สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
สุดท้ายก็สอบติดทันตแพทย์ครับ จริงๆก่อนสอบติดทันตะสอบได้เภสัชมหาลัยในกรุงเทพด้วยครับ เภสัชมหาลัยแถวๆปทุมวันนั่นแหละครับ ได้ทุนเรียนด้วย แต่คือความฝันอยากเป็นหมอครับ พอสอบติดทันตแพทย์คุณครูก็แนะนำให้เอาทันตแพทย์ด้วยเลยสละสิทธิ์ พอตกลงเอาอันนี้แล้ว ผมก็เลิกสอบเลยครับประหยัดเงิน ตอนนั้นคิดมั่นเหมาะครับว่าจะเรียนทันตแพทย์ แต่แม่ก็โดนคนในหมู่บ้านปั่นหูมาครับว่าเรียนอันนี้หมดเงินเยอะนะ ส่งเรียนไม่ไหวหรอก แม่ไม่ได้บอกผมหมด แต่แม่พูดว่ามีเยอะมากคนที่ดูถูกเรา ผมกับแม่ก็ปรึกษากันครับว่าแม่ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าไปเรียนก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆผมค่อยดรอปเรียนออกมาหาเงินก่อน สุดท้ายผมกับแม่ก็กัดฟันสู้ครับ พอช่วงท้ายๆเทอม ม.6 คุณครูประจำชั้นท่านเดิมแหละครับ ลืมบอกไปว่าโรงเรียนผมเรียนตลอดทั้ง 3 ปี ม.4-6 ครูประจำชั้นคนเดิมตลอด ท่านก็ไปคุยกับรอง ผ.อ. ให้ว่ามีเด็กสอบติดทันตแพทย์นะ แต่ที่บ้านยากจนมากจะช่วยยังไงดี รอง ผ.อ. ขับรถพาไปหาพระรูปนึงที่วัดดังของจังหวัดเลยครับเย็นวันนั้น และพระท่านก็รับปากว่าจะช่วยส่งเสียผมเรียนให้จบครับ ตอนนั้นดีใจมาก บอกแม่ไปก็เห็นแววตาดีใจมากๆของแกเช่นกัน ตอนเรียนปีแรกก็ได้กู้ กยศ ต่อครับ กู้ค่าเทอมได้ กับค่าครองชีพ ตอนนั้นได้เดือนละ 2200 บาท บวกกับแม่ตัดใจเอาที่ไปจำนองครับ จำนองกับพวกสินเชื่อเงินด่วน ผมไม่ค่อยรู้อะไรมาก แม่มีที่ดินแปลงเดียวครับ ยายโอนให้แม่เฉยๆ เพื่อที่แม่จะได้เอาที่ไปเข้าธนาคารเอาเงินมาหมุน แต่สิทธิทำกินแม่ไม่ได้อะไรเลยนะครับ ที่ดินนั้นแม่ไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้ แม่เอาเข้าบริษัทพวกเงินด่วนอะไรนี่แหละ ได้มา 50000 บาท ที่เอาแค่นี้เพราะตอนนั้นคือคิดกันไว้ว่าซัก 1 ปีจะหาเงินมาปิดและเอาโฉนดออกมา แต่จนแล้วจนรอดก็หาเงินมาไม่ได้ครับ ผมได้รับการช่วยเหลือจากหลวงพ่อเทอมละ 2 หมื่นบาทครับ จริงๆหลวงพ่อท่านบอกว่าถ้าไม่พอให้ขอเพิ่มได้นะ แต่ผมเกรงใจมากครับ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกับหลวงพ่อท่าน เลยไม่กล้าขอครับ หลวงพ่อท่านเองก็ไม่ใช่ว่าจะมีเงินครับ ท่านก็ขอจากญาติโยมชาวบ้านหาเช้ากินค่ำนี่แหละมาช่วยเหลือส่งเสียผมเรียน หลังจบปี 1 เทอม 1 หมดเงินไปประมาณ 60000 ครับ อันนี้จากที่แม่ผมเขียนลงบัญชีไว้ พอปี 1 เทอม 2 ก็เรียนวิชาบรรยายส่วนใหญ่เหมือนเดิมครับเลยไม่ค่อยได้ใช้จ่ายอะไร ก็หมดไปพอๆกันครับ แต่เทอมสองผมต้องตัดใจซื้อโน๊ตบุ๊คด้วยเพราะใช้ของฟรีมหาลัยทำงานกลางคืนไม่ได้แล้วครับ ซื้อมา 15000 บาท เทอมนี้หมดไปประมาณ 80000 ครับ เงินที่แม่จำนองที่ได้หมดไปแล้วครับ จากนั้นก็เข้าปีสอง ปีนี้ก็เรียนวิชาบรรยายส่วนใหญ่เหมือนกัน หมดไปอีกเทอมละ 70000 บาทครับ หลวงพ่อ 20000 กยศ 26000 แล้วก็เงินที่แม่รับจ้างหามาอีก 30000 บาทครับ จากที่ผมเรียนปีสองจบ ปีสามเป็นชั้นปีที่ใช้เงินเยอะมากครับ เพราะต้องทำแลปทางทันตกรรม ซื้อของตอนต้นเทอมก็หมดเงินไปเกือบหลัก 40000 สุดท้ายแม่ตัดสินใจจะขายที่ครับ ตอนนั้นขายที่ไปราคารวมปิดหนี้ 300000 บาทครับ สุทธิแล้วจะเหลือเงิน 250000 บาท แต่ยายบอกว่าที่เป็นของแก แกจะเอาครึ่งนึง คือ 150000 บาท เหลือสุทธิให้แม่แค่ 100000 ครับ แต่ทำไงได้ครับแม่ก็ต้องยอม เป็นมรดกที่ต้องคืนให้ 5555 ตลกร้ายเลยล่ะครับ จริงๆตากับยายมีลูก 3 คนครับ แม่ผมเป็นลูกสาวคนโต มีลูกชายคนกลางที่แกรักมาก ตอนผมยังอยู่มัธยมมีที่ดินแปรงนึง 18 ไร่เป็นที่สวนยางครับ เป็นแปลงเดียวกันกับที่แม่ผมขายอ่ะแหละ แกแบ่งให้แค่ลูกชายคนกลางกับลูกสาวคนเล็กเลย แม่ผมไม่ได้อะไรเลยตอนนั้น แต่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นครับ ลูกชายคนกลางเสียชีวิตครับ ที่ตรงนั้นเลยจะเอาให้แม่ผม แต่รู้อะไรไหมครับ ตอนแบ่งให้ลูกคนกลางกับลูกคนเล็กอ่ะครับให้ลูกชาย 10 ไร่ ลูกสาวคนเล็ก 8 ไร่ พอลูกชายเสีย แทนที่จะเอาให้แม่ผมทั้งแปลง แกแบ่งให้แม่แค่ 4 ไร่ อีก 6 ไร่ยกให้ลูกสาวคนเล็กครับ แม่น้อยใจจนถึงทุกวันนี้ กลับมาที่ผมเปิดเทอมปี 3 นอกจากค่าอุปกรณ์ 4 หมื่นแล้ว ตอนนี้ผมต้องตัดใจออกมาอยู่หอนอกครับ เพราะเรียนหนักไม่มีเวลาทำกิจกรรมเลยต้องออกมาอยู่หอนอก ค่าใช้จ่ายที่แทบจะไม่พอติดลบทันทีครับ เพราะหอนอกมีค่าใช้จ่ายแบบตายตัวที่เดือนละ 3000 รวมค่าน้ำค่าไฟ 3500 ผมต้องตัดใจอยู่คนเดียวด้วยครับ เพราะทำงานดึก ตอนทำงานมันมีเสียงด้วย ต้องขัดๆ ถูกๆ กรอๆ เสียงเหมือนตอนช่างมาก่อสร้างที่บ้านแหละครับ แต่เบากว่าเพราะของชิ้นเล็กกว่า เวลาเรียนหนักแล้วช่วงแรกซักผ้าเอง แต่ช่วงหลังไม่ไหวครับเลยต้องส่งซักเดือนละ 500 บาท หมดเทอม 1 เกือบตายครับ ดีที่เทอมนี้ผมทำงานพิเศษ เป็นติวเตอร์สอนเด็กนักเรียน จันทร์ถึงศุกร์เวลา 16.30-18.30 น. จะไปสอนให้โรงเรียนกวดวิชาครับ ได้ชั่วโมงละ 500 ต่อเด็ก 80 คน ตอนนั้นคือถูกกดราคามากครับแต่ต้องยอม เพราะไม่รู้จะทำอะไร อีกอย่างเราเป็นนักศึกษาด้วย สอนช่วงที่เด็กปิดเทอมเดือนตุลา กับช่วงมีนาถึงพฤษภาอ่ะครับ ช่วงตุลาได้สอนหลัก 30 ชม ก็ได้มา 15000-20000 บาทครับ ส่วนเมษาก็ได้หลัก 60 ชม ได้มา 30000-40000 บาทครับ คิดดูครับเรียนหนักมากตอนปี 3 หลังเลิกเรียนมาสอนพิเศษรอบแรกถึง 18.30 กลับคณะมาทำงานแลปต่อบางวันตอนกลางคืนต้องไปสอนพิเศษอีก บางคืนสอนถึงเที่ยงคืนครับ จำได้ว่าบางทีสอนดึก จะกลับไปหอก็หมดรถแล้ว เดินครับ 3-4 กิโล กลัวมากครับแต่ความจนน่ากลัวกว่าครับ สอนอย่างนี้จนถึงปี 6 เลยครับ เหนื่อยมากแต่ก็คุ้มกับประสบการณ์ที่ได้ครับ
วันนี้ผมง่วงมากแล้วเดี่ยวมาต่อพรุ่งนี้นะครับ ยังตอบคำถามไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ เพราะผมเอาปัญหาในปัจจุบันมาถามครับ แต่เรื่องที่ผมเล่าอยู่นี่เป็นชีวิตในอดีตครับ ผมลำบากมากในอดีตจนมีความคิดว่าทำไมเราต้องลำบากขนาดนั้นเพื่อให้มีวันนี้ที่คนรอบตัวอาศัยแค่ว่าเป็นญาติแต่ไม่เคยยื่นมือมาช่วยเหลือเลย ทุกคนมารุมกินโต๊ะผมซะเหลือเกิน
วันนี้ผมง่วงมากแล้วเดี่ยวมาต่อพรุ่งนี้นะครับ ยังตอบคำถามไม่ได้ใช่ไหมล่ะครับ เพราะผมเอาปัญหาในปัจจุบันมาถามครับ แต่เรื่องที่ผมเล่าอยู่นี่เป็นชีวิตในอดีตครับ ผมลำบากมากในอดีตจนมีความคิดว่าทำไมเราต้องลำบากขนาดนั้นเพื่อให้มีวันนี้ที่คนรอบตัวอาศัยแค่ว่าเป็นญาติแต่ไม่เคยยื่นมือมาช่วยเหลือเลย ทุกคนมารุมกินโต๊ะผมซะเหลือเกิน
แสดงความคิดเห็น
อยากปรึกษาปัญหาชีวิตครับ (ไม่รู้เรียกปัญหาชีวิตได้ไหม)
1. ผมควรจัดการกับบรรดาญาติๆยังไงดีครับ (1. พ่อและน้องสาวต่างแม่ 2. ตายาย น้าสาวและลูกๆของเธอ)
2. คิดว่านับจากนี้อีก 6 เดือนผมควรซื้อบ้านไหมครับ
3. ถ้าซื้อบ้าน ผมต้องปิดหนี้รถก่อนไหมครับ ในกรณีที่มีเงินปิดครับ
