วันนี้ผมจะชวนเพื่อนๆมาคุยเรื่องเงินๆทองๆกันครับ เราปฎิเศษไม่ได้นะครับว่า เงิน มีความสำคัญอย่างมากในการดำรงชีวิตของเรา เพราะทุกๆช่วงจังหวะชีวิตของเราครับ ล้วนมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยกันทั้งนั้น ตั้งแต่เช้าที่เราตื่นยันเรานอน ตั้งแต่เราเกิดยังเราตาย
ดังนั้นโดยส่วนตัวนะครับผมคิดว่าเรื่องเงินสำคัญมากๆใครจะว่าไม่สำคัญอันนี้ผมไม่เถียงอันนั้นปล่อยให้เปฌนเรื่องของเขาปล่อยเขาไปเลยครับ แต่ถ้าทุกคนกำลังดูคลิปนี้อยู่ผมเชื่อว่าทุกคนก็คิดเหมือนผมครับว่า เงิน เป็นเรื่องสำคัญของชีวิตเราดังนั้นวันนี้อยากจะชวนเพื่อนๆทุกคนมาคุยกันเนี่ยคือเรื่องการ “วางแผนการเงิน” ครับว่า เราควรวางแผนการเงินของเรายังไงดี ถึงจะทำให้ชีวิตของเราไม่ประสบกับปัญหาด้านการเงิน
มีเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าเพื่อนๆหลายคนอาจจะเข้าใจผิดครับ เพื่อนๆหลายคนอาจคิดว่า วิธีที่จะทำให้หมดปัญหาการเงินที่ง่ายที่สุดคือการทำให้รายได้สูงขึ้น ก็จบแล้วไม่ใช่หรอ
พอรายได้สูงขึ้น เงินเดือนสูงขึ้น ร้านค้าขายได้ดีขึ้นแค่นี้เราก็น่าจะไม่มีปัญหาทางการเงินแล้ว เมื่อก่อนผมก็คิดแบบนี้ครับ แต่อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นสิครับ
รายได้ที่มากขึ้นไม่ใช่ตัวการันตีว่าเราจะไม่เจอกับปัญหาทางการเงินเลยนะครับเพราะว่าอะไรรู้ไหมครับ เพราะว่าพวกเราทุกคนครับจะมีความสามารถพิเศษหนึ่งกันอยู่ครับ คือพวกเราจะสามารถขยับ รายจ่ายให้สูงตามรายได้ ได้แบบอัตโนมัติเลยครับ ลองคิดกันดูนะครับว่า
คนเงินเดือน 20,000 ก็กินอยู่แบบหนึ่ง เช่าหออยู่ หรืออาจมีรถ Ecocar สักคัน
แต่พอรายได้สูงขึ้นเป็น 60,000 ทีนี้รายจ่ายเราก็จะขยับ scale ตามไปครับ รถ eco car ก็ดูจะไม่เหมาะกับเราอาจจะต้องเป็นรถ SUV อาจจะต้องเป็น camry หรือเปล่าที่จะสมฐานะ และที่อยู่จะเช่าหอก็ดูยังไงอยู่เป็น Manager แล้วก็ต้องซื้อคนโดซื้อบ้านอีก
แต่ออกตัวไว้ก่อนเลยนะครับผมไม่ได้จะบอกว่าการซื้อของพวกรถ บ้าน หรือ ของฟุ่มเฟือยต่างๆเป็นเรื่องที่ห้ามทำนะครับ เราสามารถทำได้ครับถ้ามีการวางแผนจัดการการเงินที่ดีแล้วครับ
เห็นไหมครับว่าจิงๆแล้วปัญหาทางการเงินไม่ได้สามารถแก้ได้โดยการ เพิ่มรายได้ เพียงอย่างเดียวนะครับ แต่จากการที่ได้เรียนรู้ ได้ศึกษา รวมถึงได้นำมาใช้กับตัวเองและได้นำไปแนะนำให้คนที่อยู่รอบๆตัวหลายๆคน น่าจะพอยืนยันเรื่องนี้ได้ครับว่า
การแก้ปัญหาทางการเงินที่ดีที่สุด คือการ วางแผนบริหารจัดการเงินของเราให้ดี ดังนั้นถึงแม้ว่าวันนี้คุณจะเงินเดือน 15,000 คุณจะเงินเดือน 30,000 ผมเชื่อว่าถ้าเราวางแผนการเงินของเราให้ดี วางแผนการเงินของเราให้เหมาะสม มันจะช่วยป้องกันปัญหาการเงินที่จะเกิดขึ้นกับเราได้ครับ
วันนี้ผมมีทฤษฎีที่น่าสนใจมากๆเกี่ยวกับการวางแผนบริหารจัดการการเงินพื้นฐานของพวกเราทุกคนครับ
ทฤษฎันี้ชื่อว่า 6 Jars หรือ เงิน 6 กระปุกครับ
หัวใจหลักของทฤษฎีนี้คือการบริหารจัดการรายได้ของเราที่ได้มาในทุกๆเดือนให้กลายเป็น 6 ส่วนหรือ 6 กระปุกนั่นแหละครับโดยแต่ละกระปุกจะมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันและสัดส่วนที่ไม่เท่ากันนะครับ ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่าเป็นการวางแผนการเงินที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพมากๆเลยอยากเอามาเล่าให้ทุกคนฟังกันคับ
ทฤษฎีนี้แน่นอนว่าผมไม่ได้คิดเองนะครับ ทฤษฎีนี้มากจากคุณ T Harv Eker เจ้าของหนังสือ Secrets of the Millionaire Mind (ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน) ซึ่งย้ำนะครับว่าโดยส่วนตัวผมชอบแนวคิดนี้และตอนเริ่มศึกษาและวางแผนการเงินผมก็ได้ใช้และรู้สึกว่ามันโอเค เลยอยากเอามาแชร์ให้เพื่อนๆทุกคนครับ มาดูกันว่าแต่ละกระปุกเขาจะแบ่งเงินยังไงบ้างครับ
6 Jars
กระปุกที่ 1 Necessary 55%
กระปุกที่ 2 Long Term (Retired) 10%
กระปุกที่ 3 Investment 10%
กระปุกที่ 4 Education 10%
กระปุกที่ 5 Play 10%
กระปุกที่ 6 Give 5%
กระปุกที่ 1 รายจ่ายจำเป็น Nessary 55%
รายจ่ายนี้คุณ T Harv เขาแบ่งสัดส่วนไว้ให้ 55% ของรายได้เลยนะครับนั่นก็คือถ้าวันนี้รายได้คุณ 20,000 คุณจะต้องจัดสรรเงินมาลงกระปุกแรก 11,000 บาทครับ
ค่าใช้จ่ายจำเป็นคืออะไร เช่นพวกค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเน็ต ค่าอาหาร ค่าเดินทางต่างๆ พยายามจัดสรรให้เพียงพอสำหรับเงินในกระปุกแรกให้ได้ครับ
ซึ่งผมก็เข้าใจนะครับว่าอาจจะยากสักนิดนึงสำหรับกระปุกแรก เพราะค่าครองชีพต่างๆของเราสมัยนี้มันเยอะสะเหลือเกิน เพียงแต่อยากให้ลองเอาตัวเลขนี้ไปลองคำนวนไปปรับกับตัวเอง และจัดสัดส่วนให้มันพอเป็นไปได้มากที่สุดดูนะครับ
กระปุกที่ 2 Long Term (Retired) 10%
