พระวัย 73 ปี หมดแรง ล้มฟุบมรณภาพ เผยเพิ่งฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ 2 สัปดาห์ก่อน
https://www.matichon.co.th/region/news_2855014
พระวัย 73 ปี หมดแรง ล้มฟุบมรณภาพ เผยเพิ่งฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ 2 สัปดาห์ก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม เวลา 06.30 น. นายมานะ เสนากลาง ผู้ใหญ่บ้านโคกไผ่ ม.6 ต.หมื่นไวย อ.เมือง จ.นครราชสีมา ได้รับแจ้งจากพระสงฆ์วัดโคกไผ่ ว่ามีพระภิกษุเสียชีวิตอยู่ในกุฏิ ภายในวัด จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยสว่างเมตตา นคราชสีมา เข้าไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบพระภิกษุ 1 รูป นอนหงายมรณภาพอยู่ในกุฏิ ทราบชื่อคือ
พระก่วง สมาจาโร นามสกุลเดิม
ย่านจอหอ อายุ 73 ปี แต่เนื่องจากว่าช่วงนี้ไวรัสโควิด-19 ระบาดหนักในพื้นที่ อ.เมือง เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยจึงยังไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบศพ โดยต้องรอให้เจ้าหน้าที่ของ รพ.มหาราชฯ ที่มีชุด PPE ป้องกันแน่นหนา เข้ามาตรวจสอบ เพื่อป้องกันหากผู้เสียชีวิตมีเชื้อโควิด-19 ก่อนที่จะนำร่าง
พระก่วง ไปชันสูตรและตรวจหาเชื้อที่ รพ.มหาราชนครราชสีมาต่อไป
จากการสอบถามนาง
ลำยอง วริตอำภา อายุ 70 ปี โยมอุปัฏฐากที่ไปถวายภัตตาหารเช้าเป็นประจำ บอกว่า
พระก่วง เป็นพระชาวบ้านโคกไผ่ โดยอุปสมบทมานานกว่า 20 ปีแล้ว เป็นพระสมถะ ทุกเช้าจะออกบิณฑบาตในหมู่บ้าน ซึ่งมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ต่อมาเมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่แล้ว พระก่วงได้ไปฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มแรก ที่เซ็นทรัลพลาซา นครราชสีมา หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ก็บ่นว่ารู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง ร่างกายอ่อนเพลียง่าย ล่าสุดเมื่อเช้าได้ออกบิณฑบาตตามปกติ และกลับมาวัด ชาวบ้านเห็นท่านเข้าไปในกุฏิและนั่งคุกเข่าลง ก่อนที่จะล้มหงายเสียชีวิตในที่สุด ทั้งนี้ พระก่วงได้ทำการบริจาคร่างกายให้กับ รพ.ศรีนครินทร์ ขอนแก่น เพื่อเป็นวิทยาทานแก่การศึกษาทางการแพทย์ แต่หากตรวจพบว่าติดเชื้อคงจะไม่ได้นำศพไปที่ขอนแก่น โดยจะนำมาประกอบพิธีฌาปนกิจที่วัดโคกไผ่ต่อไป
สลดแม่ติดโควิด พาลูกกลับบ้าน หวังรักษา แต่ต้องนั่งรอเตียงข้ามวัน ที่ศาลาริมถนน
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6534931
