เชียงใหม่-117 ปี อาคารเตียหย่งเชียง อาคารอนุรักษ์ดีเด่นประจำปี พ.ศ.2556 อดีตที่หลากหลายก้าวสู่โรงแรมอีกครั้ง

หากเราผ่านไปผ่านมาบนถนนท่าแพช่วงวัดอุปคุต จะสังเกตว่ามีอาคารตรงหัวมุมถนน ซึ่งเปลี่ยนแปลงกิจการอันหลากหลายในแต่ละช่วงของเวลาที่ผ่านไป
จนล่าสุดก็จะเป็น UOB BANK นั่นเอง


อาคารนี้เป็นอาคารกึ่งไม้กึ่งปูนที่สวยงาม เป็นของตระกูล "ตียาภรณ์" ตระกูลคหบดีย่านวัดเกตการาม
(ดูกระทู้ที่เกี่ยวข้องบ้านทองอยู่ ตียาภรณ์ที่เคยลงไว้)
อาคารหลังนี้ชื่อว่าอาคารหย่งเชียงหรือหลงชาง เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว ตามชื่อเจ้าของคือนายทองอยู่ ตียาภรณ์ 
ซึ่งมีความหมายว่า ความเจริญรุ่งเรือง ส่วนภาษาจีนกลางออกเสียงว่า หลงชาง หรือ หลุงชาง

......มีข้อมูลที่รุ่นลูกหลานสืบค้นว่าสร้างเมื่อปี พ.ศ.2447 ปัจจุบัน พ.ศ.2564 จึงมีอายุร่วม 117 ปี 
เป็นอาคาร 2 ชั้น รูปแบบเป็นสถาปัตยกรรมล้านนาผสมจีน การก่อสร้างใช้การก่ออิฐรับน้ำหนัก 
พื้นชั้นสองใช้คานไม้ขนาด 4 นิ้ววางสอดเข้าไปในผนังก่ออิฐเพื่อรับโครงสร้างพื้น ถือเป็นอาคารก่ออิฐผสมไม้ยุคแรกๆ ของเมืองเชียงใหม่ในขณะนั้น

บริเวณบันไดถือว่าเป็นที่สะดุดตามากๆ จนอดใจที่จะเก็บภาพไว้ไม่ได้

......ที่นี่เคยเป็นร้านค้าของนายทองอยู่ ตียาภรณ์ ผู้สืบทอดการค้าขายมาจากบรรพบุรุษตระกูล แซ่เตีย 
สร้างโดยนายจีนกี กีเซ่งเฮง ซึ่งเป็นบุตรของเล่าก๋งเตียบู้เซ้ง ต้นตระกูลเตียหย่งเชียง (ตียาภรณ์) ผู้นำชุมชนพ่อค้าจีนย่านวัดเกตการามในสมัยนั้น 
นายจีนกีได้สร้างอาคารหลังนี้พร้อมๆ กับที่มีการสร้างตลาดวโรรส

......ช่างผู้ก่อสร้างเป็นสถาปนิกชาวจีนชื่อ นายกิมยง เข้าใจว่าพักอาศัยอยู่ละแวกถนนเจริญราษฎร์ ข้างวัดเกตการาม โดยนายกิมยงเป็นต้นสกุล ตันกิมยง
......นายทองอยู่ เดิม "แซ่เตีย" ต่อมาเปลี่ยนเป็น "ตียาภรณ์" ตามประวัติเกิดที่ย่านวัดเกตการาม เป็นบุตรของนางบัวจี๋และนายกี แซ่เตีย มีพี่น้อง 3 คน คือ นางกิมเฮียะ, นายแดง ตียาภรณ์และนายทองอยู่ ตียาภรณ์
......นายทองอยู่ ตียาภรณ์ แต่งงานกับนางกิมเหรียญ สกุลเดิม กิติบุตร บุตรธิดารวม 8 คน คือ นายโกมล ตียาภรณ์, นายอารักษ์ ตียาภรณ์, นางสาวประพิมพ์ ตียาภรณ์ (เสียชีวิตจากกรณีเครื่องบินเลาด้าแอร์ตก), นายตระการ ตียาภรณ์, นางสาวอาภา ตียาภรณ์, อาจารย์สุพจน์ ตียาภรณ์, นางสลวย สุจริตกุลและนายอำพล ตียาภรณ์

