แสงระวี….บทที่ 25 (รีไรท์)

กระทู้สนทนา

.

                 “วีถ่ายรูปกันตรงนี้วิวสวยมาก” หนึ่งชวนเธอถ่ายรูปคู่กัน มีผู้คนมากมายมาเที่ยวที่นี่ เดินเข้าออกสวนกันไม่ขาดระยะ ต่อคิวจะใช้สถานที่ตรงนี้เพราะวิวทิวทัศน์สวยมาก อากาศเย็นสบายกำลังดี ไม่หนาวมาก

                  “เค ! หนึ่งถ่ายรูปให้วีก่อน เดี๋ยววีถ่ายรูปหนึ่งให้นะ” แสงระวียื่นโทรศัพท์ตัวเองให้หนึ่งถ่ายรูปให้ หนึ่งมองหน้าเล็กน้อยก่อนจะรับโทรศัพท์จากตนเองไป

                  เขาหมายถึงถ่ายรูปคู่กันต่างหาก ไม่ใช่แบบนี้ ทำไมเธอจะไม่รู้ เธอทำเป็นไม่สนใจ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เขากดถ่ายรูปให้เธอได้หลายรูปมากจนกว่าเธอจะพอใจ และเปลี่ยนให้หนึ่งไปยืนตรงนั้นและเธอเป็นคนกดกล้องถ่ายรูปให้เขาอยู่อย่างนั้นเสมอ

                  “อยากถ่ายรูปคู่กันจังเลย ชาตินี้จะมีรูปคู่กับเขาบ้างมั้ยเนี่ย” หนึ่งพูดประชดลอย ๆ พูดและหันหน้าไปมองรอบ ๆ ตัวไม่หันมองหน้าเธอ ไม่สนใจว่าเธอจะจ้องหน้าเบะปากเหลือบตามองด้านบนให้

                  แสงระวีมองหน้าเขาเบะปากนิดหน่อยและทำเป็นไม่สนใจกับสิ่งที่เขาพูด “หนึ่งถ่ายรูปตรงนี้ให้วีหน่อย เห็นพระมั้ย เอาแบบไม่ต้องเต็มตัวก็ได้ แต่เห็นฉากข้างหลัง” แสงระวีสั่งให้ถ่ายภาพให้ เขาเป็นช่างภาพที่ดีของตนเองเสมอมา “ไหนดูหน่อยสวยมั้ย โอเค ! มาวีถ่ายรูปให้หนึ่งบ้าง” หลายครั้งที่เขาพูดขึ้นมาลอย ๆ เรื่องรูปคู่แสงระวีก็ทำเป็นไม่ได้ยินและไม่สนใจ การกลับมาคบกันครั้งนี้เขาจะไม่มีตัวตนในสังคมของตนเองอีก

                 “ไม่อ่ะ ! ถ้าถ่ายรูปคนเดียว” เขาปฏิเสธ ทำเป็นไม่สนใจ ไม่อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ เหมือนไม่สำคัญ แสงระวีถอนหายใจทำไมดื้อขนาดนี้ นี่ผู้ใหญ่นะไม่ใช่เด็ก ทุกอย่างที่เขาทำทั้งหมดทำไมแสงระวีจะไม่รู้ ทำไมจะดูไม่ออก จะบีบบังคับให้ถ่ายรูปคู่กันให้ได้ คิดว่าจะใจอ่อนง่าย ๆ หรือไร ไม่อยากเก็บภาพไว้ก็ตามใจ ค่อนขอดให้แฟนหนุ่ม

                 “ก็แล้วแต่นะ ตามใจ ปะเราไปตรงนั้นกันดีกว่า” แสงระวีจูงมือเขาเดินไป ซึ่งเขาก็ไม่ยอมเดินตามรั้งตัวเองเอาไว้ “อะไรอีกอ่ะ จะไปต่อมั้ยเนี่ย จะไหว้พระมั้ย” แสงระวีหันมาทำหน้าบึ้ง เขาที่ไม่ยอมเดินตาม “อะไรอีกอ่ะ” ถามด้วยความรำคาญนัก