กระปุกที่สองเป็นเงินที่เราจะยังไม่ได้ใช้ในตอนนี้ครับ เงินก้อนนี้เป็นเงินที่เราจะใช้ในอนคต ในวันที่เราไม่ได้ทำงานแล้วในวันที่เราเกษียนแล้วเจ้าเงินก้อนนี้แหละครับที่เราสะสมไว้ตั้งแต่เราอายุยังน้อยๆ มันจะมกลายมาเป็นเงินที่เราจะใช้ในวันที่เราไม่ได้ทำงานแล้ว จริงๆสำหรับผมเงินก้อนนี้สำคัญมากๆนะครับโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าวันนี้คุณไม่ใช่ข้าราชการ หรือ รัฐวิสาหกิจ ผมขออนุญาติรวมกลุ่มพนักงานเงินเดือนเป็นกลุ่มที่รายได้ไม่มั่นคงด้วยเลยแล้วกันนะครับ
เพราะวันนี้ทุกคนคงเห็นภาพเดียวกับผมนะครับว่า Life Time ของงานมันสั้นลงมาก มากกว่ารุ่นพ่อแม่เราเยอะครับ เดี๋ยวนี้บริษัทสักบริษัทจะจ้างพนักงานจนเกษียนเนี่ยผมว่าเป็นไปได้ยากมากๆเลย ดังนั้นเราจึงควรเตรียมความพร้อมเรื่องเงินเกษียนไว้ด้วยตัวเองครับ เพื่อความอุ่นใจและความปลอดภัย
แต่ถ้าเป็นกลุ่มอาชีพอิสระ เจ้าของธุรกิจ Freelance อย่างผมนี่ไม่ต้องพูดเลยนะครัล เงินเกษียนนี่สำคัญมากๆๆๆๆๆ คือส่วนตัวผมคิดว่าสัดส่วนไม่ควรจะ 10% ด้วยซ้ำคับ เอาเป็นว่าเดี๋วเราค่อยมาคุยกันในคลิปหน้าๆแล้วกันนะครับสำหรับการวางแผนเกษียน
กระปุกที่ 3 Investment 10%
จริงๆกระปุกนี้ก็จะทำหน้าที่คล้ายๆกระปุกที่สองครับ เงินกระปุกนี้ตรงตามตัวก็คือเงินที่เราแบ่งมาลงทุนเพื่ออนาคตของเราครับ การที่เราทำงานไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หน้าที่การงานเราก็จะเติบโตขึ้น ทักษะเราก็จะเติบโตขึ้นรวมถึง รายได้เราก็จะเติบโตขึ้นตามใช่ไหมหละครับ
เงินในกระปุกนี้จะช่วยเร่งความเร็ว เร่งความมั่นคงทางการเงินให้เราครับ เพื่อนๆเคยได้ยินคำว่า “ให้เงินทำงาน” กันบ้างไหมครับเงินในกระปุกนี้แหละครับจะทำให้เงินที่เราหามาเติบโตและงอกเงยขึ้นครับ โดยการที่เราเอาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆไม่ว่าจะเป็น หุ้น กองทุนรวม ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ Bitcoin ต่างๆเหล่านี้ครับ
แต่ผมต้องเตือนไว้ก่อนเลยนะครับโลกการลงทุนไใม่ได้มีแต่แง่ที่สวยงามเสมอไปนะครับ มีคนกำไรก็ต้องมีคนขาดทุน นี่คือโลกการเงินครับ ดังนั้นวันนี้เราแค่เข้าใจ mind set คล่าวๆนี้ก่อนแล้วกันนะครับว่าเราควรที่จะแบ่งเงิน 10% มาลงทุน ส่วนจะลงเงินไว้ที่ไหนยังไง เดี๋ยวค่อยมาคุยกันต่อในคลิปถัดๆไปครับ
กระปุกที่ 4 Education 10%