มองจากระเบียงออกไปจะเห็นวัดอุปคุต ซึ่งมีซุ้มโขงหน้าประตูทางเข้าที่สวยงามทีเดียว

......อาจารย์สุพจน์ ตียาภรณ์ บุตรชายคนหนึ่งปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว เคยให้ข้อมูลว่า
"ผมไม่ทันได้เห็นปู่ เสียชีวิตไปก่อนแล้ว แต่ทันได้เห็นย่า คือ นางบัวจี๋ ย่าอยู่บ้านย่านวัดเกตการาม
"ผมเกิดที่บ้านพ่อใกล้วัดเกตฯ ติดสะพานจันทร์สม หน้าบ้านเป็นเรือนแถว ส่วนด้านหลังบ้านติดแม่น้ำปิงสร้างเป็นชานบ้าน 
บ้านหลังนี้ไม่ใช่มรดกจากบรรพบุรุษ แต่เป็นบ้านที่พ่อสร้างฐานะและซื้อที่ดินปลูกบ้านเอง 
จำได้ว่าตอนเด็กทันได้เห็นเรือหางแมงป่องที่พ่อใช้เดินทางค้าขาย ลำใหญ่ จอดติดอยู่หลังบ้าน
พ่อใช้เรือค้าขายสินค้าระหว่างกรุงเทพฯและเชียงใหม่เหมือนพ่อค้ารายอื่นของเชียงใหม่
นำสินค้าจากกรุงเทพฯมาขายที่บ้านซึ่งสร้างเป็นร้านค้าชื่อ ร้านเตียหย่งเชียง
ตอนเด็กจำได้ว่ามักมีพ่อค้าเชื้อสายเงี้ยว (ไทยใหญ่) จากอำเภอสันทรายมักซื้อด้ายจากที่บ้านไป
ด้ายที่ว่าม้วนไว้ด้วยวัสดุขนาดยาวประมาณ 1 ฟุต ห่อด้วยกระดาษพิมพ์เป็นภาษาพม่า
พอผมเริ่มโตขึ้นพ่อก็เลิกค้าทางเรือและที่บ้านก็เลิกค้าขายในระยะเวลาต่อมา

พ่อเปลี่ยนอาชีพไปเป็นซื้อที่นาและเก็บผลผลิตข้าวเปลือกมาเข้ายุ้งและขายเมื่อมีราคาสูง ซึ่งคาดว่าเป็นธุรกิจที่ทำเงินได้ดีในระยะเวลานั้น 
ที่นามักอยู่ในเขตอำเภอสันทราย ไม่ใช่แปลงใหญ่ แต่กระจายไปมี 4 ไร่บ้าง 7 ไร่บ้าง 20 ไร่บ้าง รวมกันแล้วก็หลายร้อยไร่ 
แต่ละปีก็ไปเก็บข้าวเปลือกที่ให้ชาวบ้านเช่านำมาเก็บไว้ที่ยุ้ง 2 ยุ้ง อยู่ถัดไปทางทิศเหนือของบ้านซึ่งเป็นที่ของพ่อ 
ส่วนแม่ (กิมเหรียญ) นั้น ไม่ชอบค้าขาย เป็นแม่บ้านแบบสมบูรณ์แบบ 
แม่เป็นลูกสาวของนายกิตี๋ กิติบุตรและนางบุญรอด เป็นภรรยาคนที่สองของนายกิตี๋ 
ภรรยาคนแรกคือแม่สุ่น กิติบุตร แม่มีพี่น้อง 2 คน คือ แม่และนางกิมเอง

ผมเข้าเรียนชั้นประถมและมัธยมที่โรงเรียนปรินส์ฯ สมัยนั้นก็เดินจากบ้านเข้าตรอกวัดแขก จำได้ว่าผ่านบ้านย่าหลู่ ซึ่งเป็นบ้านสาวชื่อดัง 
จนภายหลังมาสอนที่โรงเรียนปรินส์ฯ ครูที่สอนอยู่ด้วยกันก็มาเที่ยวที่บ้านย่าหลู่แห่งนี้ พ่อแม่ผมให้ความสำคัญกับการศึกษามาก 
ลูกแต่ละคนถูกปลูกฝังให้เรียนหนังสือสูงๆ กันทุกคน ผมหลังจากจบปรินส์ฯ แล้ว ศึกษาต่อจบวิศวะ ที่จุฬาฯ 
เมื่อจบแล้ว พ่อเรียกกลับมาช่วยกิจการที่บ้านเพราะคนอื่นไปเรียนกรุงเทพฯกันหมด ไม่มีใครช่วยงาน ก็คืองานเก็บข้าวเปลือก 
ผมต้องกลับมาช่วยพ่อ จบมาปี พ.ศ.2492 ระหว่างนั้นสมัครเป็นครูสอนที่โรงเรียนปรินส์ฯ ชั้นมัธยม 7 และมัธยม 8 
สอนวิชาฟิสิกส์และเคมีสอนอยู่ 12 ปี พ่อให้ไปเรียนต่อเมืองนอก ไปเรียนปริญญาโทที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา 2 ปีเศษ 
จบด้านสิ่งแวดล้อม กลับมาเชียงใหม่กำลังมีโครงการตั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงสมัครเป็นอาจารย์ 
ตอนนั้นยังไม่ได้ตั้ง เขารับเลยเพราะคนจบปริญญาโทจากเมืองนอกไม่ค่อยมี 
หลังจากนั้นก็เป็นอาจารย์สอนคณะวิศวกรรมศาสตร์ จนเกษียณอายุเมื่อปี พ.ศ.2530

