคนคุณไม่ใช่มนุษย์ค่ะ อาจจะไม่ใช่แม้แต่สัตว์เซลล์เดียว เพราะคุณไม่มีการเรียนรู้ใดๆเลยจริงๆ
เราขอจบบทความนี้ด้วยการให้กำลังใจอีกครั้ง และอยากสนับสนุนทุกๆความต้องการและขอให้ฝันในการเรียกร้องใดๆก็แล้วแต่ที่คิดถึงประชาชนเป็นที่ตั้งและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กันเองในหมู่ประชาชนทุกคน จนไปถึงทุกๆคนที่กำลังพยายามอย่างที่สุด
ในการย้ายออกนอกประเทศ (อย่างเช่นเรา) ไปสู่ที่ๆคุณคิดว่าตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคุณได้มากกว่า
ปล.ท้าย หากอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมสถานที่หรือวิธีที่ละเอียดกว่านี้ ถามเราได้เลยจ้าาาาาาา ยินดีตอบอย่างมาก
ปล.ท้ายจริงๆแล้ว เนื่องจากมีการเดินทางเยอะมาก เราทำงานที่บ้านตลอดเวลา และระวังอย่างสูงสุด ฉีดแอลกอฮอล์แทนน้ำหอมตลอดเวลาที่ออกจากบ้าน และเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวตลอด หากไม่จำเป็นจะไม่มีการเดินทางใดๆตามไทม์ไลน์เกิดขึ้นเลยจริงๆ
ฝากเพจด้วยน้า Facebook : Kotomimater
Youtube : KotomiMater
ขอบคุณค่า
แชร์ประสบการณ์เดินเรื่องแจ้งจดทะเบียนสมรส (บันทึกคร.22) จนถึงทำพาสปอร์ตใหม่ในช่วงล็อคดาวน์
ใน 14 วันที่ผ่านมา เราวุ่นอยู่กับการแจ้งจดทะเบียนสมรส(อัพเดทสถานะการสมรส)ของเราที่ไทยหลังจากที่ทำเรื่องจดทะเบียนที่ญี่ปุ่นเสร็จแล้ว กว่าจะทำเรื่องฝั่งไทยเสร็จก็คือใช้เวลา 14 วันจริงๆนะ
การติดต่อหน่วยงานราชการในสถานการณ์เอ่ะ อ่ะ ล็อค แบบนี้ มันไม่ง่ายเลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เราเลยเกิดอาการคันมืออยากแชร์ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่าจะไล่เรียงเป็นไทม์ไลน์เลยละกัน
ว่าเราไปไหนและทำอะไรบ้าง แน่นอนว่าตอนนี้เราทุกคนในบ้านสบายดี บ้านเราอยู่ในพื้นที่สีแดงเข้มสุดตั้งแต่โควิดรอบแรกบุกไทยจนถึงปัจจุบัน แต่เราสบายดีมากๆกันทุกคน แน่นอนว่าการป้องกัน
ตัวเองเวลาออกนอกบ้านมันไม่ใช่แค่สิ่งที่ต้องทำหรือจำเป็นแล้ว แต่มันกลายเป็นวิถีชีวิตเราไปแล้ว หลายครั้งก็คิดเหมือนกันว่าอาจจะได้รับเชื้อไปตั้งแต่รอบแรกและมีภูมิคุ้มกันไปแล้วก็ได้ แม้จะเคยตรวจ
ไปแล้วผลเป็นลบก็ตามฮ่าๆๆ เรามาเริ่มกันเลยละกัน โพสนี้ยาวน้าาาาา
วันพุธที่ 21 กรกฎาคม 2564
- หลังจากได้รับเอกสารในวันเสาร์ก่อนหน้า เราก็วางแผนว่าจะไปรับรองเอกสารที่กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศที่กรุงเทพในวันศุกร์สัปดาห์เดียวกัน แต่ๆๆ เช้าวันจันทร์ที่ 19 เราก็พบประกาศว่า
กรมการกงสุลปิดรับรองเอกสารเนื่องจากประกาศล็อค โดยให้ส่งอีเมล์แจ้งความจำนงค์และรอตอบกลับเป็นการนัดจากเจ้าหน้าที่เท่านั้นถึงจะเข้ามาได้ แน่นอนว่าเราร้อง ว้อทเดอะฟัค ไปหลายรอบมากกกกกกก
แม้มือจะพิมพ์อีเมล์ไปด้วย เราโทรตามอีเมล์ตอบกลับในวันอังคารก่อนที่จะได้รับนัดว่าให้เข้าไปวันพุธ
- อันนี้เป็นความเห็น เอาจริงๆระบบนี้โอเคอยู่นะในสถานการณ์แบบนี้ เพียงแต่ควรทำจริงจังไปเลย ทำเป็นการจองคิวจริงๆจังๆเหมือนพาสปอร์ตอ่ะ