สลดแม่ติดโควิด พาลูกกลับบ้าน หวังรักษา นั่งรอเตียงข้ามวัน ที่ศาลาริมถนนกุยบุรี หลังรพ.รับรักษาแต่เตียงเต็ม แฉคลัสเตอร์งานวันเกิดเพื่อนลูกชายเสี่ยคนดัง ทำวุ่นติดอื้อ
วันที่ 29 ก.ค.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา นาย
อำนาจ ไหลล้น ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 7 ต.กุยบุรี อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ รับแจ้งว่ามีแม่พร้อมบุตรสาวนั่งรอรถกลับบ้านภายในศาลาที่พักผู้โดยสาร บริเวณสามแยกหนองหมู ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 28 ก.ค.64 โดยแม่เป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19
ตรวจสอบศาลาริมถนนเพชรเกษมฝั่งขาเข้า กทม.พบแม่กับลูกสาววัย 18 ปี นั่งอยู่ในศาลา จากนั้นเจ้าหน้าที่สวมชุด พีพีอี ตะโกนสอบถามจากการเว้นระยะห่างกว่า 5 เมตร ทราบว่าก่อนหน้านี้แม่ลูกไปทำงานที่ จ.สมุทรปราการ
ต่อมาพบว่าแม่ติดเชื้อโควิด 19 สำหรับลูกสาวยังไม่ได้ตรวจ แต่แจ้งว่าเริ่มมีอาการลิ้นไม่รับรส จมูกไม่ได้กลิ่น ทั้งคู่จึงตัดสินใจติดต่อกลับมาที่ญาติ พร้อมประสานโรงพยาบาลกุยบุรี ตอบรับให้กลับมารักษาตัว
จากนั้นมีรถของกู้ภัย ที่ร่วมโครงการส่งผู้ป่วยกลับภูมิลำเนารับกลับ แต่เมื่อเดินทางใกล้ถึงบ้าน ได้ติดต่อโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา แต่ได้รับแจ้งว่าเตียงเต็ม ขอให้ญาตินำผู้ป่วยไปพักผ่อนในสถานที่ที่ปลอดภัยก่อนตามระยะเวลาที่กำหนด จนกว่าจะได้รับการติดต่อให้ไปโรงพยาบาล
นาย
อรุณชัย สมมิตร ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 ต.หาดขาม อ.กุยบุรี กล่าวว่า ได้นำอาหาร เครื่องดื่มมามอบให้ เนื่องจากจุดที่แม่ลูกต้องเดินทางไปพักที่บ้านญาติห่างจากถนนเพชรเกษม 30 กิโลเมตร เนื่องจากโรงพยาบาลกุยบุรีรับผู้ป่วยจากคลัสเตอร์ใหม่ ทำให้เตียงรับผู้ป่วยใหม่เต็ม แต่ได้ประสานกับโรงพยาบาล แล้วโดยยืนยันจะส่งรถมารับแม่ลูกไปส่งบ้านญาติ
ด้าน นาง
ดรุณี จับใจ หัวหน้าพยาบาลโรงพยาบาลกุยบุรี กล่าวว่า เดิมผู้ป่วยติดต่อมาที่โรงพยาบาล ขณะนั้นมีเตียงว่าง แต่เมื่อผู้ป่วยเดินทางมา โรงพยาบาลได้รับผู้ป่วยโควิดหลายราย ทำให้เตียงเต็ม อีกทั้งผู้ป่วยมาถึงช่วงมืดค่ำ จึงขอให้ญาติพาผู้ป่วยไปพักยังที่ปลอดภัยก่อน 1 คืน และจะเร่งเคลียร์พื้นที่เพื่อให้ผู้ป่วนที่ผลตรวจยืนยันแล้วว่าติดเชื้อโควิดเข้ามารักษา ส่วนบุตรสาวหากพบว่าติดเชื้อจะรับตัวมารักษา
สำหรับสถานการณ์ของผู้ป่วยโควิด อ.กุยบุรี มีผู้ป่วยเพิ่ม 27 ราย ส่วนใหญ่มาจากคลัสเตอร์การจัดงานวันเกิดเพื่อนลูกชายเสี่ยใหญ่ในพื้นที่ และมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักสำหรับสถานที่แพร่เชื้อบางแห่งในตลาดกุยบุรีที่ไม่มีการเปิดเผยในไทม์ไลน์
