แฟนเราอายุ 29 เราอายุ 35 ค่ะ เราคบกับแฟนมา 2 ปี เป็นเพื่อนกันมา 2 ปี รวมแล้วรู้จักกันมา 4 ปี ช่วงปีแรกที่คบกัน มีความสุขกันมาก เขาเป็นผู้ชายที่ดีมาก ไม่ดื่ม ไม่สูบ ขยัน มีเป้าหมายในชีวิต และที่สำคัญคือเขาดูแลเราดีมาก ซักผ้า ซักชุดชั้นใน ทำความสะอาดห้อง รวมไปถึงการอาบน้ำให้เรา เช็ดตัว เป่าผม หวีผม ทาครีมให้เรา เขาทำแบบนี้สม่ำเสมอ ไม่เคยมีสักครั้งที่เปลี่ยนไป จนเรารู้สึกว่าเหมือนเราฝันไป ชีวิตเราเจอคนที่ดีได้ขนาดนี้เลยเหรอ ช่วงคบกันแรกๆ เราก็กังวลเรื่องอายุว่าเรากับเขาจะไปกันได้เหรอ แต่เขาให้ความมั่นใจกับเราตลอด ว่าเขาอยากจะสร้างครอบครัวไปกับเราและขอเราแต่งงานเมื่อปี 63 เพราะเราอายุเยอะแล้ว เขาอยากจะมีลูกทันที แต่เรายังไม่พร้อมด้วยอะไรหลายๆอย่าง เราอยากย้ายที่ทำงานมาอยู่ใกล้ๆกันก่อน และเราคิดว่าปี 65 ค่อยแต่ง เขาก็รับฟังความคิดของเรามาตลอดและทำเหมือนว่าเขาเข้าใจ
และเมื่อเดือน ส.ค.63 เราได้ทำเรื่องลาเรียน และได้เข้ามาอยู่ใน กทม. (ก่อนหน้านี้เราสังกัดอยู่ในจังหวัดที่ไกลจาก กทม. ประมาณ 700 กม.) และทำให้เรากับเขาอยู่ใกล้กันมากขึ้น เขาจะขับรถมาหาเราทุกสัปดาห์ โดยขับมาวันศุกร์หลังเลิกงานและจะขับรถกลับไปทำงานในวันจันทร์ตอนเช้า โดยเขาทำแบบนี้มา 2 ปี เต็มๆไม่ว่าเราจะย้ายไปอยู่ที่ไหน เขาก็จะทำให้เหมือนเราไม่ไกลกัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ในช่วงต้นปี 63 เราได้โพสต์ขายรถใน Internet แล้วมีน้องผู้หญิงคนนึงติดต่อมา (เราขอเรียกน้องคนนี้ว่าน้องคนที่ 1) แล้วเราก็แอดเฟสบุ้คกันเพื่อติดต่อคุยเรื่องรถ แต่น้องเขาใช้เฟสบุ้คที่เป็นรูปการ์ตูนแอดเรามา จนวันนึงเราขายรถคันนั้นให้คนอื่นไปแล้ว จึงโทรเฟสไปบอกน้องว่ารถขายแล้วนะ แล้วด้วยความที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน น้องเขาก็ปรึกษาปัญหาครอบครัว ว่าสามีของน้องมีเมียน้อย น้องโทรมาร้องไห้กับเราบ่อยๆ และเราก็ให้คำปรึกษาให้คำแนะนำต่างๆ รวมถึงวิธีการทำใจ และแนะนำให้น้องตัดใจจากสามี เราเคยเห็นน้องโพสต์รูปตัวเองลงในเฟส คือเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารัก เราก็ไปกดไลค์เป็นประจำ เราสองคนคุยกันเยอะมากและค่อนข้างสนิท บางครั้งที่เราเข้ามา กทม. น้องเขาก็อยากจะมารับเราที่สนามบิน แต่เรารู้ตัวเองว่าเราอยู่ในคนละระดับกับน้อง (น้องเป็นเจ้าของบริษัท อายุ 28 จบ ป.ตรี ม.ดัง จบ ป.