ริษยารักข้ามภพ บทที่ 7




ตอนเดิม




 ตอนที่ 7

ที่โต๊ะของคู่นัดหมาย ค่ำคืนนี้พิษณุสั่งอาหารฝรั่งเศสมาทาน เขาสั่งเป็ดอบฝรั่งเศส ไข่ตุ๋นเห็ดทรัฟเฟิล เนื้อตุ๋นไวน์แดง สั่งไวน์รสดีที่สุดของทางร้านมาชิม 

ขณะลงมือรับประทานอาหาร เจ้านางคำหยาดฟ้าตักอาหารทานพลางสายตาคอยชำเลืองมองไปทางโต๊ะของนพคุณเป็นระยะ เธอมีท่าทางซึมลงทันที เมื่อเห็นคนกลุ่มนั้นเช็คบิล และพากันเดินออกจากห้องอาหารไป พิษณุสังเกตเห็นจึงถามขึ้นอย่างเกรงใจ

“คนรู้จักหรือครับ”

“เพื่อนใหม่น่ะค่ะ เพิ่งรู้จักกันเมื่อวันสองวันนี้เอง เขาเข้ามาเยี่ยมชมคุ้มค่ะ”

เจ้าของคุ้มโบราณตอบด้วยน้ำเสียงเหงา ๆ พิษณุแม้นึกสงสัยในท่าทีแบบนั้นของหญิงสาว แต่เขาก็เพียงตอบรับรู้เบา ๆ ไม่กล้าซักถามอะไรมากอีก 
พลันเสียงเปียโนบรรเลงเพลง Moonlight Sonata ของ Beethoven คีตกวีชาวเยอรมัน ด้วยท่วงทำนองไพเราะอ่อนหวานก็ดังขึ้น ชายหนุ่มชะงักนิ่งฟังอย่างตั้งใจ

“จำได้ไหมคะ” พอแว่วเสียงเปียโน หญิงสาวก็ดูเหมือนจะคลายอาการซึมเซาลง ตาคู่งามเจิดจรัสขึ้น เธอปล่อยให้เขาฟังครู่หนึ่งจึงค่อยถาม

“จำได้ครับ ผมชอบฟังเพลงคลาสสิกพวกนี้ โดยเฉพาะเพลงที่เล่นด้วยเปียโน เพลง Moonlight Sonata นี่เพราะจริง ๆ”

“คุณเล่นเปียโนเป็นไหมคะ” เอียงคอถามด้วยท่าทางสดชื่นกว่าเดิม สายตาที่มองเขาเหมือนรู้คำตอบดีอยู่แล้ว ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยจับเครื่องดนตรีเล่นจริงจังเลยสักชิ้น เพราะที่บ้านสนับสนุนเฉพาะเรื่องเรียนเพียงอย่างเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ชอบฟังเพลงมาก และมักผ่อนคลายความเครียดด้วยการฟังเพลงบรรเลงจากเปียโน

“ไม่เป็นเลยครับ แค่ชอบฟังเฉย ๆ ผมเล่นเครื่องดนตรีไม่เป็นเลยสักชิ้น”

“คุณน่าจะลองเล่นดู คุณมีพรสวรรค์นะคะ”

“เจ้าล้อผมเล่นอีกแล้ว”

“เปล่าล้อเล่นค่ะ คุณเล่นเป็นแน่ ไหนลองหลับตาแล้วยกมือขึ้น กางนิ้วออกสิคะ”

พิษณุหัวเราะขำ นึกในใจว่าเธอจะมารู้ดีกว่าตัวเขาเองได้ยังไง แต่ก็ยอมทำตามเพื่อเอาใจผู้หญิงที่ตัวเองตกหลุมรัก

“ที่นี้พรมนิ้วตามจังหวะเพลง กระดิกนิ้วไปตามเสียงเพลงที่คุณได้ยิน”

เธอบอกเขาเรื่อย ๆ ขณะที่นักดนตรีบรรเลงเพลงต่อไป ชายหนุ่มพริ้มเปลือกตาลงแล้วเคลื่อนไหวนิ้วไปตามจังหวะเพลง รู้สึกแปลกใจที่นิ้วขยับไปเองอย่างคล่องแคล่วโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ

เสียงเปียโนแว่วหวานเยือกเย็น ให้ความรู้สึกราวกำลังนั่งชมจันทร์กระจ่างฟ้าในคืนวันเพ็ญ ขณะกำลังดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงบรรเลง ทันใดนั้น ในม่านตาที่ปิดอยู่ก็ปรากฏภาพใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งขึ้น เธอคนนั้นมีเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม หยิกเป็นเกลียวยาวสลวยเคลียแก้ม หญิงสาวเบือนหน้ามาทางเขาช้า ๆ  ริมฝีปากบางเคลือบสีแดงสดแย้มออก มุมปากบนขวามีไฝเม็ดเล็กสีน้ำตาลติดอยู่ ดวงตาแวววาวใต้คิ้วเข้มจ้องมองมาที่เขาอย่างท้าทาย...

พิษณุสะดุ้ง รีบลืมตาขึ้นแล้วก้มมองมือตัวเองอย่างนึกพิศวง แปลกใจกับภาพที่เห็นในภวังค์มาก รู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝันทั้งที่ยังตื่นอยู่ และแปลกใจนิ้วมือของตัวเองที่พรมลงบนอากาศ ราวกับคุ้นเคยการทำแบบนั้นอย่างประหลาด

“แปลกจัง ผมรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเปียโนอยู่จริง ๆ”

“ลองกลับไปหาเปียโนมาหัดเล่นดูนะคะ คุณเล่นได้แน่ เชื่อฉันเถอะค่ะ”

“จริงเหรอครับ ดูเหมือนเจ้าจะรู้จักผมมากกว่าตัวผมเองเสียอีก กลับไปนี่ผมคงต้องหาเวลาไปหัดเล่นเปียโนจริงจังเสียแล้ว” วิศวกรหนุ่มพูดพลางทำท่าทึ่ง 
หญิงสาวแห่งคุ้มคำหยาดฟ้าจิบไวน์ในแก้วเนื้อบาง ก่อนวางมันลง เธอหมุนก้านแก้วเล่น ประกายปริศนาอย่างหนึ่งปรากฏในดวงตาคู่หวาน

“เราเห็นกันมานานแล้วนี่คะ อีกอย่างฉันเคยไปฝึกการเข้าฌานจากอาจารย์แถบมองโกล จนสามารถมีเรดาร์พิเศษจับพรสวรรค์คนอื่นได้น่ะค่ะ คงเหมือนคุณพีทที่มีเรดาร์พิเศษ รู้จักคุ้มคำหยาดฟ้ามากกว่าคนอาศัยอยู่ที่นั่นเสียอีก เวลาคุ้มมีปัญหาต้องซ่อมแซมแก้ไขทีไร หนานไม่เคยไว้ใจฝีมือใครนอกจากคุณ”

“ขอบคุณที่เจ้าไว้ใจผมให้ดูแลคุ้ม เอ้อ...ขอให้ผมได้ดูแลมันตลอดไปได้ไหมครับ” 

คล้ายรอโอกาสพูดแบบนี้อยู่แล้ว และดูเหมือนพิษณุจะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เขาพูดราวท่องสคริปบทภาพยนตร์ พลางส่งสายตาหวานซึ้งให้คนฟัง ท่าทางแบบนั้นของเขาเรียกรอยยิ้มบาง ๆ ให้ผุดขึ้นบนใบหน้างามแฉล้มของอีกฝ่าย

“คุณดูแลมันมาตลอดอยู่แล้วนี่คะ”

“ผมหมายถึง...ผมอยากให้เจ้าไว้ใจผม ให้ผมได้ดูแลทั้งคุ้มและเจ้านางคนสวยของคุ้มด้วยครับ”

พูดจบหน้าขาวสะอาดของตี๋หนุ่มก็แดงก่ำเสียเอง เขานั่งตัวเกร็งกลั้นใจรอฟังคำตอบ เจ้านางคำหยาดฟ้านิ่งมองชายหนุ่มตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบช้า ๆ

“ฉันไว้ใจคุณเสมอค่ะ รู้ด้วยว่าคุณซื่อสัตย์ในคำพูดเสมอ รักและหวังดีกับคุ้มคำหยาดฟ้ารวมทั้งตัวฉันไม่เคยเปลี่ยนแปลง อย่าเพิ่งใจร้อนเลยค่ะ เรายังต้องเรียนรู้กันและกันต่อไปอีกมาก ฉันมีเรื่องมากมายที่อยากเล่าให้คุณฟัง”