                  “ก็ยังไม่ได้ถ่ายรูปตรงนี้เลย” หนึ่งพูด คงเห็นว่าเธอแสดงออกทางสีหน้าว่ารำคาญ เธอเริ่มจะรำคาญแล้ว

                  “ก็เมื่อกี้จะทำให้ก็ไม่ยอม” แสงระวีทำหน้าหงุดหงิดมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ หายใจเข้าลึก ๆ ไม่งอนไม่ทะเลาะกัน ไม่โวยวาย มาเที่ยวต้องมีความสุข พยายามท่องในใจ เขาคิดอะไรของเขาอยู่ ก็เมื่อครู่ตนเองจะถ่ายรูปให้ก็ไม่ยอม จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพให้เขาอีกครั้ง พยายามระงับอารมณ์ไว้ให้มากที่สุด

                 “ก็อยากถ่ายรูปคู่กันอ่ะ ดูคนอื่นดิเค้ายังถ่ายคู่กันเลย รูปเดียวนะ ๆ นะตัวเอง” หนึ่งหน้างออ้อนเธออย่างกับเด็ก เธอเริ่มโมโหพอเห็นท่าทางของหนึ่งตอนนี้เธอก็อยากจะหัวเราะออกมา แต่ก็ยังเก็บอาการไว้ ไม่ใจอ่อน ไม่ยอมเด็ดขาด หนึ่งเริ่มจะเอาใหญ่แล้ว เมื่อก่อนก็ยังทำตามที่ตกลงกันไว้ หลัง ๆ ชอบงอแงอยากถ่ายรูปคู่ด้วยทุกที และทุกครั้งก็ไม่เคยสำเร็จ ครั้งนี้ด้วยเธอจะใจอ่อนไม่ได้

                  “ไม่ !” ปฏิเสธโดยเด็ดขาด

                  “รูปเดียว ! สัญญาไม่ลงเฟซบุ๊ก ไม่ลงไลน์ ไม่ลงไอจี แค่ถ่ายรูปเก็บไว้เฉย ๆ” หนึ่งทำหน้าอ้อนวอนให้เธอเห็นใจ ชูสามนิ้วเพื่อเป็นการยืนยันคำสัญญาของตน ทำตาละห้อยให้สงสารเห็นใจ ไม่ยอมเดินเข้าไปข้างใน ทำให้เธอลังเลอยู่มาก ถึงอากาศตรงนี้มันจะเย็นแต่มันก็แดด “นะ ๆ ตัวเอง เค้าสัญญาไม่ลงอะไรเลย แค่ถ่ายรูปเก็บไว้ในโทรศัพท์เฉย ๆ เอาไว้ดูตอนกลับกรุงเทพอ่ะ”

                  “ทำไมต้องเป็นคนแบบนี้ เคยตกลงกันแล้วหนิ อย่าให้เห็นนะว่าเอาลงโซเชียลอ่ะ วีโกรธจริงด้วย ! อย่าหาว่าไม่เตือน” ชี้หน้าทำขู่ไว้ก่อน จากนั้นเธอก็เข้าไปยืนถ่ายรูปคู่กับเขา คนโดนขู่มองด้วยสายตาเศร้านิด ๆ เธอสังเกตได้ ก็สมควรแล้วหนิ ! ก่อนจะหมุนหามุมที่ดีที่สุด

                  “ค้าบผม โหดแท้” ผู้คนเดินผ่านไปมามากมาย หรือว่าเธอจะกรุณาขอให้คนอื่นถ่ายรูปให้ดี เมื่อคิดแบบนั้นสุดท้ายก็ตัดสินใจขอให้นักท่องเที่ยวคนอื่นถ่ายรูปให้พวกเธอ จากขอแค่จะถ่ายเพียงรูปเดียว กลับกลายเป็นว่าได้หลายรูปโดยไม่รู้ตัว