กระปุกที่ 4 เป็นกระปุกที่เราเอาไว้พัฒนาความรู้ความสามารถอขงตัวเราครับ ส่วนตัวผมก็ให้ความสำคัญกับประปุกนี้มากๆเลยนะครับ คืองี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่า อ้าวก็เรียนจบมหาลัยมาแล้วไม่ใช่หรอ ยังจะมีรายจ่ายเพื่อการศึกษาอะไรอีก คืออยากจะแชร์อย่างงี้นะครับ ผมว่าวันนี้โลกมันเดินหน้าอย่างรวดเร็วมากๆ เทคโนโลยี นวัตกรรม รวมถึงความรู้ใหม่ๆเนี่ยเกิดขึ้นเยอะและรวดเร็วมากๆ ดังนั้นถ้าเราไม่อัพเดทตัวเอง ไม่เติมความรู้ให้ตัวเองอยู่เสมอเนี่ยผมว่า เราอาจจะพลาดโอกาสดีๆที่จะเข้ามาหาเราก็ได้นะครับ
ดังนั้นการจ่ายเงินเพื่อพัฒนาความรู้ขอเราเนี่ยผมว่าสำคัญมากๆนะครับ อาจะจะเอาเงินก้อนนี้ไปซื้อหนังสืออ่านเดือนละเล่ม ลงคอร์สสัมนาเพื่อเพิ่มความรู้ หรือ ซื้อ Ebook มาอ่าน สมัคร Member เข้ากลุ่มที่เขาแชร์ความรู้กันเป็นประจำ พวกนี้แหละครับ จะเป็นวิธีที่ทำให้เรา มีความรู้ใหม่ๆตลอดเวลา
จริงๆความรู้ตรงนี้อาจจะไม่ใช่แค่ความรู้เพื่อหาเงินนะครับ บางคนอยากเรียนเรื่องการทำสมาธิ อยากเรียนเรื่องการออกกกำลังกายที่ถูกวิธี อยากเรียนวิธีการพูดต่อหน้าสาธารณะ พวกนี้ล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นทั้งนั้นครับ อย่ามองข้ามเรื่องพวกนี้กันนะครับ
กระปุกที่ 5 Play 10%
มาถึงเงินในกระปุกที่ 5 ครับคือส่วนที่เราจะเอามาเติมเต็มความสุขให้ตัวเอง กระปุกนี้ครับแล้วแต่คุณเลยนะครับว่าุณอยากจะเอาเงินไปทำอะไร เอาไปกิน เอาไป Party เอาไปซือของแบรนเนม ซื้อ Gadget, ซื้อโมเดล ซื้อของเล่นหรือไปซื้อบัตรคอนเสริท แล้วแต่เราเลยครับว่า เรานิยามคำว่า ความสุขของเราคืออะไร เราก็จัดไปเลยครับ แต่แนะนำว่าควรใ้อยู่ใน Budget 10% ที่เราคำนวณไว้นะครับ
กระปุกที่ 6 บริจาค 5%
เงินในกระปุกสุดท้ายคือเงินที่เราจะส่งคืนให้กับสังคมคับ ซึ่งเงินในส่วนนี้ผมขอไม่ลงดีเทลนะครับว่าเราควรเอาไปบริจาคที่ไหน บริจาคให้ใครยังไง เอาเป็นว่าใครจะบริจาคไม่บริจาคยังไงเนี่ยนับว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลแล้วกันนะครับ
สรุป
และนี้ก็เป็นการบริหารการเงินแบบ 6 Jar ของคุณ T Harv นะครับซึ่งทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่ได้รับความนิยมกันมากๆนะครับ เลยมาเล่าให้เพื่อนๆฟังกัน แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ทฤษฎี ก็ยังคงเป็น ทฤษฎี ครับ เวลาเราเอาใช้จริงในชีวิต มันมี Factor ต่างๆเข้ามาพัวพันกับชีวิตเราเยอะเหลือเกิน บางคนมีเงื่อนไขในชีวิต มีความจำเป็นที่ต่างกันดังนั้น ตัวเลขที่เราฟังไปในคลิปนี้เอาเข้าจริงๆเราสามารถปรับได้ตามความเหมาะสมเลยนะครับ ส่วนไหนเยอะ ส่วนไหนน้อยลองปรับให้เข้ากับชีวิตเราดู เพียงแต่ว่าอย่าไปขยับพวกกระปุกที่ไว้ซื้อของที่อยากได้ กับ รายจ่ายประจำ ให้เยอะจนเกินไปนะครับ เดี๋ยวกระปุกอื่นๆจะไม่เหลืออะไรเลย
