สวัสดีค่ะ หนูอายุ 21 ปี เรื่องนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสูญเสียคุณแม่ด้วยโรคมะเร็ง
เท้าความก่อนนะคะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ภายนอกแม่ดูเป็นคนที่แข็งแรงมาก ไม่เคยป่วยเข้ารพ. เลย
หนูไม่เคยคิดว่าหนูจะเสียแม่ไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว แม่ปวดท้องมากๆ เลยไปคลินิก คลินิกทำการอัลตราซาวน์
พร้อมกับพบก้อนเนื้อ แต่แม่บอกไม่เป็นอะไร แค่เนื้องอก เดี๋ยวก็ตัดออกได้ แต่สุดท้ายก็หนีความจริงไม่ได้
แม่ป่วยเป็นมะเร็งปีกมดลูก(ทั้งสองข้าง) เมื่อรู้ก็ทำการรักษา ระยะเวลาเดือนต่อเดือนที่เข้าออกรพ ไปเรื่อยๆ
แม่ก็ค่อยๆ ซูบลง กินอะไรไม่ได้ ท้องโตเหมือนคนท้องเก้าเดือน แม่ก็พยายามพูดตลกกับเราตลอด ว่า จะตั้งชื่อน้องว่าอะไรดี
ภายในเวลา 2-3 เดือน แม่ทรุดลงอย่างรวดเร็ว เจ้าก้อนมะเร็งก็โตไวอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อรู้ผล จาก 4 ซม. ภายในเวลาหนึ่งเดือน ขยายเป็นหนึ่งเท่า
เราพยายามมองโลกในแง่ดีมาก วันนั้นหมอที่รพ. นัดแม่ไปฟังผล ซึ่งเราก็ไปด้วย แต่ด้วยแม่เดินไม่ไหว นั่งไม่ไหวแล้ว
แม่ก็นอนรอพบแพทย์อยู่บนเปลนอน เรานั่งรอหมอเรียก ถึงคิวจะได้เดินออกไปเข็นแม่เข้าพบหมอ
แต่พอถึงคิวของแม่ คุณหมอออกมานอกห้องพอดี แล้วเรียกเราเข้าไปคนเดียว ตอนแรกเรายังไม่รู้สึกอะไร เมื่อเข้าไปนั่งในห้อง คุณหมอเริ่มสนทนา(ผู้หญิง)
หนูรู้ใช่ไหม ว่าแม่เป็นอะไร เราก็เล่าให้หมอฟัง แต่ในใจเรา เราคิดไม่ถึงว่ามันเลวร้ายขนาดไหน หรือกำลังหลอกตัวเองไปวันๆ ตั้งแต่รู้ข่าว
อยู่ๆ คุณหมอก็จับมือเรา คุณหมอไม่ต้องพูดอะไรเลย เราน้ำตาร่วงไม่หยุด ไม่รู้ทำไม ในใจมันหนักอึ้งไปหมด
คุณหมอพยายามอธิบายถึงสิ่งที่แม่เรากำลังเผชิญ คุณหมอบอกถ้าแม่อยากทานอะไรให้แม่ทานไปเลย อยากไปไหนก็พาไป เราอยากทำอะไรก็ทำเลย
เราร้องไห้อย่างหนัก เมื่อรู้ว่าแม่จะต้องเผชิญกับอะไร ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่พยายามบอกเราว่าเขาไม่เป็นอะไร เดี๋ยวเขาก็หายมาตลอด
เราไม่รู้ว่าเขารู้ตัวเองไหม หรือเขารู้แต่พยายามทำหน้าที่แม่ที่ดีที่สุด เมื่อจบบทสนากับคุณหมอ เราขอให้คุณหมอไปคุยกับแม่ เหมือนปกติ
เราซึ่งกลั้นน้ำตาไม่ไหว และไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าแม่ ไม่รู้เพราะอะไร หรือเพราะเรายอมรับความจริงไม่ได้
หลังจากนั้นเราก็อยู่กับความจริงมาตลอด รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน แต่ด้วยความที่เรายังรับมันไม่ได้ เราพยายามมองโลกในแง่ดีตลอด แม่ต้องหายสิ หรือไม่ก็อยู่กับเราได้นานอีกหน่อย คงไม่จากเราไปเร็วขนาดนั้น แม่ก็ยังดูสู้ไหวอยู่ กำลังใจดีด้วย พยายามทำอะไรด้วยตัวเองตลอด