'สรยุทธ' ฟาดกลับ ที่ปรึกษาศบค. ปมข่าว 3 ผู้ป่วยโควิด ฉะโพสต์แบบนี้เพื่ออะไร
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_6534442
‘สรยุทธ’ ฟาดกลับ ที่ปรึกษาศบค. ปมข่าว 3 ผู้ป่วยโควิด ฉะโพสต์แบบนี้เพื่ออะไร ไม่อยากคิดจับผิดการทำงานสื่อหรือไม่ ควรให้กรณีนี้เป็นบทเรียน
เมื่อวันที่ 28 ก.ค.64 นาย
สรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง โพสต์ข้อความในเพจ
สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ถึงกรณีผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษา ศบค. โพสต์ข้อความพาดพิงในเฟซบุ๊ก Warat Karuchit ถึงเหตุการณ์ผู้ป่วยโควิด 3 คน โดยระบุข้อความว่า
“โดยบอกกับคุณตาว่า ส่งแค่นี้แล้วก็ไป ไม่ทราบคุณสรยุทธเอาข้อมูลนี้มาจากไหนอะครับ ผมดูคลิปของไทยรัฐและในโพสต์ของกลุ่มเส้นด้ายแล้วก็ไม่เห็นมีนะครับ”
โดยนาย
สรยุทธ โพสต์ข้อความชี้แจงว่า
ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษา ศบค. โพสต์ตั้งคำถามนี้ เพื่ออะไรครับ
โพสต์นี้ที่อ้างเอามาตั้งคำถาม ผมลงตอนเที่ยงคืน 9 นาทีของคืนก่อน หลังได้รับทราบข่าวนี้ และทีมข่าวได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ปรากฎตาม “คลิปภาพและเสียง” ของลูกชายวัย 42 ปีของคุณพ่ออายุ 63 ปี และคุณปู่วัย 93 ปี ในค่ำคืนวันนั้น
รวมทั้งนักข่าวได้ตรวจสอบเบื้องต้น โดยสัมภาษณ์ญาติ (ลูกสาวอีกคน) ของครอบครัวนี้ ที่ได้รับแจ้งว่าคุณลุงทั้ง 3 คนไปนั่งรออยู่ริมถนนกลางดึก ได้อย่างไร ปรากฎตามคลิป
ประโยคที่ถามผมว่า “โดยบอกกับคุณตาว่า ส่งแค่นี้แล้วก็ไป” เอามาจากไหน ก็จับใจความมาจากทั้ง 2 คลิปนี้ครับ เข้าใจความหมายมั้ยครับ “ส่งแค่นี้ … แล้ว (เจ้าหน้าที่) ก็ไป” รู้จักการสื่อสารแบบจับใจความมั้ยครับ สื่อถึงขนาดต้องจับคำพูด “ตรงเป๊ะ” มานำเสนอเท่านั้นหรือครับ
การตั้งคำถามนี้คงเพราะหนึ่งไม่ได้ดูรายการในเช้าวันต่อมา ซึ่งนำเสนอข้อเท็จจริงนี้อย่างครบถ้วน ปรากฏในคลิปรายการที่ดูยัอนหลังได้ 2.ผลจากการตั้งคำถามนี้ ย่อมทำให้คนที่อาจไม่ได้ติดตามข่าวนี้จากรายการ มองผมในแง่ร้าย และย่อมทำให้เกิดความเสียหาย โดยประการที่จะทำให้ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง
ไม่อยากจะคิดว่า จะจับผิดการทำงานสื่อใช่มั้ยครับ ทำเพื่ออะไรครับ และทำในนามส่วนตัว หรือในนามที่ปรึกษาด้านสื่อของ ศบค.ครับ
การเอาโพสต์ของผมที่โพสต์ไว้ตั้งแต่หลังเกิดเหตุทันที แล้วเอามาตั้งคำถามในภายหลัง แบบพยายามจะจับคำพูดแบบนี้ เป็นธรรมหรือเปล่าครับ