 
กลับมาจากรับประทานอาหารค่ำในภัตตาคารสุดหรูกับพิษณุ เมื่อเวลาประมาณสามทุ่มกว่า เจ้านางคำหยาดฟ้าลงจากรถที่มีหนานอินเฟือนเป็นคนขับ เธอพบกับบัวตองที่ออกมายืนรออยู่หน้าเรือน

“กลับมากันแล้ว อาหารอร่อยหรือไม่เจ้าข้า” หญิงรับใช้คนสนิทเลียบเคียงถามดูอย่างอยากรู้ เจ้านางสาวยิ้มให้เนือย ๆ

“อาหารที่นั่นรสชาติใช้ได้ดีทีเดียว ติดที่ข้าไม่อยากคุยกับฟ้าคุ้มมากนัก กลัวหลุดปากพูดออกมา เลยรีบขอตัวกลับ มันยังไม่ถึงเวลา ฟ้าคุ้มยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้”

“เจ้าชายน้อยพอมีสัญญาณรำลึกอดีตได้บ้างหรือไม่จ้าว” บัวตองถามต่ออีก หญิงสาวผู้เป็นอมตะพยักหน้า 

“ก็พอมีหลงเหลือบ้าง ที่เห็นชัดก็เรื่องดนตรีนั่นแหละ มันคงเข้าไปสิงอยู่ในวิญญาณของเขาเลยกระมัง พอได้ยินเสียงเปียโนทีไร เป็นต้องนิ่งฟังเหมือนโดนสะกดจิต”

“น่าเสียดายพรสวรรค์ชนิดนี้ของเจ้าชายน้อย หากเจ้าฟ้าไม่ให้ไปเรียนเป็นวิศวกร เจ้าฟ้าคุ้มคงได้เป็นนักดนตรีชื่อดังก้องโลก” บัวตองพูดเหมือนรำพึง นายสาวของเธอถอนใจยาว เอ่ยอย่างปลงกับคนรับใช้คู่ใจว่า

“เกิดมาในเชื้อเจ้า ใครว่าสุขสบายกว่าคนอื่น อยากได้อะไร ใคร่ทำอะไรก็ได้ มันไม่เป็นความจริงเลย เอาละ อย่าพูดเรื่องนี้อีกเลย ข้าจะขึ้นไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนแล้ว เหนียวตัวเหลือเกิน” 

พุดตัดบทด้วยท่าทางเพลีย ๆ บัวตองเลิกถามกวนใจเจ้านาย รีบรับคำ

“ข้าเจ้าจะไปเตรียมน้ำอุ่นให้ วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น เจ้านางโปรดรอสักครู่” 

หญิงรับใช้เบี่ยงตัวหลบ ให้นายหญิงได้เดินขึ้นบันไดไปชั้นบนของเรือนหลวงก่อน แล้วตัวเองจึงรีบสาวเท้าตามขึ้นไป

 
อดีตราชธิดาแห่งเมืองเวียงแถน นอนแช่ตัวอยู่ในอ่างอาบน้ำอุ่นที่บัวตองเตรียมไว้ให้ สาวรับใช้คู่ใจจุดเทียนหอมแทนการเปิดไฟสว่าง กลิ่นหอมอ่อน ๆ กรุ่นกำจายไปทั่วห้องน้ำหรู ที่ออกแบบตกแต่งสุดคลาสสิก เจ้านางสาวลูบไล้ฟองครีมเนื้อเนียนไปตามเรือนร่างอย่างใจลอย แสงนวลจากลำเทียนส่องสว่างวับแวม ชวนให้หวนระลึกถึงบรรยากาศในหอหลวง และอดีตชาติของเหล่าพระโอรสพระธิดา แห่งองค์เจ้าฟ้ามณเฑียรทองเมื่อครั้งกระโน้น

 
“มาหลบอยู่ที่นี่อีกแล้ว เจ้าพ่อรับสั่งให้หาแน่ะ”

