🇹🇭มาลาริน💛วันนี้(2ส.ค.)ป่วย17,970คน รักษาหาย13,919คน เสียชีวิต178คน/77จว.ติดเชื้อ/2สัปดาห์กู้โควิด/อภ.ผลิตยาต้านโควิด

เพี้ยนแคปเจอร์โควิดวันนี้ ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 17,970 ราย เสียชีวิตอีก 178 ราย



สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ โควิด-19 ในไทยวันนี้ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 17,970 ราย แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อใหม่ 17,795 ราย และผู้ติดเชื้อในเรือนจำ 175 ราย ยอดติดเชื้อรวมระลอกเมษายน 604,421 ราย รวมยอดติดเชื้อสะสม 633,284 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 178 ราย เสียชีวิตสะสม 5,168 ราย หายป่วยเพิ่ม 13,919 ราย รักษาตัวอยู่ 208,875 ราย

รายละเอียดผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ จำนวน 17,970 ราย มีดังนี้....👇
 
1.ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ 13,567 ราย
2.ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 4,217 ราย
3.จากเรือนจำ/ที่ต้องขัง 175 ราย
4.เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้า State Quarantine 11 ราย


รายละเอียดผู้เสียชีวิต จำนวน 178 ราย มีดังนี้


https://www.sanook.com/news/8419818/

เพี้ยนปักหมุดจํานวนผู้ติดเชื้อโควิดในประเทศรายใหม่ วันที่ 2 สิงหาคม 2564 ตรวจสอบ 10 จังหวัดอันดับแรก 
 


การขยายระยะเวลาล็อกดาวน์ เริ่มบังคับใช้เมื่อใด? เริ่มบังคับใช้วันอังคารที่ 3 ส.ค. 64 เป็นระยะเวลา 14 วัน โดยจะมีการพิจารณาทบทวนผ่อนปรนหรือยืดระยะเวลาการล็อกดาวน์อีกครั้งในวันที่ 18 ส.ค. 64

มาตรการป้องกันควบคุมโควิดแต่ละพื้นที่

พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
1. จำกัดการเดินทาง ห้ามออกนอกเคหสถาน 21.00-04.00 น.
งดบริการขนส่งข้ามเขตจังหวัด
2. ห้ามจัดกิจกรรม รวมกลุ่มมากกว่า 5 คน
3. ห้ามบริโภคในร้านอาหาร เปิดได้ไม่เกิน 20.00 น. งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน
4. ศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้า เปิดบริการได้เฉพาะร้านอาหาร/เครื่องดื่ม ผ่าน Delivery Service ร้านขายยา/เวชภัณฑ์ ซูเปอร์มาเก็ต เปิดได้ไม่เกิน 20.00 น.
5. ร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม ปิด
6. สถานศึกษาทุกระดับ สถานกวดวิชา ห้ามใช้อาคารในการเรียน การสอนที่มีคนจำนวนมาก
7. สถานที่เล่น หรือแข่งกีฬา ปิด

พื้นที่ควบคุมสูงสุด
1. ตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจ หรือจุดสกัดการเดินทาง
2. ห้ามจัดกิจกรรม รวมกลุ่มมากกว่า 20 คน
3. ร้านอาหาร ห้ามบริโภคในร้าน เปิดได้ไม่เกิน 20.00 น. งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน
4. ศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้า เปิดได้ตามปกติ จำกัดจำนวนคน/งดจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย
5. ร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม เปิดได้ตามปกติ
6. สถานศึกษาทุกระดับ สถานกวดวิชา ให้ใช้อาคารในการเรียนการสอนที่มีคนจำนวนมาก โดยผ่านความเห็นชอบคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
7. สถานที่เล่น หรือแข่งกีฬา เปิดได้ทุกประเภทไม่เกิน 21.00 น. จัดการแข่งขันโดยจำกัดผู้ชม