โท ที่ต่างประเทศ) เราก็หลีกเลี่ยงที่จะเจอและบอกน้องว่าเราไปเองได้ เพราะเรานั่งแท็กซี่หรือแกร็ปเป็นประจำอยู่แล้ว จนครั้งล่าสุดที่คุยกันคือน้องจะไปทำใจที่ต่างประเทศ ไปขอวีซ่ามาเรียบร้อยแล้ว และขออนุญาตพ่อแม่แล้ว ให้หาคนมาดูแลบริษัทแทนน้อง 2 ปี แต่ติดโควิด น้องยังไปไม่ได้ และยังไม่ได้หย่ากับสามี ซึ่งเราได้เล่าเรื่องน้องให้แฟนเราฟังเสมอๆ แฟนเราก็บอกว่าน้องเขาน่าสงสารจัง ทำไมสามีทำกับน้องแบบนี้ ถ้าแฟนเราเป็นผู้ชายคนนั้น แฟนเราจะไม่มีทางทำแบบนี้แน่นอน แฟนเราเคยบอกเราว่า ถ้าวันไหนต้องเลิกกับเราไป เขาจะหาผู้หญิงสวยและรวยแบบน้องคนนี้นี่แหละไปเป็นแฟน และจะไม่มีวันทำให้เสียใจอีก
ในช่วงที่น้องคนนั้นปรึกษาเรา เราก็ได้ระบายเรื่องของเรากับแฟนให้น้องฟังเหมือนกัน ว่าแฟนเก่าเรายังไม่ตัดใจจากเราสักที ทำให้แม่เราวนเวียนมาด่าเราบ่อยๆ ว่าเราทิ้งแฟนเก่าเราไปได้ยังไง รู้ไหมว่าเขาจะฆ่าตัวตาย และแฟนเราได้แอบอ่านแชทด้วยวิธีการแบบไหนเราไม่ทราบ ทำให้เรากับแฟนมีปัญหากันเรื่องนี้ หลังจากนั้นเราก็เลือกที่จะไม่ปรึกษาเรื่องนี้กับน้องคนนี้อีก และพูดถึงแบบกลางๆแทน เพราะเราไม่อยากมีปัญหากับแฟน แต่น้องคนนี้ก็คอยถามเราบ่อยๆ จนวันนึงเราเลยไม่พิมพ์ไปทางข้อความ แต่เลือกที่จะโทรเฟสแทน แต่สิ่งที่เราระบายคือ เราบอกน้องว่าเราไม่ได้รักแฟนเก่า แต่แฟนเก่าก็มีแต่ร้องไห้และมาขอโอกาส และหลังจากวางสายจากน้องคนนั้นไป คืนนั้นแฟนเราก็ไลน์มาและพูดทุกอย่างที่เราได้พูดกับน้องคนนั้นไป แต่พูดในเวอร์ชั่นที่ไม่ใช่สิ่งที่เราคิด เราเลยงงว่า การโทรเฟสมันสามารถดึงไปฟังได้ด้วยเหรอ และเราก็คิดไปว่าเขาคงดึงไปฟังได้จริงๆแต่ฟังแบบผิดๆ ตีความหมายผิดๆ
แต่วันนั้นเราก็เคลียร์กันได้ด้วยการที่เราบอกแฟนว่าเราไม่อยากทะเลาะกับเขาอีกแล้วและถ้าเขาจะเลิก เราก็ยอม เขาก็เอาสถานะในเฟสบุ้คออก และเราก็คิดว่าเราน่าจะเลิกกันแล้ว และน้องที่เราคุยทางเฟสก็ทักมาขอโทษที่เป็นสาเหตุให้เราเลิกกับแฟน และบอกว่าน้องเขานอนร้องไห้ทั้งคืน เราเลยบอกว่าไม่ใช่ความผิดของน้องหรอก พี่ผิดเอง และวันถัดมาเรากับแฟนก็ดีกันเหมือนเดิม ขึ้นสถานะกันเหมือนเดิม
หลังจากนั้นเราก็ไม่คุยเรื่องนี้กับน้องคนนี้อีก เพราะไม่อยากมีปัญหากับแฟน เราเลยเลือกที่รับฟังและให้คำปรึกษาเรื่องของน้องเท่านั้น แต่เราก็คอยเล่าเรื่องของน้องคนนี้ให้แฟนเราฟังเสมอๆ
ปัญหาอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ มีน้องอีกคนนึงแอดเฟสเรามาในช่วงกลางปี 63 (เราขอเรียกน้องคนนี้ว่าน้องคนที่ 2) โดยใช้เฟสรูปการ์ตูนแอดมา และชวนคุยเรื่องรายการ Take me out และบอกว่าเจอเราในเพจนั้น และชอบดูเรียลลิตี้เหมือนกัน จึงแอดมาชวนคุยเรื่องเรียลลิตี้ แต่มันน่าแปลกมากที่เราเจอเฟสของน้องคนนี้กดไลค์เฟสของน้องคนแรก และทำให้เรารู้ว่าเขาเป็นเพื่อนกัน เพราะเราเห็นเม้นสเตตัสกัน เวลาที่น้องคนแรกโพสต์ถึงสามีเขา