ก่อนจะตอบคำถามได้มาฟังนิทานกันครับ 5555 เป็นมหากาพย์ชีวิตผมเอง ผมพยายามเล่าให้เป็นกลางมากที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าบางคำอาจจะเข้าข้างตัวเองไปหรือป่าว เพราะคนเรามี bias อยู่แล้วครับ อีกอย่างบางเรื่องอาจจะไม่เกี่ยวหรือเกี่ยวน้อยมากในความรู้สึกคนอ่าน แต่ช่วยรับฟังอย่างใจเย็นด้วยนะครับ 5555
เริ่มต้นครับผมเป็นเด็กบ้านนอกคนนึงที่ใช้ชีวิตอยู่แบบบ้านๆ บ้านปูนเก่าๆแบบสร้างไม่เสร็จ หลังคารั่ว (ที่ไม่เสร็จไม่ใช่เพราะไม่มีเงินสร้างนะครับ แต่พ่อเป็นช่างด้วย แกเป็นคนที่ไปสร้างแต่บ้านของคนอื่น แต่ไม่ยอมสร้างบ้านตัวเอง อาจจะเพราะแกขี้เกียจหรือป่าวผมก็ไม่แน่ใจ) เรียนในโรงเรียนประถมบ้านๆที่จำนวนนักเรียนหลักสิบถึงหลักร้อยครับ ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 5 บาท 5555 ชีวิตตอนนั้นถือว่าไม่แย่ครับ เท่าที่จำความได้ พ่อและแม่เป็นเกษตรกร ทำนาโดยกำเนิดเลยครับ ช่วงว่างจากการทำนา พ่อมีอีกอาชีพคือเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างครับ ส่วนแม่ก็เป็นแม่บ้าน ทำกับข้าวขายบ้าง ขายส้มตำบ้าง แม่แต่งงานย้ายมาอยู่กับปู่และย่า ปู่กับย่าตอนนั้นถือว่าเป็นคนมีเงินพอสมควรครับ มีหน้ามีตาในหมู่บ้าน มีที่ดินร้อยกว่าไร่ครับ ผมสนิทกับย่ามาก ตอนว่างๆเสาร์อาทิตย์จะเข้าไปนวดไปทำอะไรกินที่บ้านย่าครับ บางทีย่าก็พาผมเข้าไปเยี่ยมน้องสาวแกในเมือง ได้เที่ยวห้างสนุกๆตามสไตล์เด็กๆในยุคนั้น ย่าก็มีเงินพอสมควรครับ ปู่เป็นนายหน้าขายดิน (ในที่นี้คือขายดินที่เอาไว้ถมที่ปลูกบ้านอะครับ ไม่ใช่ขายที่ดินนะครับ แบบมีรถแบคโฮ รถขนดิน แล้วปู่เป็นนายหน้าขายว่าจะเอาดินกี่รถอะไรแบบนี้อ่ะครับ จำได้คร่าวๆว่าได้ค่านายหน้าขายดินรถละ 10-20 บาทนี่แหละครับ แต่วันนึงขายดินได้หลัก 100-300 รถครับ ทำแบบเกือบทั้งอำเภอ รายได้ต่อวันก็ถือว่าเยอะครับในยุคนั้น ทำเป็นช่วงๆ ช่วหน้าแล้ง ประกอบกับที่แกมีที่ดินเยอะ ให้คนปลูกข้าวให้แล้วแบ่งข้าวมา คนปลูก 2 ส่วน เจ้าของที่นา 1 ส่วน เช่น ทำนาแปลงนี้ได้ข้าว 3 ตัน แบ่งคนปลูก 2 ตัน เจ้าของที่นาได้ 1 ตัน ขายข้าวรอบนึงก็ได้เยอะครับ บวกกับอาคนนึงได้แฟนเป็นคนอเมริกา แกให้ย่าเดือนนึง 500-1000 เหรียญเลยครับ ผมใช้ชีวิตแฮปปี้มากจนกระทั่งย่าผมเสียตอน ป.6 ย่าจากไปด้วยโรคปอดครับ แกป่วยอยู่นานกว่าจะเสีย หมดค่าหมอค่าโรงพยาบาลไปเยอะมากครับ แม่เล่าให้ฟังว่าตอนแกป่วย เอาทองแกไปขายเกือบ 50 บาทแหนะ สมัยที่ขายราคาทองน่าจะหมื่นกว่าบาทมั้งครับ ขายนู้นนี่นั่นสมบัติไปเยอะเหมือนกันครับ แกรักษาใน รพ.