แต่ตลอดเวลาที่แม่ป่วย แม่ไม่เคยบ่นเลยซักคำ ว่าเจ็บปวด หรือทรมาน หรือไม่ไหวแล้ว แม่มีความอดทนมาก ระหว่างนี้เราก็หาวิธีรักษาไปเรื่อยๆ คีโมแม่ก็ไม่สามารถรับได้ หมอบอกว่า ถ้ายังทานข้าวไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาแล้ว ในตอนนั้นมะเร็งก็ได้ลามไปยังอวัยวะต่างๆ เช่น ลำไส้ ตับ
ซึ่งมันเลวร้ายลงเรื่อยๆ เราก็รู้ แต่เราก็ยังเชื่อผิดๆ มาตลอดว่าแม่จะหาย แม่จะอยู่กับเราต่อ เราแค่เพียงหลอกตัวเองทั้งๆที่รู้ความจริง เพราะมันเป็นเพียงความหวังเดียวที่เรามี นับวันแม่ยิ่งแย่ลง คุยกับเราน้อยลง เพราะแม่เหนื่อย ไม่อยากพูดโทรศัพท์ ไม่อยากพิมพ์ข้อความ
เดือนธันวาเมื่อไม่มีเรียนแล้ว เรารีบกลับบ้าน กลับไปอยู่กับแม่ เราแทบไม่อยากมอง ยิ่งมองเหมือนยิ่งเห็นเวลาที่มันเหลือน้อยเต็มที บวกกับแม่ที่พยายามยิ้มตลอด และสู้ตลอด ขาของแม่เริ่มบวมน้ำ และกลายเป็นแผล เราแทบไม่รู้เลยว่าทรมานขนาดไหน ถ้ามองผ่านแม่ของเรา เพราะเขาทำเหมือนมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ แล้วมันก็ยังทนไหว แม่แสดงให้เราเห็นแบบนั้นตลอด ถึงเวลาที่เราต้องกลับไปเรียน เราเรียนอยู่กทม. ก่อนจะกลับแม่จับแขนเรา แล้วมองเราด้วยสายตาที่ทุกวันนี้เราไม่เคยลืม สายตาที่มองเราแล้วพยายามจดจำเราในทุกๆรายละเอียด เหมือนเขาจะไม่ได้มองเราอีกแล้ว แล้วแม่ก็พูดกับเราว่า “ถ้าลูกไม่อยู่ แล้วแม่จะอยู่ยังไง” เราลังเลในใจว่าจะกอดแม่ดีไหม ไม่อยากฟูมฟายให้แม่เห็นเลย (ปล. เราเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว แม่เป็นห่วงเรามาก) เราเลยตัดสินใจไม่กอด ไม่รู้ทำไมตอนนั้นถึงตัดสินใจแบบนั้น แต่แม่ก็ไม่เคยยอมให้เราหยุดเรียน เรากลับไปเรียนได้ 3 วัน ตลอด 3 วัน แม่ไม่รับโทรศัพท์เลย ขอคุยด้วยก็คุยไม่ไหว
เที่ยงคืนกว่าๆ วันที่ 26 เดือนธันวาคม พี่สาวโทรมาหาแฟนของเราที่อยู่ด้วยกัน ว่าให้พาเรากลับบ้าน แต่แม่ยังไม่เป็นอะไร แค่จะให้มาเฝ้าแม่เฉยๆ แม่เข้ารพ. แต่เขาให้เราเหมารถกลับใต้ด่วนเลย เรารู้อยู่แต่ก็พยายามคิดในแง่ดี ว่าแม่อาจจะยังไม่เป็นอะไร เราเก็บของไม่ถูก มันชาไปหมด ในสถานการณ์แบบนี้
หัวมันกับโล่งแบบบอกไม่ถูก เรากลับอื้ออึง มึนมาก ใจมันหน่วง เหมือนโลกมันหยุดหมุน หรือยังไง รถที่มารับเรากลับบ้าน เหมือนรู้ เขาขับรถเร็วมากๆ จากกทม-อำเภอบางสะพานน้อย จ.ประจวบฯ ออกเกือบๆตี 1 ถึงที่นั่นประมาณตี 5 เมื่อรถแท็กซี่ถึงหน้าบ้าน รถของยายเราก็ขับเข้ามาถึงพอดี
เราเปิดประตูรถลงไป รีบถามยายเรา ว่าแม่ละ แม่อยู่ไหน ยายตอบเราคำเดียวว่า “ทำใจเถอะลูก ทำใจดีๆนะ” เรามาช้าไป
เหมือนโลกมันแตก ความรู้สึกมันว่างเปล่า โดดเดี่ยว เราอยากคุยกับแม่มากๆ แค่คำเดียวก็ได้ แต่สายไปแล้ว เรากลับมาเจอแม่อีกครั้ง