มีสัปดาห์นึงที่แฟนเราติดงานและมาหาเราไม่ได้ วันนั้นเราไปเรียน ป.โท ตามปกติ และได้งานกลับมาให้พรีเซ้นต์วันพรุ่งนี้ เราจึงบอกแฟนว่าขอทำงานก่อนนะต้องใช้สมาธิ ซึ่งแฟนเราก็โอเค แต่ในระหว่างทางที่เรานั่งรถกลับที่พัก น้องคนแรกก็ได้ส่งข้อความมาทางเฟสว่าเป็นไงบ้างพี่ เห็นเขาชุมนุมกัน กลัวพี่ติดอยู่ในที่ชุมนุม เราก็ตอบน้องไปว่า ไม่เป็นไรนะ เรากลับออกมาได้แล้วโดยปลอดภัย
อีกหลายวันต่อมาแฟนเราก็มากล่าวหาว่าเราเอาเรื่องเขากับแฟนเก่าเราไปพูดกับคนน้องคนนี้ ซึ่งเราก็ทะเลาะกับแฟนว่ามาหาเรื่องเราทำไม เราเลิกคุยเรื่องนี้ไปนานแล้วนะ แฟนเราก็พูดมาว่า วันนั้นที่เราขอตัวทำงานส่งอาจารย์ แต่จริงๆแล้วเราโทรคุยกับน้องคนแรกว่านู่นนี่นั่น อยากเลิกกับแฟน ขี้หึง ขี้ระแวงเกิน ทนไม่ไหวแล้ว เราก็เถียงหัวชนฝาว่าเราไม่ได้พูด เขาก็ไม่เชื่อ เราก็แคปหลักฐานทางมือถือไปให้ดูว่าไม่ได้โทร และไม่เคยมีเบอร์น้องคนนี้เลย จะโทรได้ไง แฟนเราเลยบอกให้เราส่งเฟสไปถามน้องเขาสิ ว่าได้โทรไหม เราเลยส่งไปถามน้องเขาเพื่อที่จะเอามายืนยันกับแฟนว่าเราไม่ได้โทร แต่สิ่งที่น้องเขาตอบกลับมาคือ น้องเขาบอกว่าเราโทรและไปปรึกษาเรื่องอยากเลิกกับแฟน เราเลยบอกน้องว่าไหนเบอร์โทรที่พี่โทร ขอดู น้องก็ตอบว่าล้างข้อมูลไปหมดแล้ว และตอบมาทางเฟสว่า หนูไม่ได้ประสาทนะพี่ เราเลยถามน้องไปว่า เบอร์น้องเบอร์อะไรพี่จะโทร น้องเขาก็ไม่ให้ เราโมโหมากและคิดว่าน้องคงหลงลืมเพราะวันนั้นน้องทักเฟสมาอย่งางเดียว เราเลยบล็อกน้องคนนี้ไปเลยเพื่อให้จบปัญหา
หลังจากวันนั้น เราก็มีเรื่องทะเลาะกับแฟนเราบ่อยๆ และทุกครั้งแฟนเราจะอ้างชื่อน้องคนนี้ตลอดและเราก็เคลียร์ได้ทุกครั้งด้วยการสาบานว่าเราไม่ได้ทำและไม่เคยปลดบล็อกน้องคนนี้อีกเลย เขาก็ยอมเชื่อ และมาขอโทษเราที่เขาเคยกล่าวหา มันทำให้บางทีเราก็คิดว่าหรือเขาสองคนแอบคุยกัน และน้องคนนั้นมีเหตุผลอะไรที่ขะทำกับเราแบบนี้ เราก็บอกตัวเองว่าเราน่าจะคิดมากไปเอง
ความสัมพันธ์ของเราที่ทะเลาะกับแฟนบ่อยๆมันทำให้เราเหนื่อยมาก ดีกันไม่กี่วันก็ทะเลาะอีก ทำให้เราหยุดโฟกัสไปที่การดูแลเขา จากเดิมที่เราเคยดูแลเขาดีมาก เราคิดแต่ว่าเขาจะหาเรื่องเราอีกวันไหน ใจนึงก็อยากเลิก แต่เราคงทนไม่ไหวถ้าต้องเห็นเขาไปมีคนอื่น แต่เราก็น้อยใจเสมอที่แฟนเราทำไมถึงไม่เชื่อใจเราบ้าง ทั้งที่เราโคตรเชื่อใจเขาเลย