พื้นที่ควบคุม
1. ไม่จำกัดการเดินทาง
2. ห้ามจัดกิจกรรม รวมกลุ่มมากกว่า 50 คน
3. ร้านอาหาร บริโภคในร้านได้ตามปกติ งดจำหน่ายและดื่มสุราในร้าน
4. ศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้า เปิดได้ตามปกติ ยกเว้นเครื่องเกมส์/สวนสนุก
5. ร้านเสริมสวย ร้านนวด สถานเสริมความงาม เปิดได้ตามปกติ
6. สถานศึกษาทุกระดับ สถานกวดวิชา ให้ใช้อาคารในการเรียนการสอนที่มีคนจำนวนมาก โดยผ่านความเห็นชอบคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด
7. สถานที่เล่น หรือแข่งกีฬา เปิดได้ทุกประเภท จัดการแข่งขันโดยจำกัดผู้ชม
ทุกระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร ต้องมีมาตรการ
- สวมหน้ากากอนามัยทั่วราชอาณาจักร
- ปิดสถานบริการ สถานบันเทิง และสถานบริการอื่นในลักษณะคล้ายกัน

*หมายเหตุ* ทุกกิจกรรมกิจการ ต้องดำเนินการตามมาตรการป้องกันโควิด 19 ที่ราชการกำหนด DMHTTA อย่างเคร่งครัด

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/952323

ปูเสื่อเปิดผลคาดการณ์‘ล็อกดาวน์’ สธ.ขอร่วมมือเข้ม 2 สัปดาห์ เวลาทองกู้วิกฤตโควิด


 
2 สิงหาคม 2564 ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ปลัด สธ.) พร้อมด้วย นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงผลการใช้มาตรการล็อกดาวน์ ในประเทศไทย และการวิเคราะห์สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : สธ.ชี้‘เดลต้า’แรงขึ้น 3 เท่า แจงปมร้านอาหารในห้าง ทำไมต้องผ่าน‘เดลิเวอรี’เท่านั้น)

นพ.เกียรติภูมิ แถลงผลจากการล็อกดาวน์ ว่า สถานการณ์ทั่วโลกมีการติดเชื้อโควิด 19 สะสม 199 ล้านคน ถือเป็นช่วงขาขึ้นจากการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากที่ก่อนหน้านี้ทั่วโลกชะลอการระบาดไป แต่ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมามีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นประมาณ 4-6 แสนรายต่อวัน เสียชีวิตสะสม 4.24 ล้านคน คิดเป็น 2.13%
 
สำหรับประเทศไทยติดเชื้อใหม่วันนี้ 17,970 ราย รักษาหาย 13,919 ราย อยู่ระหว่างรักษา 208,875 ราย และเสียชีวิต 178 ผู้ป่วยใหม่ยังเพิ่มขึ้น จากการคาดการณ์การติดเชื้อและเสียชีวิตหลังดำเนินการล็อกดาวน์ พบว่า ตัวเลขสถานการณ์จริงทั้งการติดเชื้อและเสียชีวิตใกล้เคียงตัวเลขคาดการณ์ประสิทธิภาพการล็อกดาวน์ 20% อย่างไรก็ตาม หากเพิ่มประสิทธิภาพการล็อกดาวน์เป็น 25% ร่วมกับการฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ จะทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตลดลงค่อนข้างมาก ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพแค่ 5% ก็จะมีผลอย่างมาก ขณะนี้เราจึงต้องร่วมกันควบคุมการติดเชื้อ ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนช่วยกันล็อกดาวน์ให้ถึง 25% ทั้งเรื่องของงดการเดินทาง การไปพบปะ การดูแลตนเองที่ต้องทำเข้มขึ้น จะทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อและเสียชีวิตจะลดลงรวดเร็วเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค หรือ CDC สหรัฐ พบว่า โควิดเป็นสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งผู้ป่วย 469 รายพบว่า 74% หรือ 346 ราย ของผู้ติดเชื้อฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเป็นสายพันธุ์เดลต้า 90% ดังนั้นการป้องกันตัวเองจึงยังสำคัญ ทั้งสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง เป็นต้น
 