และสุดท้ายนะครับการวางแผนการเงินผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆที่ผมอยากให้ทุกคนที่อยากมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นลองไปทำกันนะครับ ซึ่งถ้าคุณแค่ลองเอาเรื่องที่ได้ฟังวันนี้ไปปรับใช้นะครับผมเชื่อว่าชีวิตการเงินของคุณจะค่อยๆดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ
6 Jars เทคนิควางแผนการเงินเงินด้วยทฤษีเงิน 6 กระปุก
มีเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าเพื่อนๆหลายคนอาจจะเข้าใจผิดครับ เพื่อนๆหลายคนอาจคิดว่า วิธีที่จะทำให้หมดปัญหาการเงินที่ง่ายที่สุดคือการทำให้รายได้สูงขึ้น ก็จบแล้วไม่ใช่หรอ
รายได้ที่มากขึ้นไม่ใช่ตัวการันตีว่าเราจะไม่เจอกับปัญหาทางการเงินเลยนะครับเพราะว่าอะไรรู้ไหมครับ เพราะว่าพวกเราทุกคนครับจะมีความสามารถพิเศษหนึ่งกันอยู่ครับ คือพวกเราจะสามารถขยับ รายจ่ายให้สูงตามรายได้ ได้แบบอัตโนมัติเลยครับ ลองคิดกันดูนะครับว่า
คนเงินเดือน 20,000 ก็กินอยู่แบบหนึ่ง เช่าหออยู่ หรืออาจมีรถ Ecocar สักคัน
แต่พอรายได้สูงขึ้นเป็น 60,000 ทีนี้รายจ่ายเราก็จะขยับ scale ตามไปครับ รถ eco car ก็ดูจะไม่เหมาะกับเราอาจจะต้องเป็นรถ SUV อาจจะต้องเป็น camry หรือเปล่าที่จะสมฐานะ และที่อยู่จะเช่าหอก็ดูยังไงอยู่เป็น Manager แล้วก็ต้องซื้อคนโดซื้อบ้านอีก
แต่ออกตัวไว้ก่อนเลยนะครับผมไม่ได้จะบอกว่าการซื้อของพวกรถ บ้าน หรือ ของฟุ่มเฟือยต่างๆเป็นเรื่องที่ห้ามทำนะครับ เราสามารถทำได้ครับถ้ามีการวางแผนจัดการการเงินที่ดีแล้วครับ
เห็นไหมครับว่าจิงๆแล้วปัญหาทางการเงินไม่ได้สามารถแก้ได้โดยการ เพิ่มรายได้ เพียงอย่างเดียวนะครับ แต่จากการที่ได้เรียนรู้ ได้ศึกษา รวมถึงได้นำมาใช้กับตัวเองและได้นำไปแนะนำให้คนที่อยู่รอบๆตัวหลายๆคน น่าจะพอยืนยันเรื่องนี้ได้ครับว่า
การแก้ปัญหาทางการเงินที่ดีที่สุด คือการ วางแผนบริหารจัดการเงินของเราให้ดี ดังนั้นถึงแม้ว่าวันนี้คุณจะเงินเดือน 15,000 คุณจะเงินเดือน 30,000 ผมเชื่อว่าถ้าเราวางแผนการเงินของเราให้ดี วางแผนการเงินของเราให้เหมาะสม มันจะช่วยป้องกันปัญหาการเงินที่จะเกิดขึ้นกับเราได้ครับ
วันนี้ผมมีทฤษฎีที่น่าสนใจมากๆเกี่ยวกับการวางแผนบริหารจัดการการเงินพื้นฐานของพวกเราทุกคนครับ
ทฤษฎันี้ชื่อว่า 6 Jars หรือ เงิน 6 กระปุกครับ