(28 พ.ค.64) ยังจำน้องคนที่ 2 ที่เราเล่าให้ฟังได้ไหมคะ ก่อนที่เราจะเลิกกับแฟน 3 วัน น้องคนนี้ทักเฟสมาถามเราว่า น้องจะจองตั๋วเครื่องบินไปจังหวัดๆนึงเพราะน้อง
สอบติด ขรก.ที่นั่น และจะไปบรรจุ ซึ่งจังหวัดที่น้องจะเดินทางไป คือจังหวัดบ้านเกิดของแฟนเรา และเราทราบดีกว่าแฟนเรากำลังจะไปที่นั่นอีก 2 สัปดาห์ ซึ่งเรากำลังคิดว่าจะจองตั๋วไป พิมพ์ไปมือเราก็สั่นไปค่ะ เราก็แนะนำน้องให้ได้ตั๋วที่ราคาถูกที่สุด
(31 พ.ค. 64 ) แฟนเราก็ทักมาถามเราว่า ได้เอาเรื่องนี้ๆ ไปคุยกับน้องคนแรกไหม เราก็ตอบว่าบล็อกไปเป็นปีแล้วนิ จะคุยได้ไง แฟนเราก็บอกเราว่า งั้นไปปลดบล็อกและถามน้องสิว่าเราได้คุยไหม เราก็ทำตามที่แฟนเราบอก พอเราทักน้องคนนั้นไปว่าเราได้คุยเรื่องนี้ไหม ซึ่งน้องคนนี้ตอบมาเป็นฉากๆ ว่าคุยแบบนั้นแบบนี้ เราเลยบอกว่างั้นแคปหลักฐานมาให้ดูสิ น้องก็บอกว่าพี่บล็อกหนูไปแล้วแคปไม่ได้ แฟนเราก็เชื่อน้องคนนั้น หาว่าเราโกหกซ้ำๆ เราถามแฟนเรากลับไปว่า ถ้าเราคุยจริง ทำไมน้องเขาไม่มีหลักฐานแคปมาให้ดูล่ะ แฟนเราก็ตอบว่า ก็เราบล็อกเขาไปแล้วจะมีได้ไง และพอเราโทรหาก็กดตัดๆ และบอกว่าที่ผ่านมาที่เขาคิดว่าเขากล่าวหาเรา มันคงเป็นความจริงทั้งหมด และเขาก็บอกเลิกเราไปเลยและไม่รับฟังอะไร มันทำให้เรารู้เลยว่า เขาคงแอบคุยกัน หรือไม่เขาก็คงคุยกับน้องคนที่ 2 แล้วน้องคนที่ 2 คงจะมาเล่าให้คนน้องคนแรกฟัง เพราะเรื่องนี้ไม่มีใครรู้นอกจากเราและแฟนและเพื่อนสนิทเรา ซึ่งเพื่อนสนิทเราไม่ได้รู้จักน้องคนแรกและคนที่ 2 เป็นไปไม่ได้ที่เพื่อนเราจะไปเล่า
(1 มิ.ย.64) เราไปง้อเขาถึงที่ทำงาน เรารอจนเขาเลิกงานและออกมา เพราะเราต้องการที่จะเคลียร์ในสิ่งที่เราไม่ได้ทำ เราขอโทษเขาสำหรับเรื่องที่ผ่านมาที่เราไม่ได้ดูแลเขาให้ดี และขอโอกาสให้เราได้กลับไปแก้ไข เขามาส่งเราขึ้นรถกลับและพูดกับเราว่า เขาไม่อยากกลับมาเจ็บอีกแล้ว เราเข้ากันไม่ได้จริงๆ เราไปกันไม่ได้จริงๆ เขาไม่อยากให้เรื่องของเราจบแบบนี้ เขาโทษที่ทำให้เราต้องจบกันแบบนี้ เขาขอโทษที่ทำร้ายเรา และเขาก็ร้องไห้หนักมาก ซึ่งเราขอเขาว่าเราใกล้สอบแล้ว ขอให้อยู่เป็นกำลังใจให้เราก่อนได้ไหม เขาก็พูดมาว่า "เค้ากลับไปไม่ได้แล้ว มันสายไปแล้ว" คำๆนี้มันทำให้เราคิดว่าเขามีคนอื่นหรือเปล่า เพราะเวลาผ่านไปแค่ 1 วัน เขาใช้คำว่ามันสายไปแล้ว