พ่อชอบทำบุญ แต่ทำเป็นกิจจะลักษณะ คือ ไม่ใส่บาตรทุกวัน ในลักษณะนี้เท่าที่ทราบคือ ทำศาลาวัดพระสิงห์ ทำศาลาวัดกองทรายที่อำเภอสารภี รวมสร้างกับพี่ๆ น้องๆ ญาติ ตอนพ่อเสียอายุ 82 ปี พ.ศ.2515 เส้นเลือดอุดตัน พ่อชอบกินลาบดิบ ส่วนแม่นั้นเสียชีวิตก่อนแล้ว พ่อได้ทำพินัยกรรมไว้ก่อนแล้ว แบ่งที่ดินและเงินฝากไว้ให้ลูก บ้านที่วัดเกตมอบให้นางสาวประพิมพ์

จากการศึกษาการร่วมบริจาคทรัพย์ซึ่งสมัยก่อนใช้คำว่า "เรี่ยราย" เพื่อนำเงินสร้างอาคารสถานที่ที่เป็นสาธารณประโยชน์ต่อส่วนรวม พบว่าผู้บริจาคมักอยู่ในกลุ่มคนกลุ่มเดียวกัน ส่วนหนึ่งเป็นข้าราชการอีกส่วนหนึ่งเป็นพ่อค้าและประชาชน
......ในปี พ.ศ.2466 สมัยปลายรัชกาลที่ 6 มีการระดมเงินสร้างโรงพยาบาลโอสถสภาและที่ทำการสุขาภิบาลเมืองเชียงใหม่ ได้เงินถึง 16,716 บาท พิธีเปิดมีขึ้นในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2467
......ในครั้งนั้นมีผู้ร่วมบริจาคประมาณ 70 ราย ผู้บริจาคคนหนึ่งคือ นายทองอยู่ เตียหย่งเชียง บริจาค 200 บาท และบริจาคเตียงสำหรับคนเจ็บ 1 เตียง ราคา 184 บาท 34 สตางค์ ถือได้ว่าเป็นนักสะสมบุญย่านวัดเกตการาม นอกจากนี้เมื่อครั้งที่มีการรับบริจาคเงินเพื่อสร้างวิหาร เจดีย์ หอธรรมวัดเกตฯ เมื่อปี พ.ศ.2464 ปรากฏชื่อ จีนอยู่ นางกิมเหรียญ บริจาค 50 รูปี

......นายทองอยู่ ตียาภรณ์ ได้ครอบครองอาคารนี้เรื่อยมา ต่อมาตกทอดสู่รุ่นลูกคือ รศ.ดร.สุพจน์ ตียาภรณ์ อดีตคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เดิมบ้านตึกของนายทองอยู่ ตียาภรณ์ ให้ผู้อื่นเช่าอยู่อาศัย
......เดิมมีนายหลี จุฬานุกะ มาเช่าพักอาศัยและเปิดร้านขายเครื่องเล่นแผ่นเสียง ต่อมาเมื่อนายหลีเลิกกิจการในปี พ.ศ.2486 มีครอบครัวของนายฮกหลี ธงนำทรัพย์ มาเช่าอยู่อาศัยและเปิดร้านรับซ่อมวิทยุ ใช้ชื่อว่า ร้านทิพย์เสถียร ต่อมาได้แบ่งพื้นที่ว่างให้ร้านศรีประเสริฐเช่าทำกิจการขายรถจักรยาน วิทยุและซ่อมวิทยุด้วย ต่อมาเมื่อนายฮกหลีเสียชีวิต รุ่นลูกยังคงเช่าอยู่ต่อ เปิดกิจการขายก๋วยเตี๋ยวรสเด็ด

......ปัจจุบันกรรมสิทธิ์ตกสู่รุ่นลูกของอาจารย์สุพจน์ ตียาภรณ์ คืออาจารย์สลิลทิพย์ ตียาภรณ์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ปรับปรุงใช้งบประมาณ 5 ล้านบาทเศษ จัดชั้นล่างเป็นร้านกาแฟและขายของที่ระลึก ส่วนชั้นสองปรับเป็นโรงแรมขนาดเล็กรวม 3 ห้องสำหรับนักท่องเที่ยว
ปัจจุบันอาคารหลังนี้ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นประจำปี พ.ศ.2556
และกำลังอยู่ระหว่างปรับปรุงเป็นโรงแรมเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวในอนาคต

เมื่อทราบถึงประวัติที่มาที่ไปของอาคารหลังนี้แล้ว ผมเชื่อมั่นว่า หากอาคารหลังนี้ปรับปรุงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในอนาคตหากนักท่องเที่ยวมาเข้าพัก คงเปี่ยมไปด้วยความสุขกับอาคารที่มีประวัติอันยาวนาน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่