ซึมเศร้า ไบโพล่า กับน้ำหนักที่หายไปกว่า 10 กิโล ต้นเหตุมาจากผู้หญิงเพียงคนเดียว

เราเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เคยเป็นนักกีฬาที่ต้องซ้อมแบดทุกวัน ตอนนั้นเราน้ำหนัก 60 กก. สูง 161 ซม. แต่เราเป็นคนที่ดูไม่อ้วนเพราะต้องออกกำลังกายทุกวัน อาจจะแค่ดูมีเนื้อ ตอนนั้นร่างกายแข็งแรงดี มีความสุขกับได้มาซ้อมแบดกับเพื่อนทุกเย็น

จนกระทั่งวันหนึ่ง แม่เราโทรมาหาเรา ร้องไห้ ทั้งที่ในชีวิต เราแทบจะไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้เลย แม่บอกว่าให้มารับแม่ที่รร.หน่อย แม่เราทำงานเป็นครูที่รร.แห่งหนึ่งแถวบ้าน เราถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คำตอบที่ได้รับกลับมามีแต่เสียงร้องไห้ เราเลยรีบขับรถไปหาแม่ทันที

พอไปถึง เราเห็นหน้าแม่ตาแดงก่ำแบบคนที่เพิ่งร้องไห้มาอย่างหนัก พร้อมกับยื่นจดหมาย 2 ฉบับมาให้เราอ่าน จดหมายถูกส่งมาจากบุคคลนิรนามที่ไม่ต้องการให้เรารู้ตัวตนของเขา จดหมายฉบับแรกถูกส่งมาที่รร.นานแล้ว แต่แม่ยังไม่ได้รับ และไม่ได้รับรู้เรื่องอะไร จนจดหมายฉบับที่ 2 ถูกส่งตามมา

เนื้อหาในจดหมายสรุปใจความได้ว่า เลขาของพ่อเรา (ซึ่งตอนนี้กลายเป็นอดีต แต่ก็ยังคงทำงานอยู่ที่รร.เดิม) พยายามที่จะมีตัวตนมากกว่าหน้าที่เลขา และความพยายามของเขาเริ่มหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆจนไม่เหมาะสม ในจดหมายฉบับที่ 2 ระบุว่าให้แม่ของเรารีบมาจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว เพราะโดยปกติแม่เป็นคนที่ไว้ใจ ซื่อสัตย์ และไม่เคยยุ่งเกี่ยวในส่วนงานของพ่อ 

วันนั้นแม่เร่งเร้าให้เราขับรถพาไปหาพ่อที่รร.อีกแห่งหนึ่งทันที พ่อกับแม่เราทำงานกันคนละรร. เราทำอะไรไม่ถูก ไม่เคยคิดว่าชีวิตที่คนภายนอกมองว่าดี ได้เรียนที่ดีๆ มีครอบครัวที่อบอุ่น ต้องมาเจอกับเรื่องอะไรแบบนี้

เราเลยโทรหาพี่ชายของเราว่าควรทำยังไง เพราะตอนนั้นทั้งเราและแม่สติไม่อยู่กับตัวแล้ว พี่บอกว่าให้ใจเย็นๆ พี่กำลังขับรถมารับ พอพี่มาถึง เราตัดสินใจที่จะขับรถไปที่รร.ที่พ่อทำงานอยู่ ตอนนั้นเป็นเวลาเย็นที่เลิกงานแล้ว พี่พยายามบอกแม่ว่า อาจจะแค่มีคนไม่ชอบพ่อ เลยเขียนจดหมายมาป่วนรึเปล่า อย่าเพิ่งคิดมาก

แต่เหตุการณ์ที่เราทั้ง 3 คนไม่เคยคิดว่าได้เจอในวันนั้นก็ได้เจอ พ่อเรากำลังเดินขึ้นรถพร้อมกับผู้หญิงคนนั้นที่เชิดหน้าชูตาและเหวี่ยงกระเป๋าไปวางที่เบาะหลัง พร้อมกับขึ้นนั่งข้างที่คนขับ ที่ที่แม่เราเป็นคนนั่งมาตลอดกว่า 30 ปีที่แต่งงานกันมา

เหตุการณ์หลายๆอย่างถาโถมเข้ามาหาครอบครัวเราทั้ง 3 คนในตอนนั้น แต่เราและพี่ก็ต้องพยายามเข้มแข็งเพื่อแม่ เพราะจิตใจของแม่ตอนนั้นย่ำแย่มาก เราไม่อยากจะพูดถึงมันอีก ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างต่อจากนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่คิดในใจคือไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะใจร้ายต่อครอบครัวของเราได้ขนาดนี้ ด้วยอายุที่ไล่เลี่ยกับเราซึ่งเป็นลูก