หัวใจหลักของทฤษฎีนี้คือการบริหารจัดการรายได้ของเราที่ได้มาในทุกๆเดือนให้กลายเป็น 6 ส่วนหรือ 6 กระปุกนั่นแหละครับโดยแต่ละกระปุกจะมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันและสัดส่วนที่ไม่เท่ากันนะครับ ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่าเป็นการวางแผนการเงินที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพมากๆเลยอยากเอามาเล่าให้ทุกคนฟังกันคับ
ทฤษฎีนี้แน่นอนว่าผมไม่ได้คิดเองนะครับ ทฤษฎีนี้มากจากคุณ T Harv Eker เจ้าของหนังสือ Secrets of the Millionaire Mind (ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน) ซึ่งย้ำนะครับว่าโดยส่วนตัวผมชอบแนวคิดนี้และตอนเริ่มศึกษาและวางแผนการเงินผมก็ได้ใช้และรู้สึกว่ามันโอเค เลยอยากเอามาแชร์ให้เพื่อนๆทุกคนครับ มาดูกันว่าแต่ละกระปุกเขาจะแบ่งเงินยังไงบ้างครับ
6 Jars
กระปุกที่ 1 Necessary 55%
กระปุกที่ 2 Long Term (Retired) 10%
กระปุกที่ 3 Investment 10%
กระปุกที่ 4 Education 10%
กระปุกที่ 5 Play 10%
กระปุกที่ 6 Give 5%
กระปุกที่ 1 รายจ่ายจำเป็น Nessary 55%
รายจ่ายนี้คุณ T Harv เขาแบ่งสัดส่วนไว้ให้ 55% ของรายได้เลยนะครับนั่นก็คือถ้าวันนี้รายได้คุณ 20,000 คุณจะต้องจัดสรรเงินมาลงกระปุกแรก 11,000 บาทครับ
ค่าใช้จ่ายจำเป็นคืออะไร เช่นพวกค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเน็ต ค่าอาหาร ค่าเดินทางต่างๆ พยายามจัดสรรให้เพียงพอสำหรับเงินในกระปุกแรกให้ได้ครับ
ซึ่งผมก็เข้าใจนะครับว่าอาจจะยากสักนิดนึงสำหรับกระปุกแรก เพราะค่าครองชีพต่างๆของเราสมัยนี้มันเยอะสะเหลือเกิน เพียงแต่อยากให้ลองเอาตัวเลขนี้ไปลองคำนวนไปปรับกับตัวเอง และจัดสัดส่วนให้มันพอเป็นไปได้มากที่สุดดูนะครับ
กระปุกที่ 2 Long Term (Retired) 10%
กระปุกที่สองเป็นเงินที่เราจะยังไม่ได้ใช้ในตอนนี้ครับ เงินก้อนนี้เป็นเงินที่เราจะใช้ในอนคต ในวันที่เราไม่ได้ทำงานแล้วในวันที่เราเกษียนแล้วเจ้าเงินก้อนนี้แหละครับที่เราสะสมไว้ตั้งแต่เราอายุยังน้อยๆ มันจะมกลายมาเป็นเงินที่เราจะใช้ในวันที่เราไม่ได้ทำงานแล้ว จริงๆสำหรับผมเงินก้อนนี้สำคัญมากๆนะครับโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าวันนี้คุณไม่ใช่ข้าราชการ หรือ รัฐวิสาหกิจ ผมขออนุญาติรวมกลุ่มพนักงานเงินเดือนเป็นกลุ่มที่รายได้ไม่มั่นคงด้วยเลยแล้วกันนะครับ