ระหว่างทางที่เรานั่งรถกลับ เราก็ได้ไลน์ถามเขาไปตรงๆ ว่าเขากับน้องคนแรก แอบคุยกันใช่ไหม เพราะเราไม่ได้เล่าให้น้องคนนั้นฟังเลยเราไม่เคยปลดบล็อก แล้วน้องคนนั้นจะรู้ได้ยังไงถ้าเขาไม่ได้เล่า เขาก็ตอบเรากลับมาว่า อย่าทำให้เขาเกลียดไปมากกว่าเลย ทำไมเราถึงไม่เคยโทษตัวเอง อย่าโทษแต่คนอื่น อย่าให้เขามองเราในแง่ลบไปมากกว่านี้เลย เราก็ตอบเขาไปว่า เราโทษตัวเองเสมอ เรื่องที่เราไม่ดูแลเขาให้ดี เราปล่อยปละละเลยเขา เรามัวแต่ทุ่มเทให้กับการเรียนจนลืมเอาใจใส่เขา แต่เราก็ไม่เคยนอกใจเขาเลยสักครั้ง แต่เรื่องที่เราไม่ได้ทำ เราไม่ยอมรับ เรายอมรับไม่ได้ คือเราไม่ได้ทำจริงๆ
ขออนุญาตขอคำปรึกษาเรื่องความรักค่ะ
และเมื่อเดือน ส.ค.63 เราได้ทำเรื่องลาเรียน และได้เข้ามาอยู่ใน กทม. (ก่อนหน้านี้เราสังกัดอยู่ในจังหวัดที่ไกลจาก กทม. ประมาณ 700 กม.) และทำให้เรากับเขาอยู่ใกล้กันมากขึ้น เขาจะขับรถมาหาเราทุกสัปดาห์ โดยขับมาวันศุกร์หลังเลิกงานและจะขับรถกลับไปทำงานในวันจันทร์ตอนเช้า โดยเขาทำแบบนี้มา 2 ปี เต็มๆไม่ว่าเราจะย้ายไปอยู่ที่ไหน เขาก็จะทำให้เหมือนเราไม่ไกลกัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ในช่วงต้นปี 63 เราได้โพสต์ขายรถใน Internet แล้วมีน้องผู้หญิงคนนึงติดต่อมา (เราขอเรียกน้องคนนี้ว่าน้องคนที่ 1) แล้วเราก็แอดเฟสบุ้คกันเพื่อติดต่อคุยเรื่องรถ แต่น้องเขาใช้เฟสบุ้คที่เป็นรูปการ์ตูนแอดเรามา จนวันนึงเราขายรถคันนั้นให้คนอื่นไปแล้ว จึงโทรเฟสไปบอกน้องว่ารถขายแล้วนะ แล้วด้วยความที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน น้องเขาก็ปรึกษาปัญหาครอบครัว ว่าสามีของน้องมีเมียน้อย น้องโทรมาร้องไห้กับเราบ่อยๆ และเราก็ให้คำปรึกษาให้คำแนะนำต่างๆ รวมถึงวิธีการทำใจ และแนะนำให้น้องตัดใจจากสามี เราเคยเห็นน้องโพสต์รูปตัวเองลงในเฟส คือเป็นผู้หญิงที่สวยน่ารัก เราก็ไปกดไลค์เป็นประจำ เราสองคนคุยกันเยอะมากและค่อนข้างสนิท บางครั้งที่เราเข้ามา กทม. น้องเขาก็อยากจะมารับเราที่สนามบิน แต่เรารู้ตัวเองว่าเราอยู่ในคนละระดับกับน้อง (น้องเป็นเจ้าของบริษัท อายุ 28 จบ ป.ตรี ม.ดัง จบ ป.โท ที่ต่างประเทศ) เราก็หลีกเลี่ยงที่จะเจอและบอกน้องว่าเราไปเองได้ เพราะเรานั่งแท็กซี่หรือแกร็ปเป็นประจำอยู่แล้ว จนครั้งล่าสุดที่คุยกันคือน้องจะไปทำใจที่ต่างประเทศ ไปขอวีซ่ามาเรียบร้อยแล้ว และขออนุญาตพ่อแม่แล้ว ให้หาคนมาดูแลบริษัทแทนน้อง 2 ปี แต่ติดโควิด น้องยังไปไม่ได้ และยังไม่ได้หย่ากับสามี ซึ่งเราได้เล่าเรื่องน้องให้แฟนเราฟังเสมอๆ แฟนเราก็บอกว่าน้องเขาน่าสงสารจัง ทำไมสามีทำกับน้องแบบนี้ ถ้าแฟนเราเป็นผู้ชายคนนั้น แฟนเราจะไม่มีทางทำแบบนี้แน่นอน แฟนเราเคยบอกเราว่า ถ้าวันไหนต้องเลิกกับเราไป เขาจะหาผู้หญิงสวยและรวยแบบน้องคนนี้นี่แหละไปเป็นแฟน และจะไม่มีวันทำให้เสียใจอีก