เอกชนครับเลยหมดเยอะ สุดท้ายก็ยื้อไว้ไม่ไหวครับ แกก็จากไป จำได้ว่าตอนนั้นร้องไห้หนักมากครับ ผมได้นิสัยการใฝ่รู้ใฝ่เรียนมาจากย่า (คนแก่เค้าจะชอบพูดว่า เรียนสูงๆนะ โตไปจะได้เป็นเจ้าคนนายคน) ก็ไม่มีอะไรครับ ชีวิตเราก็ต้องดิ้นรนต่อ พอย่าจากไปผมก็ไม่ค่อยได้เข้าไปบ้านย่าอีกเลย เพราะไม่สนิทกับปู่ครับ และมีอาคนเล็กที่อยู่กับแกและก็แฟนอาอยู่ด้วยเลยไม่ค่อยได้เข้าไป พอจบประถมผมก็เข้ามัธยมต้นครับ มัธยมก็เข้าเรียนโรงเรียนอำเภอ นักเรียนหลักพันครับ เป็นเด็กเรียนดีคนนึงครับ อาจารย์เลยเอ็นดู ที่บ้านก็เหมือนเดิมครับ พ่อทำอาชีพรับเหมา แม่อยู่บ้านเลี้ยงลูก ลืมบอกไปนอกจากผมมีน้องชายอีกคนนะครับ ห่างจากผม 10 ปี ชีวิตก็ปกติเหมือนคนอื่นครับ จนกระทั่ง ม.2 แม่จับได้ครับว่าพ่อแอบไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย วันนั้นเป็นวันที่ครอบครัวผมไม่เหมือนเดิมอีกเลย พอโดนจับได้พ่อก็หนีเข้า กทม. กับเมียน้อยแกครับ อยู่ได้ 6-7 เดือนแกก็กลับครับ คือทิ้งเมียน้อยไปเลย เอาจริงก็แอบสงสารเค้านิดหน่อยนะครับตอนนั้น ทำไมได้เค้าแล้วถึงทิ้งเค้าได้ลงคอ ลืมบอกไปว่าเมียน้อยคนแรกแกก็คือคนงานที่เป็นลูกน้องแกนั่นแหละ แกกลับบ้านมาก็มาขอโทษครับ มีผู้ใหญ่มาออกหน้าเคลียร์ให้ แม่ก็ไม่ได้การศึกษาสูงอะไรครับ จบ ป.6 ลูกก็ตั้ง 2 คน ในความคิดแกแกคงคิดว่าชั้นเรียนมาแค่นี้จะเอาเงินที่ไหนเลี้ยงลูกให้โตตั้งสองคน ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าความรู้สึกแม่เป็นยังไง แต่สุดท้ายแม่ก็ยอมให้พ่อกลับมาอยู่ด้วยกัน พ่อก็สัญญามั่นเหมาะว่าจะไม่ทำอีก ก็ดำเนินชีวิตต่อไป จนกระทั่งผมเรียน ม.3 ครับเทอมแรก ช่วงปลายเทอมพ่อได้งานรับเหมาที่ต่างอำเภอ ห่างจากบ้านเป็น 100 กิโล ช่วงเริ่มงานผมใกล้ปิดเทอมแล้วครับ ช่วงแรกพ่อไปคนเดียวเพราะผมยังเปิดเทอมอยู่ พอปิดเทอมก็เลยย้ายทั้งครอบครัวไปอยู่ในแคมป์ก่อสร้างครับ ก็อย่างที่ทุกคนเข้าใจครับ เป็นห้องล้อมด้วยสังกะสี