“ทุกมาตรการที่รัฐบาลออกไปเป็นการขอความร่วมมือ ยังไม่ได้ใช้มาตรการทางกฎหมาย คนไทยต้องแสดงให้เห็นว่าภาวะวิกฤต ความร่วมมือมีค่ามากที่สุดในการลดการติดเชื้อ ขอให้กลับไปนึกถึงตอน เม.ย.ปีที่แล้ว อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อทุกคนไม่ติดโรค ไม่แพร่กระจายโรคต่อไป จึงขออีก 2 สัปดาห์ หลังล็อกดาวน์จาก 13 จังหวัดเป็น 29 จังหวัด ถ้าสามารถกดลงมาได้โดยประสิทธิภาพของการล็อกดาวน์เพิ่มอีก 5% ลักษณะการติดเชื้อ การป่วยหนัก และเสียชีวิตจะลงมาในระดับควบคุมได้ต่อไป ขอให้อยู่บ้านเพื่อหยุดเชื้อเพื่อเราทุกคน” นพ.เกียรติภูมิกล่าว

ด้าน นพ.โสภณ กล่าวว่า สำหรับข้อมูลโมบิลิตี ติดตามการเคลื่อนย้ายรถและการเดินเท้า หลังประกาศลดการเดินทางตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่แล้วพบว่ามีแนวโน้มลดลง แต่ยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อย่าง กทม.และชลบุรี ปีที่แล้ว สามารถลดลงได้ 80 กว่า % ส่วนปีนี้ทำได้เพียง 70กว่า % ต้องขอความร่วมมือเพื่อให้ความเสี่ยงลดลง เชื้อโรคจะไม่มีที่ไปต่อ ถ้าลดการเดินทาง เชื้อโรคก็ลดโอกาสแพร่เชื้อ
 
เมื่อถามว่าคาดผลลัพธ์การล็อกดาวน์ 29 จังหวัดเป็นอย่างไร นพ.โสภณ กล่าวว่า เราใช้เวลาเรื่องการล็อกดาวน์มาระยะหนึ่งแล้ว ถ้าเพิ่มระยะเวลาจากนี้ต้องร่วมมือกันทำให้การแพร่เชื้อน้อยลงมากที่สุด อยากให้ประชาชนวางแผนให้ดี ออกจากบ้านน้อยที่สุด คนทำงานออฟฟิศหน่วยงานรัฐและเอกชนให้ทำงานที่บ้าน 100% หรือมากที่สุดเท่าที่ทำได้ คนที่ไม่ได้ทำงานออฟฟิศวางแผนการเดินทางให้น้อยลงที่สุดเช่นกัน
“เช่น ไปตลาดสัปดาห์ละหลายครั้ง ก็วางแผนลดการไป เหลือสัปดาห์ละครั้ง โดยวางแผนการซื้ออาหารต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อเจอผู้คนน้อยลง และไม่มีผลกระทบเรื่องการอุปโภคบริโภค กิจกรรมที่ทำทางออนไลน์ได้ เจอผู้คนน้อยลงก็ให้ทำ การอยู่บ้านเพิ่มความเข้มงวดป้องกัน มีผู้สูงอายุโรคเรื้อรังในบ้าน เราไม่อยากให้เสี่ยงจากคนที่ออกจากบ้าน ผู้ที่ออกจากบ้านจึงต้องป้องกันตนเอง สวมหน้ากากเว้นระยะห่าง กลับมาก็ต้องทำเพราะไม่แน่ใจว่าติดหรือไม่ ตอนนี้เป็นเวลาทองใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ถ้าร่วมมือเต็มที่ ถ้ายุติชะลอการแพร่ระบาดได้เราก็จะปลอดภัยกันทั้งสังคม” นพ.โสภณ กล่าว

https://www.naewna.com/local/592150

เม่าอ่านหนังสือพิมพ์อภ.เร่งขยายการผลิต "ยาฟาวิพิราเวียร์" ตั้งเป้า ต.ค. 40 ล้านเม็ดต่อเดือน
เผยแพร่: 2 ส.ค. 2564 15:45 น.