และควรทำตั้งแต่ล็อคดาวน์แรกเป็นระบบถาวรจริงๆ เห็นใจและเข้าใจเจ้าหน้าที่หน้างานว่าทำงานกันเต็มที่จริงๆ แต่คนคิดคืออีกพวกไง เราไม่รู้ตื้นลึกหนาบางว่าเขาขอความเห็นจากเจ้าหน้าที่หน้างานไหมเวลาจะออกแบบ
วิธีการทำงานอ่ะ ใครอ่านแล้วรู้ข้อมูลอะไรก็บอกได้น้า
- กลับเข้าเรื่อง เราไปยื่นเอกสารตามนัด เอกสารที่เรายื่นขอรับรองเป็นภาษาไทยที่มีตราประทับรับรองจากสถานฑูตไทยในญี่ปุ่นแล้วจึงไม่ต้องมีการปรับแก้คำแปลหรือแก้เอกสารใดๆ เราเลือกรับคืนแบบส่งไปรษณีย์มาให้ที่บ้านแทน
วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2564
- ได้รับเอกสารในช่วงสายๆและไปทำเรื่องที่อำเภอเอ(นามสมมติ)ที่ๆเรามีทะเบียนบ้านอยู่
- อำเภอเอแจ้งว่าต้องใช้พาสปอร์ตแปลภาษาไทยของคู่สมรสญี่ปุ่นพร้อมประทับตรารับรองจากกระทรวงการต่างประเทศด้วย เรากลับมาบ้านแบบงงๆและโทรถามสถานฑูตญี่ปุ่นในไทย ได้ความว่าหากจะนำคำแปลไทยไปรับรองกระทรวง
ก็ต้องให้ที่สถานฑูตรับรองตัวสำเนาจริงก่อน แต่ๆๆเจ้าของพาสปอร์ตต้องมายื่นขอรับรองเอง ซึ่งเจ้าของอยู่ญี่ปุ่นจ้าาาาา อีกทางคือให้รับรองจากญี่ปุ่นส่งมา เจ้าหน้าที่สถานฑูตคือน่ารักมากกกกกกกกก พยายามช่วยขั้นสุด
เจ้าหน้าที่บอกเราว่าแปลกมาก ปกติแทบไม่มีใครเคยขอเลยในกรณีแจ้งสมรส สุดท้ายเจ้าหน้าที่แนะนำว่าลองไปแจ้งที่อำเภออื่นดู เพราะคนญี่ปุ่นแจ้งมาว่าถ้าเป็นที่อำเภอเอกับอำเภอซีจะยากกว่าที่อื่น
- หลังจากได้รับการประสานงานและช่วยแนะนำอำเภอให้จากคนรู้จักของคุณแม่(ขอบคุณมากค่า) เราจึงโทรไปเช็คกับอำเภอบีที่แนะนำมา ได้ความว่าใช้เพียงแค่เอกสารที่มีและพาสปอร์ตแปลไทยของคู่สมรสลงรับรองคำแปลจากร้านแปลได้เลย
วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564
- เราและครอบครัวฮ่าๆๆ(คุณพ่อและคุณแม่เพราะต้องใช้พยาน 2 คน) เดินทางไปที่อำเภอบีในจังหวัดเดียวกัน และใช้เวลาในการบันทึกเรื่องทั้งสิ้น 2 ชั่วโมง เนื่องจากเจ้าหน้าที่น้องใหม่ทำเอกสารเรื่องนี้ครั้งแรก เอ้อ เอาซี้ ฮ่าๆๆ
- หลังจากกลับมาบ้าน เราก็เมาท์เล่าเรื่องให้พี่ๆที่ออฟฟิศเราซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นรุ่นพี่มหาลัยด้วย รุ่นพี่พูดเล่นๆกับเราว่า ทำไมไม่ไปทำเรื่องเปลี่ยนนามสกุลที่อำเภอซีเลยหล่ะ (อำเภอเอที่เรามีชื่ออยู่ปิดบริการเปลี่ยนนามสกุล 14 วัน)
ซื้อบ้านที่นั่นไว้หนิ เราเลยคิดว่าแบบเอ้อ จริงๆก็ทำได้นะ ไปทำเรื่องย้ายชื่อเราเข้าบ้านตัวเองที่ซื้อในเขตอำเภอซี และทำเรื่องเปลี่ยนนามสกุลไปเลย (การเปลี่ยนนามสกุลทำได้แค่อำเภอที่เรามีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเท่านั้น)
วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564
- เราไปทำเรื่องย้ายชื่อตัวเองเข้าบ้านตัวเองที่อำเภอซี(หนึ่งในอำเภอที่เจ้าหน้าที่สถานฑูตญี่ปุ่นกระซิบว่าทำเรื่องแจ้งสมรสยาก) พร้อมเปลี่ยนนามสกุล และได้บัตรประชาชนใหม่เรียบร้อย