คืนวันนั้น มีเสียงลูกชายที่อยู่ในที่เกิดเหตุบอกในคลิปด้วยว่า “ทหาร” มาส่ง แต่เมื่อไม่สามารถยืนยันได้ว่าจริงหรือไม่ หรืออาจจะเป็นความเข้าใจผิด เมื่อยังไม่สามารถตรวจสอบได้ ผมก็ให้ดูดเสียงคำนี้ออก และไม่ได้พูดในรายการเลยว่าหน่วยงานไหน เพื่อให้ความเป็นธรรมในเบื้องต้นด้วย
หลังเจ้าหน้าที่ออกมาชี้แจง มีคลิปเสียงชายคนเดิม ขอโทษเจ้าหน้าที่สรุปว่า รถวิ่งเลยไป เลยขอลงเอง ข้อนี้ บอกตรงๆ นะครับ ปกติจะต้องขยายให้ข้อเท็จจริงปรากฎ 2 ด้านว่า ลูกสาวกับเจ้าตัวเองในคืนนั้นพูดว่าอย่างไร แต่ผมเห็นว่าในยามวิกฤต ควรจะให้กรณีนี้เป็นบทเรียน เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องขยายให้เรื่องลุกลามกลายเป็นความขัดแย้ง เมื่อต้องร่วมกันแก้ปัญหา
ที่สำคัญ ด้วยความเคารพนะครับ ตามหลักการควบคุมโรคระบาด ต่อให้ผู้ป่วยโควิด ทั้ง 3 ราย “ขอลงเอง” ก็ยอมให้ทำแบบนั้นไม่ได้ครับ เพราะเป็นผู้ติดเชื้อโรคระบาด ยิ่งเป็นผู้สูงวัย ขนาด 93 , 63 ปี ในยามค่ำคืนแบบนั้น
ย้ำนะครับ สื่อมีหน้าที่สะท้อนปัญหาตามความเป็นจริงในสังคมครับ
ในวิกฤตโรคระบาด ร่วมแรงร่วมใจกันทำความเข้าใจกับประชาชน ช่วยเหลือประชาชนดีกว่ามั้ยครับ
https://www.facebook.com/sorrayuth9115/posts/371044574382488
เขาเรียกแถนะ! “แม่หมู”ฟาด”อนุทิน” หลังบอกคนรอฉีดวัคซีนแออัดเพราะมุมกล้อง?
https://www.dailynews.co.th/news/102814/
แม่หมู พิมพ์ผกา ไม่ทนฟาดกลับสัมภาษณ์ อนุทิน หลังบอกคนแออัดรอฉีดวัคซีน แค่มุมกล้อง และเป็นแค่ตอนเช้าเท่านั้น งานนี้ชาวเน็ตรุมจวกรัวๆ
ทำเอานักแสดงสาวรุ่นใหญ่ที่ติดตามสารต่างๆ ในประเทศออกอาการทนไม่ไหวจริงๆ เมื่อเห็นคำสัมภาษณ์ของ นาย
อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่กล่าวถึงกรณีที่คนไปแออัดที่สถานีกลางบางซื่อเพื่อรอฉีดวัคซีนโควิดเพราะหลายคนมองว่าอาจทำให้เกิดคลัสเตอร์ใหม่ก็ได้
งานนี้แม่หมูเล่าผ่านแคปชั่นและรูปคนที่แออัดที่ลงในไอจีว่า
“เห็นภาพนี้ตั้งแต่เช้า….เหนื่อย !!!! ไม่มีอะไรจะพูด!!….. แต่พอได้ยินท่านสัมภาษณ์ ก็ทำเอาอ้าปากค้าง ท่านบอกแน่นแค่ช่วงเช้า…. ห๊า!!!! โควิด มันตื่นสายเหรอท่าน ตอนเช้าๆโควิดไม่ทำงานเหรอท่าน?? ….. ท่านบอกแค่มุมกล้องถ่ายให้ดูเยอะ โว๊ะ!!! คำตอบนี้ประชาชนได้ยินแล้วเค้าจะเรียกท่านว่า แถ ได้นะท่าน…..อย่างน้อยๆ ท่านต้องแจ้งประชาสัมพันธ์กระจายคนให้ไปฉีดหลายๆจุด ที่เตรียมไว้… กลับบอกว่าต้องลดการฉีด…เพื่อไม่ให้มีภาพนี้ หือ!!! ลดทำมายยยย??? ลดไม่ด๊ายยยย ต้องเร่งกระจายฉีดสิท่านนนนพระเจ้า!!! …. ตายแล้ววว!! ตายๆๆๆๆๆ “
พอมีการลงรูปไป ก็มีชาวเน็ตมาวิจารณ์บทสัมภาษณ์ของนายอนุทินมากมายและดุเดือดทันที