เพราะวันนี้ทุกคนคงเห็นภาพเดียวกับผมนะครับว่า Life Time ของงานมันสั้นลงมาก มากกว่ารุ่นพ่อแม่เราเยอะครับ เดี๋ยวนี้บริษัทสักบริษัทจะจ้างพนักงานจนเกษียนเนี่ยผมว่าเป็นไปได้ยากมากๆเลย ดังนั้นเราจึงควรเตรียมความพร้อมเรื่องเงินเกษียนไว้ด้วยตัวเองครับ เพื่อความอุ่นใจและความปลอดภัย
แต่ถ้าเป็นกลุ่มอาชีพอิสระ เจ้าของธุรกิจ Freelance อย่างผมนี่ไม่ต้องพูดเลยนะครัล เงินเกษียนนี่สำคัญมากๆๆๆๆๆ คือส่วนตัวผมคิดว่าสัดส่วนไม่ควรจะ 10% ด้วยซ้ำคับ เอาเป็นว่าเดี๋วเราค่อยมาคุยกันในคลิปหน้าๆแล้วกันนะครับสำหรับการวางแผนเกษียน
กระปุกที่ 3 Investment 10%
จริงๆกระปุกนี้ก็จะทำหน้าที่คล้ายๆกระปุกที่สองครับ เงินกระปุกนี้ตรงตามตัวก็คือเงินที่เราแบ่งมาลงทุนเพื่ออนาคตของเราครับ การที่เราทำงานไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หน้าที่การงานเราก็จะเติบโตขึ้น ทักษะเราก็จะเติบโตขึ้นรวมถึง รายได้เราก็จะเติบโตขึ้นตามใช่ไหมหละครับ
เงินในกระปุกนี้จะช่วยเร่งความเร็ว เร่งความมั่นคงทางการเงินให้เราครับ เพื่อนๆเคยได้ยินคำว่า “ให้เงินทำงาน” กันบ้างไหมครับเงินในกระปุกนี้แหละครับจะทำให้เงินที่เราหามาเติบโตและงอกเงยขึ้นครับ โดยการที่เราเอาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆไม่ว่าจะเป็น หุ้น กองทุนรวม ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ Bitcoin ต่างๆเหล่านี้ครับ
แต่ผมต้องเตือนไว้ก่อนเลยนะครับโลกการลงทุนไใม่ได้มีแต่แง่ที่สวยงามเสมอไปนะครับ มีคนกำไรก็ต้องมีคนขาดทุน นี่คือโลกการเงินครับ ดังนั้นวันนี้เราแค่เข้าใจ mind set คล่าวๆนี้ก่อนแล้วกันนะครับว่าเราควรที่จะแบ่งเงิน 10% มาลงทุน ส่วนจะลงเงินไว้ที่ไหนยังไง เดี๋ยวค่อยมาคุยกันต่อในคลิปถัดๆไปครับ
กระปุกที่ 4 Education 10%
กระปุกที่ 4 เป็นกระปุกที่เราเอาไว้พัฒนาความรู้ความสามารถอขงตัวเราครับ ส่วนตัวผมก็ให้ความสำคัญกับประปุกนี้มากๆเลยนะครับ คืองี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่า อ้าวก็เรียนจบมหาลัยมาแล้วไม่ใช่หรอ ยังจะมีรายจ่ายเพื่อการศึกษาอะไรอีก คืออยากจะแชร์อย่างงี้นะครับ ผมว่าวันนี้โลกมันเดินหน้าอย่างรวดเร็วมากๆ เทคโนโลยี นวัตกรรม รวมถึงความรู้ใหม่ๆเนี่ยเกิดขึ้นเยอะและรวดเร็วมากๆ ดังนั้นถ้าเราไม่อัพเดทตัวเอง ไม่เติมความรู้ให้ตัวเองอยู่เสมอเนี่ยผมว่า เราอาจจะพลาดโอกาสดีๆที่จะเข้ามาหาเราก็ได้นะครับ