เราทำใจอยู่นาน กว่าจะเดินเข้าไปหาแม่ได้ เราเอามือจับหน้าอกแม่ดู หัวใจแม่ไม่เต้นแล้วจริงๆ ผิวหนังแข็งเย็นเฉียบเรายังจำสัมผัสสุดท้ายได้ดี
กลับมาอีกครั้ง แม่ก็ไม่พูด ไม่ลืมตา ไม่จับมือถือแขนเราอีกแล้ว มันช่างน่าหัวใจแตกสลาย เมื่อคนที่เคยตอบสนองทุกการกระทำ ทุกคำพูดของเรา เขาไม่สามารถทำมันได้อีกแล้ว ระยะเวลาเพียง 4-5 เดือน พรากเรื่องราวทั้งหมดในชีวิตเราไป รวมไปถึงคนที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเราด้วย
ทุกวันนี้ผ่านมาไม่กี่เดือน เรายังติดอยู่กับเหตุการณ์วันนั้น เราอยากรู้ตลอดว่า เขาอยากจะพูดอะไรกับเราก่อนเขาจะไม่ได้พูดกับเราอีก เราอยากให้เขาเห็นใบหน้าของเราก่อนที่เขาจะไม่เห็นมันอีก แต่มันแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว คำพูดที่เราอยากพูดกับเขาจะติดอยู่กับเราตลอดไปจนตาย ทุกวันนี้เรายังคร่ำครวญ
ตั้งคำถามต่างๆมากมาย คำถามที่รู้คำตอบว่ามันทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เมื่อสูญเสียแล้ว มันจะเหมือนคนที่คุณเคยโอบกอดไม่มีอยู่จริงเลย
ที่อยากมาแชร์เรื่องราว เพราะอยากให้ทุกคนเห็นค่าความสำคัญกับเวลา และคนที่เรารักให้มาก มากกว่านี้อีก อะไรๆก็เกิดขึ้นได้เสมอ เราจะไม่เข้าใจคำนี้จริงๆ จนกระทั่งมันเกิดขึ้นจริงๆ เรารู้สึกผิดกับตัวเองทุกๆวัน แม้เรื่องเล็กๆน้อยในอดีต กลับสร้างความเจ็บปวดให้เราได้มากมาย คุณจะทรมานมากกว่าอีก หากเรื่องที่คุณอยากแก้ไขกับคนคนนึง ยิ่งเป็นคนที่เขาตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว คุณจะทรมานกับสิ่งที่คุณแก้ไขไม่ได้มากๆ แม้แต่คำพูดเพียงคำเดียวก็ตาม
เรื่องราวในอดีต ที่ครั้งหนึ่งมันไม่เคยสำคัญสำหรับคุณ มันจะยิ่งสำคัญมากๆ เมื่อมันเป็นอดีตที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกแล้ว เมื่อคุณคิดถึงคนที่ไม่มีตัวตนบนโลกนี้ มันจะคิดถึงมากกว่าคำว่าคิดถึง ที่คุณเคยพูด รูปภาพทุกรูปภาพจะมีความหมายมากกว่ารูปภาพรูปนึง แค่หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปใครสักคนที่สำคัญต่อคุณมากๆ ถ่ายวีดิโอไว้ดูเล่น เชื่อถอะ วันนึงสิ่งเหล่านี้มันจะมีความหมายกับคุณมากๆ
**ที่สำคัญ ควรตรวจสุขภาพประจำปี หรือตรวจโรคเฉพาะทาง เช่น ตรวจมะเร็ง มันมีโอกาสเป็นทุกคน อย่าละเลยอาการผิดปกติใดๆ อย่าวางใจ หากอยากมีโอกาสหายหรือรักษา ในกรณีของแม่ แม่ประจำเดือนมามากเป็นเวลาหลายปี แต่แม่ไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปี หรือตรวจโรคมะเร็งเลย จนสุดท้ายรู้ตัวก็สายไปแล้ว
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังเผชิญปัญหา และขอบคุณที่รับฟังเรื่องราวของเรา และเราก็ยังต้องพยายามดำเนินชีวิตต่อไป