JJNY : พระวัย73มรณภาพ เพิ่งฉีดแอสตร้าฯ│รอเตียงที่ศาลาริมถ.│สรยุทธฟาดกลับที่ปรึกษาศบค.│แม่หมูฟาดอนุทิน│ธุรกิจโคราชปิด4พัน
https://www.matichon.co.th/region/news_2855014
พระวัย 73 ปี หมดแรง ล้มฟุบมรณภาพ เผยเพิ่งฉีดวัคซีนแอสตร้าฯ 2 สัปดาห์ก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม เวลา 06.30 น. นายมานะ เสนากลาง ผู้ใหญ่บ้านโคกไผ่ ม.6 ต.หมื่นไวย อ.เมือง จ.นครราชสีมา ได้รับแจ้งจากพระสงฆ์วัดโคกไผ่ ว่ามีพระภิกษุเสียชีวิตอยู่ในกุฏิ ภายในวัด จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยสว่างเมตตา นคราชสีมา เข้าไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบพระภิกษุ 1 รูป นอนหงายมรณภาพอยู่ในกุฏิ ทราบชื่อคือ พระก่วง สมาจาโร นามสกุลเดิม ย่านจอหอ อายุ 73 ปี แต่เนื่องจากว่าช่วงนี้ไวรัสโควิด-19 ระบาดหนักในพื้นที่ อ.เมือง เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยจึงยังไม่กล้าเข้าไปตรวจสอบศพ โดยต้องรอให้เจ้าหน้าที่ของ รพ.มหาราชฯ ที่มีชุด PPE ป้องกันแน่นหนา เข้ามาตรวจสอบ เพื่อป้องกันหากผู้เสียชีวิตมีเชื้อโควิด-19 ก่อนที่จะนำร่างพระก่วง ไปชันสูตรและตรวจหาเชื้อที่ รพ.มหาราชนครราชสีมาต่อไป
จากการสอบถามนางลำยอง วริตอำภา อายุ 70 ปี โยมอุปัฏฐากที่ไปถวายภัตตาหารเช้าเป็นประจำ บอกว่า พระก่วง เป็นพระชาวบ้านโคกไผ่ โดยอุปสมบทมานานกว่า 20 ปีแล้ว เป็นพระสมถะ ทุกเช้าจะออกบิณฑบาตในหมู่บ้าน ซึ่งมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ต่อมาเมื่อประมาณ 2 สัปดาห์ที่แล้ว พระก่วงได้ไปฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มแรก ที่เซ็นทรัลพลาซา นครราชสีมา หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ก็บ่นว่ารู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง ร่างกายอ่อนเพลียง่าย ล่าสุดเมื่อเช้าได้ออกบิณฑบาตตามปกติ และกลับมาวัด ชาวบ้านเห็นท่านเข้าไปในกุฏิและนั่งคุกเข่าลง ก่อนที่จะล้มหงายเสียชีวิตในที่สุด ทั้งนี้ พระก่วงได้ทำการบริจาคร่างกายให้กับ รพ.ศรีนครินทร์ ขอนแก่น เพื่อเป็นวิทยาทานแก่การศึกษาทางการแพทย์ แต่หากตรวจพบว่าติดเชื้อคงจะไม่ได้นำศพไปที่ขอนแก่น โดยจะนำมาประกอบพิธีฌาปนกิจที่วัดโคกไผ่ต่อไป
สลดแม่ติดโควิด พาลูกกลับบ้าน หวังรักษา แต่ต้องนั่งรอเตียงข้ามวัน ที่ศาลาริมถนน
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6534931
สลดแม่ติดโควิด พาลูกกลับบ้าน หวังรักษา นั่งรอเตียงข้ามวัน ที่ศาลาริมถนนกุยบุรี หลังรพ.รับรักษาแต่เตียงเต็ม แฉคลัสเตอร์งานวันเกิดเพื่อนลูกชายเสี่ยคนดัง ทำวุ่นติดอื้อ