องค์การเภสัชกรรม เผยแผนขยายการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ได้มากกว่า 40 ล้านเม็ดต่อเดือนตั้งแต่ตุลาคมนี้ พร้อมเตรียมเปิดสายการผลิตที่ 5 โรงงานผลิตยาขององค์การเภสัชกรรมเองที่คลอง 10 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ผลิตได้ถึง 2,000 ล้านเม็ดต่อปี หรือเดือนละไม่น้อยกว่า 160 ล้านเม็ดต่อเดือน ถ้ามีความต้องการเพิ่ม

วันนี้ (2 ส.ค.) นายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม เปิดเผยว่า องค์การฯ ได้เริ่มผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ ที่มาจากการวิจัย พัฒนา และผลิตเอง ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 ภายใต้ชื่อ ฟาเวียร์ (200 มิลลิกรัมต่อเม็ด) และได้มีการปรับแผนขยายการผลิตเพิ่มเพื่อลดการจัดหาจากต่างประเทศ โดยในเดือนสิงหาคม 2564 จะดำเนินการผลิตแบบบรรจุแผง จำนวน 2.5 ล้านเม็ด และจะเพิ่มการผลิตแบบบรรจุใส่ขวด ซึ่งคาดว่าจะได้รับอนุมัติแบบบรรจุขวด จาก อย. ภายในเดือนสิงหาคม 2564 นี้ ในเดือนกันยายนจะผลิตยาได้ จำนวน 23 ล้านเม็ด และตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 เป็นต้น ไปจะสามารถผลิตได้ไม่น้อยกว่า 40 ล้านเม็ดต่อเดือน

นายแพทย์วิฑูรย์ กล่าวต่อว่า องค์การฯ ได้มีการบริหารจัดการและปรับการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความรุนแรงของการระบาดโรคโควิด-19 ในประเทศอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ ยาฟาวิพิราเวียร์ทั้งหมดจะมีการจัดสรรให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ ตามการบริหารจัดการของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยกลุ่มภารกิจสำรองเวชภัณฑ์และส่งกำลังบำรุง และองค์การฯเป็นผู้ดำเนินการจัดส่งกระจายให้โรงพยาบาลต่อไป

ดร.ภญ.มุกดาวรรณ ประกอบไวทยกิจ รองผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม (ด้านการผลิตยา) กล่าวว่า องค์การ ฯ มีแผนการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ที่โรงงานทั้ง 2 แห่ง โดยผลิตได้แล้วในโรงงานที่ถนนพระรามที่ 6 และโรงงานผลิตยาขององค์การเภสัชกรรมเองที่คลอง 10 อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี คาดว่าจะเปิดสายการผลิตที่ 5 ในเดือนกันยายนนี้ มีศักยภาพสามารถผลิตยาได้ถึง 2,000 ล้านเม็ดต่อปี หรือเดือนละไม่น้อยกว่า 160 ล้านเม็ดต่อเดือน พร้อมนำมาปรับใช้สำหรับขยายกำลังการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ได้ถ้ามีความต้องการเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ในส่วนการผลิตยาที่ใช้รักษาโรคเรื้อรังอื่น ๆ เช่น ยารักษาโรคเบาหวาน ยารักษาความดันโลหิต ยาลดไขมัน ที่องค์การฯ ได้ดำเนินการผลิตอยู่นั้นปัจจุบันมีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นด้วย และกำลังการผลิตบางส่วนนำมาปรับใช้สำหรับการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ องค์การจะได้ทำการประสานกับอย. และผู้ผลิตในประเทศเพื่อร่วมมือผลิต เพื่อให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรังมียาใช้อย่างต่อเนื่อง

“ทั้งนี้ในส่วนของการจัดหาจากต่างประเทศนั้นในเดือนกรกฎาคม 2564 ได้มีการจัดหาเข้ามาแล้วจำนวน 13 ล้านเม็ด และในเดือนสิงหาคม จะเข้ามาเพิ่มอีก 43.1 ล้านเม็ด”

https://mgronline.com/qol/detail/9640000075539

ในเวลา 2 สัปดาห์ ข้างหน้าต้องช่วยกันลดจำนวนติดเชื้อให้ได้นะคะ...เพี้ยนลุย

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 29
แถลงความคืบหน้า สถานการณ์ โรคไวรัสโควิด-19 ประจำวันที่ 2 สิงหาคม 2564 เวลา 12.30 น.
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แถลงความคืบหน้า สถานการณ์ โรคไวรัสโควิด-19
ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
ประจำวันที่ 2 สิงหาคม 2564 เวลา 12.30 น.