ดังนั้นการจ่ายเงินเพื่อพัฒนาความรู้ขอเราเนี่ยผมว่าสำคัญมากๆนะครับ อาจะจะเอาเงินก้อนนี้ไปซื้อหนังสืออ่านเดือนละเล่ม ลงคอร์สสัมนาเพื่อเพิ่มความรู้ หรือ ซื้อ Ebook มาอ่าน สมัคร Member เข้ากลุ่มที่เขาแชร์ความรู้กันเป็นประจำ พวกนี้แหละครับ จะเป็นวิธีที่ทำให้เรา มีความรู้ใหม่ๆตลอดเวลา
จริงๆความรู้ตรงนี้อาจจะไม่ใช่แค่ความรู้เพื่อหาเงินนะครับ บางคนอยากเรียนเรื่องการทำสมาธิ อยากเรียนเรื่องการออกกกำลังกายที่ถูกวิธี อยากเรียนวิธีการพูดต่อหน้าสาธารณะ พวกนี้ล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นทั้งนั้นครับ อย่ามองข้ามเรื่องพวกนี้กันนะครับ
กระปุกที่ 5 Play 10%
มาถึงเงินในกระปุกที่ 5 ครับคือส่วนที่เราจะเอามาเติมเต็มความสุขให้ตัวเอง กระปุกนี้ครับแล้วแต่คุณเลยนะครับว่าุณอยากจะเอาเงินไปทำอะไร เอาไปกิน เอาไป Party เอาไปซือของแบรนเนม ซื้อ Gadget, ซื้อโมเดล ซื้อของเล่นหรือไปซื้อบัตรคอนเสริท แล้วแต่เราเลยครับว่า เรานิยามคำว่า ความสุขของเราคืออะไร เราก็จัดไปเลยครับ แต่แนะนำว่าควรใ้อยู่ใน Budget 10% ที่เราคำนวณไว้นะครับ
กระปุกที่ 6 บริจาค 5%
เงินในกระปุกสุดท้ายคือเงินที่เราจะส่งคืนให้กับสังคมคับ ซึ่งเงินในส่วนนี้ผมขอไม่ลงดีเทลนะครับว่าเราควรเอาไปบริจาคที่ไหน บริจาคให้ใครยังไง เอาเป็นว่าใครจะบริจาคไม่บริจาคยังไงเนี่ยนับว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลแล้วกันนะครับ
สรุป
และนี้ก็เป็นการบริหารการเงินแบบ 6 Jar ของคุณ T Harv นะครับซึ่งทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่ได้รับความนิยมกันมากๆนะครับ เลยมาเล่าให้เพื่อนๆฟังกัน แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ทฤษฎี ก็ยังคงเป็น ทฤษฎี ครับ เวลาเราเอาใช้จริงในชีวิต มันมี Factor ต่างๆเข้ามาพัวพันกับชีวิตเราเยอะเหลือเกิน บางคนมีเงื่อนไขในชีวิต มีความจำเป็นที่ต่างกันดังนั้น ตัวเลขที่เราฟังไปในคลิปนี้เอาเข้าจริงๆเราสามารถปรับได้ตามความเหมาะสมเลยนะครับ ส่วนไหนเยอะ ส่วนไหนน้อยลองปรับให้เข้ากับชีวิตเราดู เพียงแต่ว่าอย่าไปขยับพวกกระปุกที่ไว้ซื้อของที่อยากได้ กับ รายจ่ายประจำ ให้เยอะจนเกินไปนะครับ เดี๋ยวกระปุกอื่นๆจะไม่เหลืออะไรเลย
และสุดท้ายนะครับการวางแผนการเงินผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆที่ผมอยากให้ทุกคนที่อยากมีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้นลองไปทำกันนะครับ ซึ่งถ้าคุณแค่ลองเอาเรื่องที่ได้ฟังวันนี้ไปปรับใช้นะครับผมเชื่อว่าชีวิตการเงินของคุณจะค่อยๆดีขึ้นอย่างแน่นอนครับ