ในช่วงที่น้องคนนั้นปรึกษาเรา เราก็ได้ระบายเรื่องของเรากับแฟนให้น้องฟังเหมือนกัน ว่าแฟนเก่าเรายังไม่ตัดใจจากเราสักที ทำให้แม่เราวนเวียนมาด่าเราบ่อยๆ ว่าเราทิ้งแฟนเก่าเราไปได้ยังไง รู้ไหมว่าเขาจะฆ่าตัวตาย และแฟนเราได้แอบอ่านแชทด้วยวิธีการแบบไหนเราไม่ทราบ ทำให้เรากับแฟนมีปัญหากันเรื่องนี้ หลังจากนั้นเราก็เลือกที่จะไม่ปรึกษาเรื่องนี้กับน้องคนนี้อีก และพูดถึงแบบกลางๆแทน เพราะเราไม่อยากมีปัญหากับแฟน แต่น้องคนนี้ก็คอยถามเราบ่อยๆ จนวันนึงเราเลยไม่พิมพ์ไปทางข้อความ แต่เลือกที่จะโทรเฟสแทน แต่สิ่งที่เราระบายคือ เราบอกน้องว่าเราไม่ได้รักแฟนเก่า แต่แฟนเก่าก็มีแต่ร้องไห้และมาขอโอกาส และหลังจากวางสายจากน้องคนนั้นไป คืนนั้นแฟนเราก็ไลน์มาและพูดทุกอย่างที่เราได้พูดกับน้องคนนั้นไป แต่พูดในเวอร์ชั่นที่ไม่ใช่สิ่งที่เราคิด เราเลยงงว่า การโทรเฟสมันสามารถดึงไปฟังได้ด้วยเหรอ และเราก็คิดไปว่าเขาคงดึงไปฟังได้จริงๆแต่ฟังแบบผิดๆ ตีความหมายผิดๆ
แต่วันนั้นเราก็เคลียร์กันได้ด้วยการที่เราบอกแฟนว่าเราไม่อยากทะเลาะกับเขาอีกแล้วและถ้าเขาจะเลิก เราก็ยอม เขาก็เอาสถานะในเฟสบุ้คออก และเราก็คิดว่าเราน่าจะเลิกกันแล้ว และน้องที่เราคุยทางเฟสก็ทักมาขอโทษที่เป็นสาเหตุให้เราเลิกกับแฟน และบอกว่าน้องเขานอนร้องไห้ทั้งคืน เราเลยบอกว่าไม่ใช่ความผิดของน้องหรอก พี่ผิดเอง และวันถัดมาเรากับแฟนก็ดีกันเหมือนเดิม ขึ้นสถานะกันเหมือนเดิม
หลังจากนั้นเราก็ไม่คุยเรื่องนี้กับน้องคนนี้อีก เพราะไม่อยากมีปัญหากับแฟน เราเลยเลือกที่รับฟังและให้คำปรึกษาเรื่องของน้องเท่านั้น แต่เราก็คอยเล่าเรื่องของน้องคนนี้ให้แฟนเราฟังเสมอๆ
ปัญหาอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ มีน้องอีกคนนึงแอดเฟสเรามาในช่วงกลางปี 63 (เราขอเรียกน้องคนนี้ว่าน้องคนที่ 2) โดยใช้เฟสรูปการ์ตูนแอดมา และชวนคุยเรื่องรายการ Take me out และบอกว่าเจอเราในเพจนั้น และชอบดูเรียลลิตี้เหมือนกัน จึงแอดมาชวนคุยเรื่องเรียลลิตี้ แต่มันน่าแปลกมากที่เราเจอเฟสของน้องคนนี้กดไลค์เฟสของน้องคนแรก และทำให้เรารู้ว่าเขาเป็นเพื่อนกัน เพราะเราเห็นเม้นสเตตัสกัน เวลาที่น้องคนแรกโพสต์ถึงสามีเขา
มีสัปดาห์นึงที่แฟนเราติดงานและมาหาเราไม่ได้ วันนั้นเราไปเรียน ป.โท ตามปกติ และได้งานกลับมาให้พรีเซ้นต์วันพรุ่งนี้ เราจึงบอกแฟนว่าขอทำงานก่อนนะต้องใช้สมาธิ ซึ่งแฟนเราก็โอเค แต่ในระหว่างทางที่เรานั่งรถกลับที่พัก น้องคนแรกก็ได้ส่งข้อความมาทางเฟสว่าเป็นไงบ้างพี่ เห็นเขาชุมนุมกัน กลัวพี่ติดอยู่ในที่ชุมนุม เราก็ตอบน้องไปว่า ไม่เป็นไรนะ เรากลับออกมาได้แล้วโดยปลอดภัย