ตอนนั้นโลกเรามืดไปหมด กลายเป็นคนเก็บตัว ไม่อยากเจอใคร ตัดขาดจากเพื่อน เรามีความคิดที่ไม่อยากจะอยู่อีกต่อไป เคยชวนแม่ให้หนีจากความทรมานนี้ไปด้วยกัน จนแม่ต้องพาเราไปพบจิตแพทย์ที่รพ.แห่งหนึ่ง หมอวินิจฉัยว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าและให้ยามา ผลคือเรากลายเป็นคนพูดมาก จากปกติที่เป็นคนพูดน้อย อยากทำนู่นทำนี่ ซื้อของอย่างไม่คิด  จนแม่สังเกตเห็นได้เลยรีบพากลับไปหาจิตแพทย์

แม่เราบอกว่าเราดูกระตือรือร้นผิดปกติไปมาก หมอเลยถามว่าดีดใช่ไหม เหมือนหมอจะเข้าใจที่แม่จะสื่อ หมอเลยบอกว่ายาที่ให้เป็นยารักษาซึมเศร้า มันจะกดขั้วลบของเรา ให้เราสดใสขึ้น แต่ถ้ามีอาการดีดแปลว่าเราเป็นไบโพล่าร่วมกับซึมเศร้า ต้องเปลี่ยนยา

ตอนนั้นเราถามหมอว่าแล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราต้องกินยาตัวไหนบ้าง ผลจึงจะออกมาดีที่สุด หมอบอกว่าโรคจิตเวชไม่เหมือนโรคทางกาย เราต้องปรับยาไปเรื่อยๆเพื่อหายาที่ให้ผลดีและส่งผลข้างเคียงต่อเราน้อยที่สุด หลังจากนั้นความทรมานจากการทดลองยาก็เหิดขึ้น

เรานอนหลับไม่ได้ สะดุ้งตื่นตอนนอนไปได้ 2-3 ชม. และไม่หลับอีกเลยในคืนนั้น ตอนนั้นสภาพเราเหมือนศพเดินได้ เบื่ออาหาร พยายามกินแต่ก็คลื่นไส้ แต่ก็คิดว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวกับยาเหมือนที่หมอเคยบอก

น้ำหลักเราลดลงเรื่อยๆ จาก 60 kg ลดจนมาถึง 50 49 48 47 และดูเหมือนจะลดไม่หยุด เราเพลียจากการไม่ได้นอน จนถึงเวลาหมอนัด หมอปรับยาให้เราใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ช่วยนอนหลับได้ดีขึ้น แต่ฤทธิ์ของยาแรงอาจเกินไป จนเรานอนทั้งวัน ซึ่งช่วงนั้นเราเรียนออนไลน์ หลายครั้งที่เรียนๆอยู่แล้วเราถึงกับวูบหลับไป ตื่นมาอีกทีคือจบคาบไปแล้ว 

เมื่อถึงวันหมอนัดอีกรอบ เราบอกอาการหมอไป และได้รับการเปลี่ยนยาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นช่วงสอบกลางภาคของเรา ยาตัวใหม่ทำให้เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการนอนหนาวสั่นไปทั้งตัว ใจสั่น ทรมานจนบอกไม่ถูก ตอนนั้นแม่รีบโทรมาหารพ. เจ้าหน้าที่บอกว่าให้รีบพามารพ.ให้เร็วที่สุด น่าจะแพ้ยา วันนั้นเป็นวันสอบกลางภาคของเรา เราขาดสอบ แค่จะเดินก็ยังจะไม่ไหว จนต้องถอนวิชานั้นและตามเรียนกับรุ่นน้องปีถัดมา

เราจำไม่ได้ว่าเราเปลี่ยนยามากี่ครั้งแล้ว รู้แต่ว่ายาทุกตัวมีผลข้างเคียง และต้องใช้เวลาในการปรับตัวให้เข้ากับยา ทุกวันนี้เรากินยาเยอะมาก แต่ก็เป็นตัวที่ผลข้างเคียงน้อยที่สุด คืออาการผมร่วง ผมเราบางลงไปกว่าเก่ามากๆ พยายามหวีผมให้เบาที่สุด แต่เราก็ต้องทนและหวังว่าสักวันหนึ่งชีวิตเราจะกลับมามีความสุขได้อีกครั้ง

เราอยากมาแชร์ประสบการณ์ อยากเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่ประสบปัญหาในชีวิต และอยากขอกำลังใจจากทุกคนให้เราหายจากโรคนี้ให้ได้
ทุก ๆ คนสามารถมาให้กำลังใจเราได้ทางโพสต์ตามลิ้งข้างล่างนี้ ขอบคุณสำหรับกำลังใจมากนะคะ
https://www.facebook.com/photo?fbid=5973196832722834&set=a.297756140266960
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่