วันที่ 29 ก.ค.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา นายอำนาจ ไหลล้น ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 7 ต.กุยบุรี อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ รับแจ้งว่ามีแม่พร้อมบุตรสาวนั่งรอรถกลับบ้านภายในศาลาที่พักผู้โดยสาร บริเวณสามแยกหนองหมู ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 28 ก.ค.64 โดยแม่เป็นผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19
ตรวจสอบศาลาริมถนนเพชรเกษมฝั่งขาเข้า กทม.พบแม่กับลูกสาววัย 18 ปี นั่งอยู่ในศาลา จากนั้นเจ้าหน้าที่สวมชุด พีพีอี ตะโกนสอบถามจากการเว้นระยะห่างกว่า 5 เมตร ทราบว่าก่อนหน้านี้แม่ลูกไปทำงานที่ จ.สมุทรปราการ
ต่อมาพบว่าแม่ติดเชื้อโควิด 19 สำหรับลูกสาวยังไม่ได้ตรวจ แต่แจ้งว่าเริ่มมีอาการลิ้นไม่รับรส จมูกไม่ได้กลิ่น ทั้งคู่จึงตัดสินใจติดต่อกลับมาที่ญาติ พร้อมประสานโรงพยาบาลกุยบุรี ตอบรับให้กลับมารักษาตัว
จากนั้นมีรถของกู้ภัย ที่ร่วมโครงการส่งผู้ป่วยกลับภูมิลำเนารับกลับ แต่เมื่อเดินทางใกล้ถึงบ้าน ได้ติดต่อโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา แต่ได้รับแจ้งว่าเตียงเต็ม ขอให้ญาตินำผู้ป่วยไปพักผ่อนในสถานที่ที่ปลอดภัยก่อนตามระยะเวลาที่กำหนด จนกว่าจะได้รับการติดต่อให้ไปโรงพยาบาล
นายอรุณชัย สมมิตร ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 6 ต.หาดขาม อ.กุยบุรี กล่าวว่า ได้นำอาหาร เครื่องดื่มมามอบให้ เนื่องจากจุดที่แม่ลูกต้องเดินทางไปพักที่บ้านญาติห่างจากถนนเพชรเกษม 30 กิโลเมตร เนื่องจากโรงพยาบาลกุยบุรีรับผู้ป่วยจากคลัสเตอร์ใหม่ ทำให้เตียงรับผู้ป่วยใหม่เต็ม แต่ได้ประสานกับโรงพยาบาล แล้วโดยยืนยันจะส่งรถมารับแม่ลูกไปส่งบ้านญาติ
ด้าน นางดรุณี จับใจ หัวหน้าพยาบาลโรงพยาบาลกุยบุรี กล่าวว่า เดิมผู้ป่วยติดต่อมาที่โรงพยาบาล ขณะนั้นมีเตียงว่าง แต่เมื่อผู้ป่วยเดินทางมา โรงพยาบาลได้รับผู้ป่วยโควิดหลายราย ทำให้เตียงเต็ม อีกทั้งผู้ป่วยมาถึงช่วงมืดค่ำ จึงขอให้ญาติพาผู้ป่วยไปพักยังที่ปลอดภัยก่อน 1 คืน และจะเร่งเคลียร์พื้นที่เพื่อให้ผู้ป่วนที่ผลตรวจยืนยันแล้วว่าติดเชื้อโควิดเข้ามารักษา ส่วนบุตรสาวหากพบว่าติดเชื้อจะรับตัวมารักษา
สำหรับสถานการณ์ของผู้ป่วยโควิด อ.กุยบุรี มีผู้ป่วยเพิ่ม 27 ราย ส่วนใหญ่มาจากคลัสเตอร์การจัดงานวันเกิดเพื่อนลูกชายเสี่ยใหญ่ในพื้นที่ และมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักสำหรับสถานที่แพร่เชื้อบางแห่งในตลาดกุยบุรีที่ไม่มีการเปิดเผยในไทม์ไลน์