ลืมบอกไปคือพ่อเป็นผู้รับเหมาที่ค่อนข้างเก่งครับ ความรู้อาจจะไม่ได้มีแบบวิศวกร แต่แกสามารถทำงานรับเหมาหมดเลยได้นะครับ ทำงานเหมือนเป็นวิศวกรเลยครับ งานที่รับเหมาเป็นบ้านฝรั่ง ค่าก่อสร้างประมาณ 2.5 ล้านครับ จำตัวเลขเป๊ะไม่ได้ แม่บอกมาประมาณนี้ครับ ช่วงนั้นผมเกิดอุบัติเหตุครับ หกล้มขาหัก 5555 ก็ไปหาหมอใส่เฝือกปกติ พอใกล้เปิดเทอมแม่เลยต้องกลับมาอยู่บ้าน ช่วงที่พ่ออยู่นั่นคนเดียวนั่นแหละครับ เกิดเรื่องอีกแล้ว พ่อแอบไปเลี้ยงเด็กอีกแล้ว รอบนี้พ่อแบบดูจริงจังมาก แบบจนสาวคนนั้นท้องเลยครับ ตลกร้ายมาเยือนทันทีครับ แม่รับไม่ได้อย่างแรง คือเมียน้อยพ่อโทรมาเยาะเย้ยแม่เลยครับ แบบตอนนั้นผมยังเด็กมาก ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร จำได้มีครั้งนึงแม่กำลังทำนาอยู่นี่แหละครับ น่าจะช่วงปักดำ เมียน้อยโทรมาเยาะเย้ยแม่ แม่เปิดลำโพงให้ฟังเลย อือหืมคือตอนนั้นคือเหมือนฉากเมียน้อยเย้ยเมียหลวงเหมือนละครเลย สุดท้ายแม่ก็ไม่ทนครับ บอกว่าไม่เอาแล้ว เห็นแม่แอบร้องไห้ด้วย แม่เครียดจนอ้วกออกมาเลยก็มีครับ น้ำหนักแม่ลงเกือบ 20 กิโลกรัมเลย ผมสงสารแม่มาก พิมพ์อยู่นี่ยังน้ำตาไหลเลยเพราะฉากนั้นยังจำได้ดีเลย ตั้งแต่นั้นมาพ่อกับแม่ก็แยกกันอยู่ แม่อยู่บ้านหลังปัจจุบันที่เป็นสินสมรสที่ร่วมกันสร้างมา แต่ที่ดินเป็นมรดกของย่าครับก็อยู่มาเรื่อยๆ พ่อไม่ค่อยติดต่อไปหาแม่เลย นานๆทีติดต่อมาบ้าง เงินก็ไม่เคยส่งเสียผมอีกเลย ผมพอเรียนจบ ม.3 ก็ไปเข้าค่ายติวหนังสือครับ จำได้ว่าน่าจะเป็นค่ายของนักศึกษาแพทย์ซักมหาลัยนี่แหละ ตอนนั้นรู้เลยครับว่าอยากเป็นหมอ เลยกลับมาดูโรงเรียนตัวเอง พบว่าตั้งแต่ตั้งโรงเรียนมา มีรุ่นพี่ได้คะแนนสอบถึงแค่พยาบาลครับ ไม่มีคนได้เรียนแพทย์เลย เลยต้องพยายามหาโรงเรียนที่ใกล้บ้านแต่สามารถส่งผมถึงฝันได้ มหากาพย์ความลำบากบทแรกเลยเริ่มขึ้นมาครับ
ด้วยความที่โรงเรียนที่เรียนตอน ม.ต้นไม่เคยมีคนได้เรียนแพทย์เลย เลยต้องไปเรียนโรงเรียนประจำจังหวัดครับ ไม่งั้นไม่น่ามีที่ไหนส่งผมถึงฝั่งฝันได้ เลยไปสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดครับแล้วก็สอบเข้าได้ด้วย จำได้ว่าสอบเข้าได้คะแนนอันดับ 3 ของโรงเรียนเลย พอสอบติดกับสิ่งที่จะไปเรียนมันไม่เหมือนกันครับ แม่ไม่ให้ไป