การสูญเสียคุณแม่ด้วยโรคมะเร็ง
เท้าความก่อนนะคะ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ภายนอกแม่ดูเป็นคนที่แข็งแรงมาก ไม่เคยป่วยเข้ารพ. เลย
หนูไม่เคยคิดว่าหนูจะเสียแม่ไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว แม่ปวดท้องมากๆ เลยไปคลินิก คลินิกทำการอัลตราซาวน์
พร้อมกับพบก้อนเนื้อ แต่แม่บอกไม่เป็นอะไร แค่เนื้องอก เดี๋ยวก็ตัดออกได้ แต่สุดท้ายก็หนีความจริงไม่ได้
แม่ป่วยเป็นมะเร็งปีกมดลูก(ทั้งสองข้าง) เมื่อรู้ก็ทำการรักษา ระยะเวลาเดือนต่อเดือนที่เข้าออกรพ ไปเรื่อยๆ
แม่ก็ค่อยๆ ซูบลง กินอะไรไม่ได้ ท้องโตเหมือนคนท้องเก้าเดือน แม่ก็พยายามพูดตลกกับเราตลอด ว่า จะตั้งชื่อน้องว่าอะไรดี
ภายในเวลา 2-3 เดือน แม่ทรุดลงอย่างรวดเร็ว เจ้าก้อนมะเร็งก็โตไวอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อรู้ผล จาก 4 ซม. ภายในเวลาหนึ่งเดือน ขยายเป็นหนึ่งเท่า
เราพยายามมองโลกในแง่ดีมาก วันนั้นหมอที่รพ. นัดแม่ไปฟังผล ซึ่งเราก็ไปด้วย แต่ด้วยแม่เดินไม่ไหว นั่งไม่ไหวแล้ว
แม่ก็นอนรอพบแพทย์อยู่บนเปลนอน เรานั่งรอหมอเรียก ถึงคิวจะได้เดินออกไปเข็นแม่เข้าพบหมอ
แต่พอถึงคิวของแม่ คุณหมอออกมานอกห้องพอดี แล้วเรียกเราเข้าไปคนเดียว ตอนแรกเรายังไม่รู้สึกอะไร เมื่อเข้าไปนั่งในห้อง คุณหมอเริ่มสนทนา(ผู้หญิง)
หนูรู้ใช่ไหม ว่าแม่เป็นอะไร เราก็เล่าให้หมอฟัง แต่ในใจเรา เราคิดไม่ถึงว่ามันเลวร้ายขนาดไหน หรือกำลังหลอกตัวเองไปวันๆ ตั้งแต่รู้ข่าว
อยู่ๆ คุณหมอก็จับมือเรา คุณหมอไม่ต้องพูดอะไรเลย เราน้ำตาร่วงไม่หยุด ไม่รู้ทำไม ในใจมันหนักอึ้งไปหมด
คุณหมอพยายามอธิบายถึงสิ่งที่แม่เรากำลังเผชิญ คุณหมอบอกถ้าแม่อยากทานอะไรให้แม่ทานไปเลย อยากไปไหนก็พาไป เราอยากทำอะไรก็ทำเลย
เราร้องไห้อย่างหนัก เมื่อรู้ว่าแม่จะต้องเผชิญกับอะไร ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่พยายามบอกเราว่าเขาไม่เป็นอะไร เดี๋ยวเขาก็หายมาตลอด
เราไม่รู้ว่าเขารู้ตัวเองไหม หรือเขารู้แต่พยายามทำหน้าที่แม่ที่ดีที่สุด เมื่อจบบทสนากับคุณหมอ เราขอให้คุณหมอไปคุยกับแม่ เหมือนปกติ
เราซึ่งกลั้นน้ำตาไม่ไหว และไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าแม่ ไม่รู้เพราะอะไร หรือเพราะเรายอมรับความจริงไม่ได้
หลังจากนั้นเราก็อยู่กับความจริงมาตลอด รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นในอีกไม่นาน แต่ด้วยความที่เรายังรับมันไม่ได้ เราพยายามมองโลกในแง่ดีตลอด แม่ต้องหายสิ หรือไม่ก็อยู่กับเราได้นานอีกหน่อย คงไม่จากเราไปเร็วขนาดนั้น แม่ก็ยังดูสู้ไหวอยู่ กำลังใจดีด้วย พยายามทำอะไรด้วยตัวเองตลอด