'สรยุทธ' ฟาดกลับ ที่ปรึกษาศบค. ปมข่าว 3 ผู้ป่วยโควิด ฉะโพสต์แบบนี้เพื่ออะไร
https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_6534442
‘สรยุทธ’ ฟาดกลับ ที่ปรึกษาศบค. ปมข่าว 3 ผู้ป่วยโควิด ฉะโพสต์แบบนี้เพื่ออะไร ไม่อยากคิดจับผิดการทำงานสื่อหรือไม่ ควรให้กรณีนี้เป็นบทเรียน
เมื่อวันที่ 28 ก.ค.64 นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง โพสต์ข้อความในเพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ถึงกรณีผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษา ศบค. โพสต์ข้อความพาดพิงในเฟซบุ๊ก Warat Karuchit ถึงเหตุการณ์ผู้ป่วยโควิด 3 คน โดยระบุข้อความว่า
“โดยบอกกับคุณตาว่า ส่งแค่นี้แล้วก็ไป ไม่ทราบคุณสรยุทธเอาข้อมูลนี้มาจากไหนอะครับ ผมดูคลิปของไทยรัฐและในโพสต์ของกลุ่มเส้นด้ายแล้วก็ไม่เห็นมีนะครับ”
โดยนายสรยุทธ โพสต์ข้อความชี้แจงว่า ผศ.ดร.วรัชญ์ ครุจิต รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และที่ปรึกษา ศบค. โพสต์ตั้งคำถามนี้ เพื่ออะไรครับ
โพสต์นี้ที่อ้างเอามาตั้งคำถาม ผมลงตอนเที่ยงคืน 9 นาทีของคืนก่อน หลังได้รับทราบข่าวนี้ และทีมข่าวได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ปรากฎตาม “คลิปภาพและเสียง” ของลูกชายวัย 42 ปีของคุณพ่ออายุ 63 ปี และคุณปู่วัย 93 ปี ในค่ำคืนวันนั้น
รวมทั้งนักข่าวได้ตรวจสอบเบื้องต้น โดยสัมภาษณ์ญาติ (ลูกสาวอีกคน) ของครอบครัวนี้ ที่ได้รับแจ้งว่าคุณลุงทั้ง 3 คนไปนั่งรออยู่ริมถนนกลางดึก ได้อย่างไร ปรากฎตามคลิป
ประโยคที่ถามผมว่า “โดยบอกกับคุณตาว่า ส่งแค่นี้แล้วก็ไป” เอามาจากไหน ก็จับใจความมาจากทั้ง 2 คลิปนี้ครับ เข้าใจความหมายมั้ยครับ “ส่งแค่นี้ … แล้ว (เจ้าหน้าที่) ก็ไป” รู้จักการสื่อสารแบบจับใจความมั้ยครับ สื่อถึงขนาดต้องจับคำพูด “ตรงเป๊ะ” มานำเสนอเท่านั้นหรือครับ
การตั้งคำถามนี้คงเพราะหนึ่งไม่ได้ดูรายการในเช้าวันต่อมา ซึ่งนำเสนอข้อเท็จจริงนี้อย่างครบถ้วน ปรากฏในคลิปรายการที่ดูยัอนหลังได้ 2.ผลจากการตั้งคำถามนี้ ย่อมทำให้คนที่อาจไม่ได้ติดตามข่าวนี้จากรายการ มองผมในแง่ร้าย และย่อมทำให้เกิดความเสียหาย โดยประการที่จะทำให้ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง
ไม่อยากจะคิดว่า จะจับผิดการทำงานสื่อใช่มั้ยครับ ทำเพื่ออะไรครับ และทำในนามส่วนตัว หรือในนามที่ปรึกษาด้านสื่อของ ศบค.ครับ
การเอาโพสต์ของผมที่โพสต์ไว้ตั้งแต่หลังเกิดเหตุทันที แล้วเอามาตั้งคำถามในภายหลัง แบบพยายามจะจับคำพูดแบบนี้ เป็นธรรมหรือเปล่าครับ