อีกหลายวันต่อมาแฟนเราก็มากล่าวหาว่าเราเอาเรื่องเขากับแฟนเก่าเราไปพูดกับคนน้องคนนี้ ซึ่งเราก็ทะเลาะกับแฟนว่ามาหาเรื่องเราทำไม เราเลิกคุยเรื่องนี้ไปนานแล้วนะ แฟนเราก็พูดมาว่า วันนั้นที่เราขอตัวทำงานส่งอาจารย์ แต่จริงๆแล้วเราโทรคุยกับน้องคนแรกว่านู่นนี่นั่น อยากเลิกกับแฟน ขี้หึง ขี้ระแวงเกิน ทนไม่ไหวแล้ว เราก็เถียงหัวชนฝาว่าเราไม่ได้พูด เขาก็ไม่เชื่อ เราก็แคปหลักฐานทางมือถือไปให้ดูว่าไม่ได้โทร และไม่เคยมีเบอร์น้องคนนี้เลย จะโทรได้ไง แฟนเราเลยบอกให้เราส่งเฟสไปถามน้องเขาสิ ว่าได้โทรไหม เราเลยส่งไปถามน้องเขาเพื่อที่จะเอามายืนยันกับแฟนว่าเราไม่ได้โทร แต่สิ่งที่น้องเขาตอบกลับมาคือ น้องเขาบอกว่าเราโทรและไปปรึกษาเรื่องอยากเลิกกับแฟน เราเลยบอกน้องว่าไหนเบอร์โทรที่พี่โทร ขอดู น้องก็ตอบว่าล้างข้อมูลไปหมดแล้ว และตอบมาทางเฟสว่า หนูไม่ได้ประสาทนะพี่ เราเลยถามน้องไปว่า เบอร์น้องเบอร์อะไรพี่จะโทร น้องเขาก็ไม่ให้ เราโมโหมากและคิดว่าน้องคงหลงลืมเพราะวันนั้นน้องทักเฟสมาอย่งางเดียว เราเลยบล็อกน้องคนนี้ไปเลยเพื่อให้จบปัญหา
หลังจากวันนั้น เราก็มีเรื่องทะเลาะกับแฟนเราบ่อยๆ และทุกครั้งแฟนเราจะอ้างชื่อน้องคนนี้ตลอดและเราก็เคลียร์ได้ทุกครั้งด้วยการสาบานว่าเราไม่ได้ทำและไม่เคยปลดบล็อกน้องคนนี้อีกเลย เขาก็ยอมเชื่อ และมาขอโทษเราที่เขาเคยกล่าวหา มันทำให้บางทีเราก็คิดว่าหรือเขาสองคนแอบคุยกัน และน้องคนนั้นมีเหตุผลอะไรที่ขะทำกับเราแบบนี้ เราก็บอกตัวเองว่าเราน่าจะคิดมากไปเอง
ความสัมพันธ์ของเราที่ทะเลาะกับแฟนบ่อยๆมันทำให้เราเหนื่อยมาก ดีกันไม่กี่วันก็ทะเลาะอีก ทำให้เราหยุดโฟกัสไปที่การดูแลเขา จากเดิมที่เราเคยดูแลเขาดีมาก เราคิดแต่ว่าเขาจะหาเรื่องเราอีกวันไหน ใจนึงก็อยากเลิก แต่เราคงทนไม่ไหวถ้าต้องเห็นเขาไปมีคนอื่น แต่เราก็น้อยใจเสมอที่แฟนเราทำไมถึงไม่เชื่อใจเราบ้าง ทั้งที่เราโคตรเชื่อใจเขาเลย
(28 พ.ค.64) ยังจำน้องคนที่ 2 ที่เราเล่าให้ฟังได้ไหมคะ ก่อนที่เราจะเลิกกับแฟน 3 วัน น้องคนนี้ทักเฟสมาถามเราว่า น้องจะจองตั๋วเครื่องบินไปจังหวัดๆนึงเพราะน้อง
สอบติด ขรก.ที่นั่น และจะไปบรรจุ ซึ่งจังหวัดที่น้องจะเดินทางไป คือจังหวัดบ้านเกิดของแฟนเรา และเราทราบดีกว่าแฟนเรากำลังจะไปที่นั่นอีก 2 สัปดาห์ ซึ่งเรากำลังคิดว่าจะจองตั๋วไป พิมพ์ไปมือเราก็สั่นไปค่ะ เราก็แนะนำน้องให้ได้ตั๋วที่ราคาถูกที่สุด