แต่ตลอดเวลาที่แม่ป่วย แม่ไม่เคยบ่นเลยซักคำ ว่าเจ็บปวด หรือทรมาน หรือไม่ไหวแล้ว แม่มีความอดทนมาก ระหว่างนี้เราก็หาวิธีรักษาไปเรื่อยๆ คีโมแม่ก็ไม่สามารถรับได้ หมอบอกว่า ถ้ายังทานข้าวไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาแล้ว ในตอนนั้นมะเร็งก็ได้ลามไปยังอวัยวะต่างๆ เช่น ลำไส้ ตับ
ซึ่งมันเลวร้ายลงเรื่อยๆ เราก็รู้ แต่เราก็ยังเชื่อผิดๆ มาตลอดว่าแม่จะหาย แม่จะอยู่กับเราต่อ เราแค่เพียงหลอกตัวเองทั้งๆที่รู้ความจริง เพราะมันเป็นเพียงความหวังเดียวที่เรามี นับวันแม่ยิ่งแย่ลง คุยกับเราน้อยลง เพราะแม่เหนื่อย ไม่อยากพูดโทรศัพท์ ไม่อยากพิมพ์ข้อความ
เดือนธันวาเมื่อไม่มีเรียนแล้ว เรารีบกลับบ้าน กลับไปอยู่กับแม่ เราแทบไม่อยากมอง ยิ่งมองเหมือนยิ่งเห็นเวลาที่มันเหลือน้อยเต็มที บวกกับแม่ที่พยายามยิ้มตลอด และสู้ตลอด ขาของแม่เริ่มบวมน้ำ และกลายเป็นแผล เราแทบไม่รู้เลยว่าทรมานขนาดไหน ถ้ามองผ่านแม่ของเรา เพราะเขาทำเหมือนมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ แล้วมันก็ยังทนไหว แม่แสดงให้เราเห็นแบบนั้นตลอด ถึงเวลาที่เราต้องกลับไปเรียน เราเรียนอยู่กทม. ก่อนจะกลับแม่จับแขนเรา แล้วมองเราด้วยสายตาที่ทุกวันนี้เราไม่เคยลืม สายตาที่มองเราแล้วพยายามจดจำเราในทุกๆรายละเอียด เหมือนเขาจะไม่ได้มองเราอีกแล้ว แล้วแม่ก็พูดกับเราว่า “ถ้าลูกไม่อยู่ แล้วแม่จะอยู่ยังไง” เราลังเลในใจว่าจะกอดแม่ดีไหม ไม่อยากฟูมฟายให้แม่เห็นเลย (ปล. เราเป็นโรคซึมเศร้ามาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว แม่เป็นห่วงเรามาก) เราเลยตัดสินใจไม่กอด ไม่รู้ทำไมตอนนั้นถึงตัดสินใจแบบนั้น แต่แม่ก็ไม่เคยยอมให้เราหยุดเรียน เรากลับไปเรียนได้ 3 วัน ตลอด 3 วัน แม่ไม่รับโทรศัพท์เลย ขอคุยด้วยก็คุยไม่ไหว
เที่ยงคืนกว่าๆ วันที่ 26 เดือนธันวาคม พี่สาวโทรมาหาแฟนของเราที่อยู่ด้วยกัน ว่าให้พาเรากลับบ้าน แต่แม่ยังไม่เป็นอะไร แค่จะให้มาเฝ้าแม่เฉยๆ แม่เข้ารพ. แต่เขาให้เราเหมารถกลับใต้ด่วนเลย เรารู้อยู่แต่ก็พยายามคิดในแง่ดี ว่าแม่อาจจะยังไม่เป็นอะไร เราเก็บของไม่ถูก มันชาไปหมด ในสถานการณ์แบบนี้
หัวมันกับโล่งแบบบอกไม่ถูก เรากลับอื้ออึง มึนมาก ใจมันหน่วง เหมือนโลกมันหยุดหมุน หรือยังไง รถที่มารับเรากลับบ้าน เหมือนรู้ เขาขับรถเร็วมากๆ จากกทม-อำเภอบางสะพานน้อย จ.ประจวบฯ ออกเกือบๆตี 1 ถึงที่นั่นประมาณตี 5 เมื่อรถแท็กซี่ถึงหน้าบ้าน รถของยายเราก็ขับเข้ามาถึงพอดี
เราเปิดประตูรถลงไป รีบถามยายเรา ว่าแม่ละ แม่อยู่ไหน ยายตอบเราคำเดียวว่า “ทำใจเถอะลูก ทำใจดีๆนะ” เรามาช้าไป
เหมือนโลกมันแตก ความรู้สึกมันว่างเปล่า โดดเดี่ยว เราอยากคุยกับแม่มากๆ แค่คำเดียวก็ได้ แต่สายไปแล้ว เรากลับมาเจอแม่อีกครั้ง