- เราจะทำเรื่องของ COE และวีซ่าต่อจึงต้องทำพาสปอร์ตใหม่จากการเปลี่ยนนามสกุลด้วย เลยจองคิวทำพาสปอร์ตในเมืองที่ตัวเองอยู่ไป ได้คิววันที่ 10 สิงหาคม
วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม 2564
- เพจกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศแจ้งปิดที่ทำพาสปอร์ตในกรุงเทพทั้งหมดบวกกับเมืองที่เราอยู่จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม เนื่องจากประกาศต่อล็อคดาวน์ เราร้อง ว้อทเดอะฟัค อีกรอบบบบบบบบบบบบบ
วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564
- เราจองคิวออนไลน์กับอีกที่ในภาคเดียวกันแทน คุณแม่ช่วยโทรไปเช็คกับเจ้าหน้าที่ด้วยความอยากรู้ ได้ความว่าจังหวัดที่เราจะไปต้องยื่นผลตรวจเป็นลบ 72 ชั่วโมงก่อนมาหรือใบรับวัคซีนครบ 2 เข็ม
- คุณแม่(อีกแล้ว ขอบคุณค่าาาาา) เสนอไอเดียไปอีกจังหวัดนึง ใกล้กับบ้านเกิดของทั้งพ่อและแม่ แต่ๆๆ ขับรถไปราวๆ 4 ชั่วโมงครึ่ง เราเลยลองจองออนไลน์ไปได้นัดวันพฤหัสที่ 5 สิงหาคม
- ด้วยความไม่ไว้ใจสถานการณ์เพราะหากวันอังคารที่ 3 มีคนเดินทางไปทำจังหวัดที่เราจองไว้เยอะ(เนื่องจากที่กรุงเทพปิดหมดและที่นี่ห่างจากกรุงเทพแค่ 2-3 ชั่วโมง) วันที่ 5 เราอาจเข้าไปไม่ได้เพราะมีการตรวจที่เข้มงวดขึ้นก็ว่าได้
เราจึงโทรเช็คกับเจ้าหน้าที่เลย ได้ความว่าไม่มีการจำกัดคิววอคอิน เพียงแต่ให้มารับคิวช่วงเช้าจะดีกว่า
วันอังคารที่ 3 สิงหาคม 2564
- เราตื่นตั้งแต่ตีสี่ ออกเดินทางตีห้าเพื่อไปให้ทันจับคิวตอนเก้าโมง(สำนักงานเปิดสิบโมง) เราไปถึงราวๆเก้าโมงหน่อยๆและได้ลำดับคิวที่ 14 คนเริ่มทยอยกันมา แน่นอนว่าส่วนมากมาจากต่างจังหวัด
- เราทำพาสปอร์ตเสร็จราวๆ 11 โมงครึ่ง และเดินทางกลับ
ต่อไปเป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ครั้งนี้ทั้งหมดและอยากแชร์จริงๆนะ
- ไม่มีอะไรแน่นอนเลยในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งเดียวที่แน่นอนก็คือเราเพิ่งพาอะไรใดๆจากการอำนวยความสะดวกของภาครัฐไม่ได้เลยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย อันนี้รู้อยู่แล้ว แต่เห็นชัดขึ้นแบบเห้ยๆๆๆ
เราเข้าใจการล็อคดาวน์จากสถานการณ์ที่มีอยู่ แต่การปิดแบบระยะยาว(ทั้งเดือน)การให้บริการของภาครัฐโดยอ้างอิงจากประกาศเพราะกันการเดินทางข้ามเขตนั้น ไม่มีอะไรสมเหตุสมผลเลย เพราะเอกสารราชการเป็นสิ่งจำเป็นและมีระยะเวลากำหนด
คนที่ได้รับผลกระทบจากก็ต้องเดินทางไปทำที่ๆเปิดอยู่แล้ว การจัดการที่เราคิดว่าสมเหตุผลกว่าก็คือ เปิดทุกที่ไม่ควรปิดที่ไหนเลย เพียงแต่จำกัดวันเปิด และเป็นการจองคิวออนไลน์ทั้งหมด ไม่มีวอคอิน
แน่นอนว่ามันยากในการทำระบบรองรับ แต่มันคือการแก้ปัญหาที่เข้าใจประชาชนมากกว่าและสมเหตุสมผลมากกว่าจากมุมมองผู้ใช้งานจริง อันนี้เขียนถึงคนคิดกระบวนการการทำงานของแต่ละที่ทั้งหมด เพราะเจ้าหน้าที่หน้างานทุกคนทำงานเต็มที่มาก
เข้าใจดีเลยว่าได้แค่ทำตามคำสั่งจากคนที่นั่งเทียนเขียนให้เป็นไปตามนโยบายเฉยๆ แต่ไม่เคยลองมาต่อแถวหรือนั่งมอนิเตอร์การทำงานจริงๆ
