ริษยารักข้ามภพ บทที่ 12


ขอบคุณภาพจากกระทู้เจ้านางเชียงตุงค่ะ  
ภาพนี้คือ เจ้านางสุจันทรี มหาเทวีชาวออสเตรียของเจ้าฟ้าจ่าแสงแห่งสีป้อ ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้สร้างตัวละครชื่อ มเหสีเอมา แห่งเมืองซอแต๊ก พระสหายของเจ้านางคำหยาดฟ้าในนิยายเรื่องนี้ค่ะ



ตอนที่ 12

ในห้องทรงพระอักษรของเจ้าฟ้ากองคำฟั่น พระองค์พร้อมด้วยเจ้าหลวงไชยรังสีและเจ้าชายพรหมภูมินทร์กำลังปรึกษาหารือข้อราชการกันอยู่ แต่ต่างต้องตกพระทัยเมื่อเจ้าแม่จันทร์หอมผลุนผลันเข้ามาในห้อง

“เจ้าเป็นอะไรไป จันทร์หอม” เจ้าฟ้าขมวดขนงถามชายาที่บัดนี้มายืนร่ำไห้อยู่เบื้องพระพักตร์

“ฟ้าคุ้มลูกเราน่ะสิเจ้าข้า” พูดได้เพียงเท่านั้นก็ปล่อยโฮใหญ่ออกมาอีก มิสามารถเอ่ยสิ่งใดต่อได้

“ทำไม...เกิดอะไรขึ้นกับฟ้าคุ้มรึ” เจ้าฟ้าผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกพระทัย ร้องถามชายาที่ยิ่งร้องโฮร่ำไห้ ปิ่มว่าจะขาดใจตาย

“เจ้าเอาแต่ร้องไห้แล้วเมื่อใดข้าจะรู้ความ” เอ็ดนางอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นนางยังเอาแต่สะอึกสะอื้น ไม่ยอมเล่าความถวายเสียที

“ชายน้อยแอบหนีไปเชียงใหม่แล้วเจ้าข้า” 

เจ้านางคำหยาดฟ้าและเจ้าชายโหลงขนานตามหลังพระชายาที่สามเข้ามาพอดี เจ้านางสาวตัดสินใจเป็นคนเล่าถวายเสียเอง เพราะลองเจ้าแม่อุษาประไพตัวดีล่วงรู้ความลับเข้าให้แล้ว เรื่องนี้ไม่มีทางจะปกปิดอีกต่อไปได้ ต้องเดินหน้าเผชิญความจริงเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วพระชายารองอาจบิดเบือนเรื่องราวให้มันดูแย่ลงกว่าเก่าอีก จนยากแก้ไขได้

“เจ้าว่าไงนะ” เจ้าฟ้าแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ตวาดถามเสียงดังก้องห้อง

“ฟ้าคุ้มมิได้เดินทางไปอังกฤษ หากแต่ไปเชียงใหม่เพื่อไปเยี่ยมปิมปาเพื่อนหญิงที่กำลังป่วยหนักเจ้าข้า”

จำต้องเล่าตามความจริงอย่างไม่ปิดบังด้วยน้ำเสียงที่บังคับไม่ให้สั่น เล่าจบก็ก้มพักตร์งุด ไม่กล้าสบสายพระเนตรดุดันของพระบิดา ซึ่งก็ไม่เหนือความคาดหมายอะไร เพราะทันทีที่ทรงทราบ พระกายของเจ้าฟ้าก็สั่นเทิ้มขึ้นด้วยแรงพิโรธ ตบโต๊ะทรงพระอักษรดังปังใหญ่จนทุกคนในที่นั้นสะดุ้ง

“หนอยแน่ไอ้ลูกชั่ว! มันบังอาจโกหกข้าว่าจะไปเรียนต่อยังอังกฤษ ที่แท้หลบไปหาชู้รักมันถึงเชียงใหม่เชียวรึ ไอ้ลูกคนนี้มันหลงผู้หญิงจนไม่ลืมหูลืมตา มันกล้าขัดคำสั่งข้า ฮึ่ม...ไอ้ฟ้าคุ้ม แล้วมันจะได้รู้ว่าโทษของมันหนักหนาสาหัสแค่ไหน” 

ด่าพลางถลึงเนตรปูดโปนจ้องธิดาคนโปรดเขม็ง แค่นเสียงถามด้วยพระพักตร์ถมิงทึง ขณะที่ภายในพระทัยราวถูกฟาดด้วยท่อนเหล็กจนปวดร้าวไปทั้งแผ่นอุระ 

“พวกเจ้ารู้มาจากใคร รู้ตั้งแต่เมื่อใด ทำไมถึงเพิ่งมาบอกข้า หา!” 