เพราะไม่มีเงิน คิดดูว่าตอนนั้นผมอยู่ ม.3 จะขึ้น ม.4 ต้องคิดทุกวิถีทางเพื่อหาเงินมาให้ได้ไปเรียนต่อครับ จนถึงวันมอบตัวก็ไม่ได้ไป มีคุณครูที่โรงเรียนโทรมาหาเลยครับตอนนั้น เลยบอกคุณครูไปว่าที่บ้านไม่มีเงินครับน่าจะไม่ได้ไป คุณครูก็บอกว่าขอคุยกับแม่หน่อย แม่คุยกับคุณครูซักพักแกก็เลยบอกว่าพรุ่งนี้ไปมอบตัวกัน จำได้ว่าชีวิตตอนมอปลายของตัวเองขั้นสุดมาก เข้า ม.4 ไปต้องยื่นกู้ กยศ ตอน ม.4 ได้ค่าครองชีพ 1100 บาท แต่เอาไว้สำหรับเป็นค่าหอหารกันอยู่กับเพื่อน ขอบคุณเพื่อนคนนั้นและพ่อแม่เค้ามากครับ จริงๆเพื่อนมันอยากอยู่คนเดียวด้วยซ้ำ แต่เพราะพ่อแม่มันอยากช่วยเหลือผมด้วยเลยบังคับให้ลูกอยู่กับผม 5555 ทุกวันนี้ผมยังแอบเอาของขวัญส่งไปให้บ่อยๆอยู่เลยครับ ด้วยความที่ขยันมากครับเพราะอยากเป็นหมอ ผลการเรียนเลยออกมาดีมากครับ แบบตอนนั้นคือเพื่อนคือแทบไม่มี เพราะเด็กหอส่วนใหญ่ตอนเย็นจะชวนกันไปกินข้าว กินนมปั่นข้างโรงเรียน ผมไม่ค่อยมีเงินหรอกครับเลยไม่ค่อยได้ไป เอาแต่อ่านหนังสืออยู่ในห้อง ทำโจทย์ อ่านหนังสือ ตอนนั้นคือโทรศัพท์ก็ไม่มี เข้าร้านอินเทอร์เน็ตชั่วโมงละ 10 บาทยังไม่ค่อยได้เข้าเลยครับ ตอนนั้นมีเพื่อนเป็นหนังสือจริงๆ หนังสือในห้องสมุดที่โรงเรียน ผมอ่านและทำโจทย์น่าจะครึ่งนึงได้มั่งครับ 555 ครูบรรณารักษ์เอ็นดูผมมาก ห่อข้าวมาให้กินบางวัน วันไหนครูห่อข้าวมาก็จะไม่เปลืองเงินค่าอาหารกลางวันเลย ขอบคุณคุณครูมากครับ ครูประจำชั้นตอนนั้นก็รู้ว่าที่บ้านผมจนมากก็ขอทุนให้ แต่ที่โรงเรียนไม่มีครูทำเกี่ยวกับทุนการศึกษาครับ ครูเลยบากหน้าไปขอทุนกับร้านค้าในจังหวัด ได้ตอนเทอมแรก 8000 เทอมต่อมาก็ได้มากบ้างน้อยบ้างครับ ครั้งละ 3000-5000 บาทนี่แหละมั้งครับ ช่วงที่เรียนในโรงเรียนเลยไม่ค่อยลำบากมาก แต่ยังไงมันก็มีค่าใช้จ่ายอื่นๆตามมาทุกทีครับ ทุกวันเสาร์อาทิตย์ต้องนั่งรถตอนเย็นวันศุกร์กลับบ้านไปทำงานช่วยแม่ ช่วงทำนาก็ไปรับจ้างถอนต้นกล้าข้าว มัดละ 3-5 บาท เหนื่อยมาก ตอนนั้นมือนี่ทั้งแตกทั้งถลอกแบบมือแสบมากครับ ไปรับจ้างได้วันละ 80-120 มัดครับ อยู่ที่ัความยากง่าย ได้มาเสาร์อาทิตย์ละ 600-900 บาทครับ ผมก็เอาเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายในโรงเรียนช่วงจันทร์ถึงศุกร์ ช่วงไหนเงินขาดมือแม่ก็จะไปขอยืมจากยายครับ ยืมนะครับไม่ได้ให้เลย ตอนนั้นคือมีอะไรขายหมดครับ เพราะแม่ตั้งปณิธานว่าจะต้องส่งผมเรียนให้จบให้ได้ คุณครูที่โรงเรียนเห็นว่าเรียนดีครับ เลยให้ไปเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนกับเพื่อนแบบไม่เก็บค่าเรียนครับ เพราะผมอยากเป็นหมอด้วย คุณครูก็พยายามจะช่วยผมให้ได้ คุณครูประจำชั้นเคยมาถามด้วยซ้ำว่าไม่ถนัดวิชาไหนเป็นพิเศษแล้วเรียนกับคุณครูที่โรงเรียนไม่เข้าใจบ้าง ตอนนั้นก็ตอบไป คุณครูแกไปสมัครเรียนกับกวดวิชาในจังหวัดโดยออกเงินให้เลยครับ แต่เรียนแค่วิชาเดียวนะครับ ตอนนั้นก็กลัวทำคณิตศาสตร์ไม่ได้ครับ เพราะว่าข้อสอบยากมาก ที่จริงมีภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยได้เหมือนกันแต่รู้สึกว่าวิชาเลขน่าจะยากกว่า ตอบครูไปแค่นั้น ภาษาอังกฤษก็เรียนกับครูที่โรงเรียนครับ เป็นแบบนี้เรื่อยๆครับ ช่วง ม.5 ผมมีรายได้พิเศษอย่างหนึ่งคือการเดินสายสอบชิงรางวัลครับ ตอนนั้นรู้เลยว่าความรู้สามารถแลกเป็นเงินได้ ไปสอบทุกวิชาครับ เลข ชีวะ การแพทย์ เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เกือบทุกอันมีชื่อผมไปสอบหมดเลย 55555 บางครั้งได้รางวัลบ้าง ไม่ได้บ้างครับ แต่บางครั้งรางวัลใหญ่ก็มีครับ จำได้ว่าสอบอะไรซักอย่างเกี่ยวกับวิชาสังคมศึกษาตอนนั้นผมกับเพื่อนอีกสองคนได้เงินรางวัล 50000 บาทเลย หารกันก็ได้คนละ หมื่นกว่าบาท พอขึ้น ม.6 เท่านั้นแหละครับ ค่าสมัครสอบมโหราฬมาก แพทย์บางที่ค่าสมัครเป็นพันเลยอดสอบครับ จำได้ว่าไม่ได้สอบแพทย์โครงการนึงเพราะค่าสมัครสอบแพงมาก ไหนจะค่ารถไปสอบ ค่าหอ ค่าอาหารอีก เลยไม่ได้สอบ คุณครูประจำชั้นเรียกไปเฉ่งเลยครับว่าทำไมไม่บอกครู ตอนนั้นก็แบบยังเด็กอยู่ก็เลยไม่ได้คิดไรมาก ยอมรับไปเลยว่าไม่กล้ารบกวนครูครับ ครูช่วยผมมาเยอะแล้ว ผมจะรอสอบอีกโครงการที่มีโอกาสติดมากกว่าครับ อดสอบแพทย์ไปหลายสนามสอบเหมือนกันเพราะไม่มีเงินค่าสมัครสอบ คือตอนนั้นช่วง ม.6 น่าจะมีเงินค่าสมัครสอบอยู่แค่ 6000 บาทมั้งครับ เงินที่เก็บใส่กระปุกออมสินไว้ สุดท้ายสอบไม่ติดแพทย์ครับได้ทันตแพทย์แทน 55555 น่าจะสอบไม่ผ่านเกณฑ์วิชาคณิตศาสตร์มั้งครับ เลยอดเรียนแพทย์เลย
เดี่ยวจะมาต่อนะครับ