คืนวันนั้น มีเสียงลูกชายที่อยู่ในที่เกิดเหตุบอกในคลิปด้วยว่า “ทหาร” มาส่ง แต่เมื่อไม่สามารถยืนยันได้ว่าจริงหรือไม่ หรืออาจจะเป็นความเข้าใจผิด เมื่อยังไม่สามารถตรวจสอบได้ ผมก็ให้ดูดเสียงคำนี้ออก และไม่ได้พูดในรายการเลยว่าหน่วยงานไหน เพื่อให้ความเป็นธรรมในเบื้องต้นด้วย
หลังเจ้าหน้าที่ออกมาชี้แจง มีคลิปเสียงชายคนเดิม ขอโทษเจ้าหน้าที่สรุปว่า รถวิ่งเลยไป เลยขอลงเอง ข้อนี้ บอกตรงๆ นะครับ ปกติจะต้องขยายให้ข้อเท็จจริงปรากฎ 2 ด้านว่า ลูกสาวกับเจ้าตัวเองในคืนนั้นพูดว่าอย่างไร แต่ผมเห็นว่าในยามวิกฤต ควรจะให้กรณีนี้เป็นบทเรียน เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอีกเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องขยายให้เรื่องลุกลามกลายเป็นความขัดแย้ง เมื่อต้องร่วมกันแก้ปัญหา
ที่สำคัญ ด้วยความเคารพนะครับ ตามหลักการควบคุมโรคระบาด ต่อให้ผู้ป่วยโควิด ทั้ง 3 ราย “ขอลงเอง” ก็ยอมให้ทำแบบนั้นไม่ได้ครับ เพราะเป็นผู้ติดเชื้อโรคระบาด ยิ่งเป็นผู้สูงวัย ขนาด 93 , 63 ปี ในยามค่ำคืนแบบนั้น
ย้ำนะครับ สื่อมีหน้าที่สะท้อนปัญหาตามความเป็นจริงในสังคมครับ
ในวิกฤตโรคระบาด ร่วมแรงร่วมใจกันทำความเข้าใจกับประชาชน ช่วยเหลือประชาชนดีกว่ามั้ยครับ
https://www.facebook.com/sorrayuth9115/posts/371044574382488
เขาเรียกแถนะ! “แม่หมู”ฟาด”อนุทิน” หลังบอกคนรอฉีดวัคซีนแออัดเพราะมุมกล้อง?
https://www.dailynews.co.th/news/102814/
แม่หมู พิมพ์ผกา ไม่ทนฟาดกลับสัมภาษณ์ อนุทิน หลังบอกคนแออัดรอฉีดวัคซีน แค่มุมกล้อง และเป็นแค่ตอนเช้าเท่านั้น งานนี้ชาวเน็ตรุมจวกรัวๆ
ทำเอานักแสดงสาวรุ่นใหญ่ที่ติดตามสารต่างๆ ในประเทศออกอาการทนไม่ไหวจริงๆ เมื่อเห็นคำสัมภาษณ์ของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่กล่าวถึงกรณีที่คนไปแออัดที่สถานีกลางบางซื่อเพื่อรอฉีดวัคซีนโควิดเพราะหลายคนมองว่าอาจทำให้เกิดคลัสเตอร์ใหม่ก็ได้
งานนี้แม่หมูเล่าผ่านแคปชั่นและรูปคนที่แออัดที่ลงในไอจีว่า
“เห็นภาพนี้ตั้งแต่เช้า….เหนื่อย !!!! ไม่มีอะไรจะพูด!!….. แต่พอได้ยินท่านสัมภาษณ์ ก็ทำเอาอ้าปากค้าง ท่านบอกแน่นแค่ช่วงเช้า…. ห๊า!!!! โควิด มันตื่นสายเหรอท่าน ตอนเช้าๆโควิดไม่ทำงานเหรอท่าน?? ….. ท่านบอกแค่มุมกล้องถ่ายให้ดูเยอะ โว๊ะ!!! คำตอบนี้ประชาชนได้ยินแล้วเค้าจะเรียกท่านว่า แถ ได้นะท่าน…..อย่างน้อยๆ ท่านต้องแจ้งประชาสัมพันธ์กระจายคนให้ไปฉีดหลายๆจุด ที่เตรียมไว้… กลับบอกว่าต้องลดการฉีด…เพื่อไม่ให้มีภาพนี้ หือ!!! ลดทำมายยยย??? ลดไม่ด๊ายยยย ต้องเร่งกระจายฉีดสิท่านนนนพระเจ้า!!! …. ตายแล้ววว!! ตายๆๆๆๆๆ “
พอมีการลงรูปไป ก็มีชาวเน็ตมาวิจารณ์บทสัมภาษณ์ของนายอนุทินมากมายและดุเดือดทันที