แสงนวลคืนพระจันทร์เต็มดวงส่องสว่าง ข่มแสงจากเทียนเล่มน้อยที่ปักอยู่ในเชิงเทียนข้างกายของเจ้าชายผู้ทุกข์ระทม เจ้านางสาวขึ้นมาตามหาอนุชาบนระเบียงห้องพระของอาคารทางด้านขวามือของหอหลวง ซึ่งชั้นบนทั้งชั้นนี้มีอยู่แค่สองห้องเท่านั้น ห้องหนึ่งคือห้องพระที่มีประตูเปิดทะลุมาหาห้องบูชาบรรพบุรุษของตระกูลได้

เมื่อเห็นหนุ่มน้อยกำลังเหม่อมองเข้าไปยังดงไม้มืดมิดข้างล่าง ราวกับภายใต้เงามืดนั้นมีสิ่งใดให้ทัศนา จึงเข้ามานั่งลงข้าง ๆ โอบอังสะปลอบโยนผู้ที่นั่งเศร้าสร้อยอยู่เพียงลำพัง 

“ชายไม่อยากลงไป พี่นางบอกเจ้าพ่อว่าชายไม่สบาย ปวดหัว เข้านอนแล้วได้หรือไม่” 

เจ้าชายผู้ตกอยู่ในอารมณ์เศร้าไม่หันมามองพี่นางสาว บอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายปนหงุดหงิด 

“งอแงใหญ่แล้วน้องพี่ เจ้าพ่อแค่อยากถามเรื่องการเรียนที่โน่นของเจ้าเท่านั้นเอง”

“หลังจากนั้นก็จะหาเรื่องดุด่าชายที่แอบไปหัดเล่นดนตรีกับปิมปาอีกตามเคย พี่นางว่าใช่หรือไม่”

หันมาย้อนถามเสียงขุ่น

“เจ้าพูดไปก่อนอีกแล้ว เรื่องนั้นชายน้อยกับเจ้าพ่อได้คุยกันจนจบแล้วมิใช่หรือ”

พูดปลอบน้องพลางลูบเศียรได้รูป ปกคลุมด้วยเส้นเกศาละเอียดสีน้ำตาลอ่อนอย่างรักใคร่ เจ้าชายฟ้าคุ้มเป็นอนุชาต่างอุทรที่สนิทสนมกันมากที่สุด เพราะตนเองเคยได้ช่วยเจ้าแม่จันทร์หอม ผู้เป็นพระมารดาของเจ้าชาย เลี้ยงดูป้อนข้าวป้อนน้ำมาตั้งแต่ยังเล็ก น้องคนนี้มีรูปร่างที่ค่อนข้างผอม ฉวีขาวบางใสเหมือนอิสตรี ปรางแดงเหมือนสีลูกท้อ เช่นเดียวกับริมโอษฐ์ หลังพระเนตรชั้นเดียวเหมือนคนจีนน่าเอ็นดูนัก

ขณะนี้เจ้านางคำหยาดฟ้ามีชันษาย่างเข้ายี่สิบปี ส่วนเจ้าชายฟ้าคุ้มชันษาสิบแปดปี เจ้าชายองค์นี้ร่วมอุทรเดียวกันกับเจ้าชายโหลงขนานซึ่งแก่กว่าไปหนึ่งปี เจ้าชายทั้งสองมีขนิษฐาอีกสององค์คือ เจ้านางสุวรรณา ชันษาสิบสี่ปี และเจ้านางเกียงภา ชันษาสิบเอ็ดปี

เจ้าแม่อุษาประไพชายาคนที่สองของเจ้าฟ้า มีโอรสนามว่าเจ้าชายมหาคำคืน ชันษาสิบเก้าปีเท่ากับเจ้าชายโหลงขนาน แต่แก่เดือนกว่าไปหกเดือน และมีธิดาอีกสององค์ ได้แก่เจ้านางทิพวันนา ชันษาสิบสี่ปี กับเจ้านางบัวซอนที่มีชันษาสิบปีพอดี 

ส่วนเจ้าแม่อุข่าชายาองค์สุดท้ายนั้น มีแต่โอรสสามองค์ คือ เจ้าชายจุมมณี เจ้าชายสิงหาและเจ้าชายยอดขุน ซึ่งทั้งหมดยังเยาว์อยู่มาก ชันษาน้อยกว่าสิบปีทุกพระองค์

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย นิยายออนไลน์
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่