- ตั้งแต่โควิดมาเราอยู่กับสถานการณ์เปิดๆปิดๆ พูดจริงบ้าง กล่าวอ้างบ้าง นั่งเทียนเขียนนโยบายบ้าง วันๆเอาแต่คอยตามจับคนที่ออกมาพูดความจริงแต่ไม่เข้าหูบ้าง และแน่นอนการแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นแบบวัวหายล้อมคอกในตลอดระยะเวลา 2 ปี แบบไม่ได้
เรียนรู้อะไรเลย งงเหมือนกันว่ามนุษย์จริงๆใช่ไหมที่บริหารประเทศอยู่ หรือเป็นบอทที่โปรแกรมบักแก้ไม่ได้ถาวรงี้ ยังไงวะ เราเนี่ยเปรียบเทียบยังไงวะฮ่าๆๆ
การตัดสินใจทำอะไรตั้งแต่เนิ่นๆและวางแผนแค่หลวมๆมีแผนสำรองตลอดเวลา ลงมือทำก่อนที่วัวจะหาย และโดนสั่งล้อมคอกจนทำอะไรไม่ได้คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้มากกกก ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์จริง
- ตัวอย่างแรก เรารีบส่งอีเมล์นัดรับรองเอกสารทันที หลังจากเราได้รับนัดแล้ว กรมกางกงสุลก็มีการเปลี่ยนระบบเป็นลงทะเบียนในกูเกิ้ลฟอร์มแทนและใช้เวลานานกว่ามากในการรอตอบกลับ
- ตัวอย่างที่สอง เราตัดสินใจเดินทางไปทำพาสปอร์ตก่อนวันที่จองไว้แล้วแต่เช้ามืดโดยเสี่ยงไปจับคิววอคอินเอา ด้วยความคิดที่ว่าหากวันแรกมีคนเดินทางมาทำเยอะ วันถัดไปซึ่งเป็นวันนัดของเรา การเดินทางเข้าจังหวัดที่เราจองไว้อาจมีการเปลี่ยนแปลง
ปล.ระหว่างยืนรอคิวเราได้ยินเจ้าหน้าที่ของสำนักพาสปอร์ตพูดกับเจ้าหน้าที่จากสาธารณสุข (ที่มาจัดฉีดวัคซีนที่เดียวกัน) ว่าต่อไปอาจจะต้องขอผล swab test ด้วย เพราะไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้ แต่วันนี้มาแล้วต้องทำไปก่อนเพราะวันแรก
จะเห็นได้ว่าจากทั้งสองกรณี ช่วงเวลาสำคัญมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ถ้าคาดการณ์สถาการณ์ประกาศตามใจชอบของรัฐได้ไม่ดีก็คือเสียเวลาไปเยอะเลยจริงๆ
- ข้อสุดท้าย ห่วยค่ะ ระบบทุกอย่าง การดูแล การบังคับใช้ คนออกคำสั่ง ทุกคนคุณไม่ใช่มนุษย์ค่ะ อาจจะไม่ใช่แม้แต่สัตว์เซลล์เดียว เพราะคุณไม่มีการเรียนรู้ใดๆเลยจริงๆ
เราขอจบบทความนี้ด้วยการให้กำลังใจอีกครั้ง และอยากสนับสนุนทุกๆความต้องการและขอให้ฝันในการเรียกร้องใดๆก็แล้วแต่ที่คิดถึงประชาชนเป็นที่ตั้งและไม่สร้างความเดือดร้อนให้กันเองในหมู่ประชาชนทุกคน จนไปถึงทุกๆคนที่กำลังพยายามอย่างที่สุด
ในการย้ายออกนอกประเทศ (อย่างเช่นเรา) ไปสู่ที่ๆคุณคิดว่าตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคุณได้มากกว่า
ปล.ท้าย หากอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมสถานที่หรือวิธีที่ละเอียดกว่านี้ ถามเราได้เลยจ้าาาาาาา ยินดีตอบอย่างมาก
ปล.ท้ายจริงๆแล้ว เนื่องจากมีการเดินทางเยอะมาก เราทำงานที่บ้านตลอดเวลา และระวังอย่างสูงสุด ฉีดแอลกอฮอล์แทนน้ำหอมตลอดเวลาที่ออกจากบ้าน และเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวตลอด หากไม่จำเป็นจะไม่มีการเดินทางใดๆตามไทม์ไลน์เกิดขึ้นเลยจริงๆ
ฝากเพจด้วยน้า Facebook : Kotomimater
Youtube : KotomiMater
ขอบคุณค่า