กระทรวงสาธารณสุข แถลงสถานการณ์โควิด-19 ประจำวันที่ 2 สิงหาคม 2564 เวลา 11.00 น.
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แถลงความคืบหน้าสถานการณ์ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ณ กระทรวงสาธารณสุข
วันที่ 2 สิงหาคม  2564


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รวมสไลด์แถลงสถานการณ์โควิด-19 จาก ศบค.
วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564
https://web.facebook.com/informationcovid19/posts/378050187146645


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รายงานข้อมูลสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19
ณ วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564

ประเทศไทย
วันนี้มีผู้ติดเชื้อ 17,970 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสม 633,284 ราย
- เป็นผู้ติดเชื้อจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯเพิ่มขึ้น 13,567 ราย
- เป็นผู้ติดเชื้อจากเรือนจำ/ที่ต้องขัง  175 ราย
- เป็นผู้ติดเชื้อที่เดินทางจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น  11  ราย
- เป็นผู้ติดเชื้อจากการตรวจคัดกรองเชิงรุกวันนี้  4,217 ราย (ยอดผู้ติดเชื้อสะสมจากการตรวจคัดกรองเชิงรุกอยู่ที่ 157,119 ราย)

เสียชีวิตรวม 5,168 ราย(วันนี้มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 178 ราย)
รักษาหายป่วยแล้ว 419,241 ราย (มีผู้ป่วยกลับบ้านเพิ่มขึ้น 13,919 ราย)
รักษาอยู่ในโรงพยาบาล 208,875 ราย

ผู้ติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศ (ไม่รวมเรือนจำ) 17,784 ราย มีรายละเอียดดังนี้ จากกรุงเทพฯ(3,144) ปริมณฑล (3,460) จังหวัดอื่น ๆ (11,180)

สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ เพิ่มขึ้นในวันนี้ 11 ราย และเข้า Quarantine โดยเข้ารับการรักษาที่ภูเก็ต(2)  สระแก้ว(2)  กรุงเทพฯ(1)  อำเภอชายแดน(5)   และ อยู่ระหว่างประสาน รพ.(1) มีรายละเอียดดังนี้
- จากประเทศสหราชอาณาจักร 1ราย
- จากประเทศกาตาร์ 1ราย
- จากประเทศกัมพูชา 2 ราย
- จากประเทศเมียนมา 7 ราย

สถานการณ์โลกในวันนี้
- ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก 199  ล้านราย มีจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 4.2 ล้านราย(คิดเป็นร้อยละ 2.13 ของจำนวนผู้ติดเชื้อ) ในขณะที่ผู้รักษาหายมีจำนวน 179.6  ล้านราย (คิดเป็นร้อยละ 90.25)
- สหรัฐอเมริกา มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่  21,768 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่อันดับ 1 ของโลก อยู่ที่ 629,380 ราย
- อินเดีย ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทะลุ 31.6 ล้านรายแล้ว โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 40,784 ราย ทั้งนี้ยอดผู้รักษาหายในอินเดียอยู่ที่ 30.8 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 97.3
- ไทยมียอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่อันดับ 42 และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่อันดับ 64 ของโลก

สถานการณ์อาเซียนในวันนี้
- เมียนมา ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสม 302,665  ราย โดยมียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉลี่ยในรอบ 7 วันที่ผ่านมาอยู่ที่ 4,734 ราย และมีจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 9,731 ราย
- มาเลเซีย ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 1,130,422 ราย โดยยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ อยู่ที่ 17,150  ราย
- กัมพูชา ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสม 77,914 ราย มียอดผู้เสียชีวิตสะสม 1,420 ราย
- ลาว ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสม 6,566 ราย โดยกำลังรักษาอยู่ 3,529 ราย
- เวียดนาม ผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่   8,620  ราย และมียอดผู้เสียชีวิตสะสม 1,306 ราย

ประมวลข้อมูลโดย กรมควบคุมโรค และศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์ และการวิจัยและพัฒนาสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
https://web.facebook.com/nrctofficial/posts/4026312087494333
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่