เราทำใจอยู่นาน กว่าจะเดินเข้าไปหาแม่ได้ เราเอามือจับหน้าอกแม่ดู หัวใจแม่ไม่เต้นแล้วจริงๆ ผิวหนังแข็งเย็นเฉียบเรายังจำสัมผัสสุดท้ายได้ดี
กลับมาอีกครั้ง แม่ก็ไม่พูด ไม่ลืมตา ไม่จับมือถือแขนเราอีกแล้ว มันช่างน่าหัวใจแตกสลาย เมื่อคนที่เคยตอบสนองทุกการกระทำ ทุกคำพูดของเรา เขาไม่สามารถทำมันได้อีกแล้ว ระยะเวลาเพียง 4-5 เดือน พรากเรื่องราวทั้งหมดในชีวิตเราไป รวมไปถึงคนที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเราด้วย
ทุกวันนี้ผ่านมาไม่กี่เดือน เรายังติดอยู่กับเหตุการณ์วันนั้น เราอยากรู้ตลอดว่า เขาอยากจะพูดอะไรกับเราก่อนเขาจะไม่ได้พูดกับเราอีก เราอยากให้เขาเห็นใบหน้าของเราก่อนที่เขาจะไม่เห็นมันอีก แต่มันแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว คำพูดที่เราอยากพูดกับเขาจะติดอยู่กับเราตลอดไปจนตาย ทุกวันนี้เรายังคร่ำครวญ
ตั้งคำถามต่างๆมากมาย คำถามที่รู้คำตอบว่ามันทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เมื่อสูญเสียแล้ว มันจะเหมือนคนที่คุณเคยโอบกอดไม่มีอยู่จริงเลย
ที่อยากมาแชร์เรื่องราว เพราะอยากให้ทุกคนเห็นค่าความสำคัญกับเวลา และคนที่เรารักให้มาก มากกว่านี้อีก อะไรๆก็เกิดขึ้นได้เสมอ เราจะไม่เข้าใจคำนี้จริงๆ จนกระทั่งมันเกิดขึ้นจริงๆ เรารู้สึกผิดกับตัวเองทุกๆวัน แม้เรื่องเล็กๆน้อยในอดีต กลับสร้างความเจ็บปวดให้เราได้มากมาย คุณจะทรมานมากกว่าอีก หากเรื่องที่คุณอยากแก้ไขกับคนคนนึง ยิ่งเป็นคนที่เขาตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว คุณจะทรมานกับสิ่งที่คุณแก้ไขไม่ได้มากๆ แม้แต่คำพูดเพียงคำเดียวก็ตาม
เรื่องราวในอดีต ที่ครั้งหนึ่งมันไม่เคยสำคัญสำหรับคุณ มันจะยิ่งสำคัญมากๆ เมื่อมันเป็นอดีตที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกแล้ว เมื่อคุณคิดถึงคนที่ไม่มีตัวตนบนโลกนี้ มันจะคิดถึงมากกว่าคำว่าคิดถึง ที่คุณเคยพูด รูปภาพทุกรูปภาพจะมีความหมายมากกว่ารูปภาพรูปนึง แค่หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปใครสักคนที่สำคัญต่อคุณมากๆ ถ่ายวีดิโอไว้ดูเล่น เชื่อถอะ วันนึงสิ่งเหล่านี้มันจะมีความหมายกับคุณมากๆ
**ที่สำคัญ ควรตรวจสุขภาพประจำปี หรือตรวจโรคเฉพาะทาง เช่น ตรวจมะเร็ง มันมีโอกาสเป็นทุกคน อย่าละเลยอาการผิดปกติใดๆ อย่าวางใจ หากอยากมีโอกาสหายหรือรักษา ในกรณีของแม่ แม่ประจำเดือนมามากเป็นเวลาหลายปี แต่แม่ไม่เคยตรวจสุขภาพประจำปี หรือตรวจโรคมะเร็งเลย จนสุดท้ายรู้ตัวก็สายไปแล้ว
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่กำลังเผชิญปัญหา และขอบคุณที่รับฟังเรื่องราวของเรา และเราก็ยังต้องพยายามดำเนินชีวิตต่อไป