เจ้านางสาวแม้กล้าทูลข่าวร้ายกับพระบิดา แต่กลับไม่กล้าสบสายพระเนตรด้วย ก้มต่ำลงอีก พลางเล่าถวายด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างกลั้นความกลัวไม่อยู่ 

“ได้โปรดอภัยโทษให้แก่ลูกด้วยเถิด ฟ้าคุ้มบอกลูกกลางดึกก่อนวันออกเดินทาง ลูกหมดคำห้ามปรามเพราะฟ้าคุ้มยืนยันจะไปเยี่ยมปิมปาให้ได้ ลูกสงสารน้องที่โทมนัสมานาน นอนไม่ได้กินไม่ลงจนผ่ายผอม ร่ำ ๆ จะป่วยไข้ จึงมิได้แจ้งแก่เจ้าพ่อ ได้แต่ให้เงินทองน้องไปจำนวนหนึ่ง เพื่อเอาไว้ใช้ที่โน่น”

พูดช่วยน้องหวังให้เจ้าพ่อพระทัยอ่อนลงบ้าง แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเจ้าฟ้ากลับแสดงท่าทีพิโรธหนักยิ่งขึ้น เนื่องจากที่แล้วมา พระองค์อุตส่าห์ยอมหักกับเสนาบดีทั้งปวง ก็เพื่อพระโอรสองค์นี้ แต่นอกจากเจ้าชายฟ้าคุ้มจะไม่สำนึกแล้ว ยังกล้าสละราชบัลลังก์หนีไปเชียงใหม่ เหมือนไม่ใยดีกับบัลลังก์กษัตริย์ของพระองค์ มิหนำซ้ำพระธิดาคนโปรดยังมารู้เห็นเป็นใจด้วยเสียอีก เพลิงโทสะจึงฮือโหมจนพระพักตร์แดงก่ำไปหมด 

“พวกเจ้ามันบัดซบเลวเหมือนกันหมดทุกคน ทั้งไอ้และอี ไม่มีใครดีสักคนเดียว เวรกรรมของข้าที่มีลูกชั่วแบบพวกเจ้า...เป็นเวรเป็นกรรมของข้าจริง ๆ”

แผดเสียงด่าดังลั่น ขณะที่ความปวดร้าวแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ๆ จากภายใน จนพระหทัยสั่นระริกราวจะปลิดจากขั้ว เจ็บเค้นที่แผ่นอุระก่อนแผ่ซ่านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย

“เจ้าพี่ ได้โปรดสั่งให้ทหารไปตามฟ้าคุ้มกลับมาบ้านด้วยเถิด ตอนนี้คงยังทันการณ์อยู่” เจ้าแม่จันทร์หอมคุกเข่าลงอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น 

“ให้เอามันกลับมางั้นรึ เหอะ! เอามันกลับมาตัดหัวน่ะสิ ในเมื่อมันไม่รักดี ถึงมันไม่กลับมาให้ข้าตัดหัว ข้าก็จะตัดหางมันทิ้ง ลูกข้าใช่มีมันคนเดียว ข้าเคยได้ลั่นวาจาไว้ หากวันใดมันเห็นนังผู้หญิงคนนั้นดีกว่าบ้านเมืองของมันเอง ข้าจะขับมันออกจากราชวงศ์ ห้ามไม่ให้เหยียบเข้ามาในเมืองนี้อีก ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ลูกข้าคนอื่น”

ขบกรามกรอดขณะระบุโทษของโอรส นึกอยากแล่เนื้อเถือหนังลูกชายผู้ไม่รักดี ไม่นึกเลยว่าโอรสของตนจะเห็นสตรีต่างชาติคนเดียวสำคัญกว่าบัลลังก์กษัตริย์ ไฟโทสะฮือโหมจนรุ่มร้อนไปทั้งพระกาย ฉับพลันเกิดอาการเสียดแน่นที่ยอดอุระจนลมหายใจติดขัด ต้องทรุดฮวบลงบนโต๊ะท่ามกลางความตกตะลึงของคนในห้อง ซึ่งเมื่อได้สติต่างพากันอุทาน ผวาเข้ามาหา แต่เจ้าฟ้าแข็งพระทัยโบกหัตถ์ห้าม ไม่ให้ผู้ใดเข้ามาใกล้ หัตถ์อีกข้างกุมพระอุระไว้อย่างเจ็บปวด เหงื่อกาฬแตกซึมจนพระกายเปียกชุ่ม

“พวกเจ้าไปให้ไกลหน้าข้า ภูมินทร์ เจ้าช่วยพาข้าไปนอนพักในห้องที” 

ความเจ็บปวดแม้มากมายจนเจียนพระหทัยจะขาด แต่ด้วยแรงโทสะจึงกวักเรียกหาเฉพาะเจ้าชายองครักษ์ที่ยืนตะลึงมองเหตุการณ์อยู่ ซึ่งเมื่อหายจากอาการตกตะลึงจึงรีบเข้าช่วยประคอง พาเจ้าฟ้าให้ลุกขึ้นยืน

“มหาคำคืน...เจ้าก็เข้าไปช่วยกันกับเจ้าภูมินทร์พาพ่อเจ้าไปนอนพักเถิด” 

นาทีนั้นเอง เสียงสตรีผู้เฝ้าลอบมองอยู่นอกห้องก็ดังขึ้น พระชายารองร้องบอกโอรสของตนขณะก้าวเข้ามาในห้อง ซึ่งเจ้าชายมหาคำคืนก็รีบทำตาม

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่