(31 พ.ค. 64 ) แฟนเราก็ทักมาถามเราว่า ได้เอาเรื่องนี้ๆ ไปคุยกับน้องคนแรกไหม เราก็ตอบว่าบล็อกไปเป็นปีแล้วนิ จะคุยได้ไง แฟนเราก็บอกเราว่า งั้นไปปลดบล็อกและถามน้องสิว่าเราได้คุยไหม เราก็ทำตามที่แฟนเราบอก พอเราทักน้องคนนั้นไปว่าเราได้คุยเรื่องนี้ไหม ซึ่งน้องคนนี้ตอบมาเป็นฉากๆ ว่าคุยแบบนั้นแบบนี้ เราเลยบอกว่างั้นแคปหลักฐานมาให้ดูสิ น้องก็บอกว่าพี่บล็อกหนูไปแล้วแคปไม่ได้ แฟนเราก็เชื่อน้องคนนั้น หาว่าเราโกหกซ้ำๆ เราถามแฟนเรากลับไปว่า ถ้าเราคุยจริง ทำไมน้องเขาไม่มีหลักฐานแคปมาให้ดูล่ะ แฟนเราก็ตอบว่า ก็เราบล็อกเขาไปแล้วจะมีได้ไง และพอเราโทรหาก็กดตัดๆ และบอกว่าที่ผ่านมาที่เขาคิดว่าเขากล่าวหาเรา มันคงเป็นความจริงทั้งหมด และเขาก็บอกเลิกเราไปเลยและไม่รับฟังอะไร มันทำให้เรารู้เลยว่า เขาคงแอบคุยกัน หรือไม่เขาก็คงคุยกับน้องคนที่ 2 แล้วน้องคนที่ 2 คงจะมาเล่าให้คนน้องคนแรกฟัง เพราะเรื่องนี้ไม่มีใครรู้นอกจากเราและแฟนและเพื่อนสนิทเรา ซึ่งเพื่อนสนิทเราไม่ได้รู้จักน้องคนแรกและคนที่ 2 เป็นไปไม่ได้ที่เพื่อนเราจะไปเล่า
(1 มิ.ย.64) เราไปง้อเขาถึงที่ทำงาน เรารอจนเขาเลิกงานและออกมา เพราะเราต้องการที่จะเคลียร์ในสิ่งที่เราไม่ได้ทำ เราขอโทษเขาสำหรับเรื่องที่ผ่านมาที่เราไม่ได้ดูแลเขาให้ดี และขอโอกาสให้เราได้กลับไปแก้ไข เขามาส่งเราขึ้นรถกลับและพูดกับเราว่า เขาไม่อยากกลับมาเจ็บอีกแล้ว เราเข้ากันไม่ได้จริงๆ เราไปกันไม่ได้จริงๆ เขาไม่อยากให้เรื่องของเราจบแบบนี้ เขาโทษที่ทำให้เราต้องจบกันแบบนี้ เขาขอโทษที่ทำร้ายเรา และเขาก็ร้องไห้หนักมาก ซึ่งเราขอเขาว่าเราใกล้สอบแล้ว ขอให้อยู่เป็นกำลังใจให้เราก่อนได้ไหม เขาก็พูดมาว่า "เค้ากลับไปไม่ได้แล้ว มันสายไปแล้ว" คำๆนี้มันทำให้เราคิดว่าเขามีคนอื่นหรือเปล่า เพราะเวลาผ่านไปแค่ 1 วัน เขาใช้คำว่ามันสายไปแล้ว
ระหว่างทางที่เรานั่งรถกลับ เราก็ได้ไลน์ถามเขาไปตรงๆ ว่าเขากับน้องคนแรก แอบคุยกันใช่ไหม เพราะเราไม่ได้เล่าให้น้องคนนั้นฟังเลยเราไม่เคยปลดบล็อก แล้วน้องคนนั้นจะรู้ได้ยังไงถ้าเขาไม่ได้เล่า เขาก็ตอบเรากลับมาว่า อย่าทำให้เขาเกลียดไปมากกว่าเลย ทำไมเราถึงไม่เคยโทษตัวเอง อย่าโทษแต่คนอื่น อย่าให้เขามองเราในแง่ลบไปมากกว่านี้เลย เราก็ตอบเขาไปว่า เราโทษตัวเองเสมอ เรื่องที่เราไม่ดูแลเขาให้ดี เราปล่อยปละละเลยเขา เรามัวแต่ทุ่มเทให้กับการเรียนจนลืมเอาใจใส่เขา แต่เราก็ไม่เคยนอกใจเขาเลยสักครั้ง แต่เรื่องที่เราไม่ได้ทำ เราไม่ยอมรับ เรายอมรับไม่ได้ คือเราไม่ได้ทำจริงๆ