                  เมื่อถ่ายรูปเสร็จหนึ่งอมยิ้ม ยอมเดินเข้าไปไหว้พระด้วยกัน กอดคอเธอเดินเข้าไป น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก หลังจากนั้นกลับกลายเป็นเธอเองที่งอนหลังถ่ายรูปเสร็จ เธอไม่ยอมเดินตามไปหนึ่งต้องลากเธอให้เดินเข้าไปด้วย

                นี่เป็นครั้งแรกที่แสงระวียอมถ่ายรูปคู่กับหนึ่งตั้งแต่กลับมาคบกันอีกครั้ง ที่ผ่านมาไปเที่ยวด้วยกันไม่เคยถ่ายรูปคู่กันเลย ไม่ยอมให้คนอื่นรู้ว่าไปไหนมาไหนด้วยกัน ไม่คิดจะเปิดตัวหนึ่งเป็นรอบที่สอง หนึ่งอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ทางใครทางมัน

                  ตอนเช้าบรรยากาศที่นี่ดีมาก อากาศปลอดโปร่งโล่งสบาย สูดลมหายใจเข้าได้เต็มปอด มีหมอกลงเยอะแทบไม่เห็นแสงพระอาทิตย์เลย ช่วงเช้า ๆ ต้องใส่เสื้อคลุมหนา ๆ หน่อย บรรยากาศหนาว ๆ เสื้อคลุมหนา ๆ กาแฟร้อน ๆ ใส่หมวกไหมพรมมันช่างเข้ากันเสียจริง

                  หนึ่งแอบถ่ายรูปของเธอทีเผลอตลอด และก็ไม่ให้ตั้งท่าตั้งตัวอะไรเลย จะแกล้งกันไปถึงไหน ตอนเย็นมีหมูกระทะแสนอร่อยอีกรอบ เป็นทริปที่น่าจดจำที่สุด และมีความสุขที่สุด เธอคิดว่าจะหวนกับมาที่นี่อีกทุก ๆ ปี จะมากับคนนี้คนเดิมถ้าทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จะว่าไปแล้วเธอมีความสุขทุกครั้งที่ไปเที่ยวด้วยกัน ถึงจะมีข้อแม้บ้างก็ตาม

                  เธอมีความสุขที่สุด สุขที่เป็นแบบนี้ สุขที่แอบคุยกันทั้งที่เคยเปิดเผยมาก่อน สุขที่แอบรักทั้งที่เมื่อก่อนไม่ต้องแอบ บางครั้งเธอก็ตลกตัวเอง หัวเราะตัวเอง ทำไมต้องแอบ กลัวอะไร ! ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ได้คำตอบเหมือนเดิม เป็นแบบนี้มันก็ดีอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ออกเที่ยวหนึ่งจะเป็นคนขับรถมารับเธอเองโดยที่เธอไม่ต้องนั่งรถไปหาเหมือนเมื่อก่อนเลย หนึ่งทำตัวดีขึ้นมาก ดีกว่าเมื่อก่อน หนึ่งคนนั้นไม่มีอีกแล้ว

                  อยากจะยอมรับในตัวเขาอีกครั้ง ทว่าใจที่ยังเจ็บก็ยังต่อต้านเหลือเกิน เพราะคนมันเคยทำไปแล้ว อย่างไรเสียโอกาสที่จะทำอีกครั้งก็มีมากมาย แต่ ตอนนี้เขาทำตัวดีขึ้นมาก อบอุ่น อ่อนโยนเหมือนเมื่อคราวคบกันตอนสมัยที่ยังเรียนมัธยม

                  ภายในห้องพักเล็ก ๆ เป็นบ้านไม้ มีห้องนอนและห้องน้ำในตัว จะกลางเต็นท์นอนก็ได้แต่พวกเธอไม่นอน คืนแรกเธอนอนในห้อง คืนนี้แหละเธอจะกางเต็นท์นอน ชั้นสองของห้องพักเป็นระเบียง ไว้นั่งชมวิวทานหมูกระทะพร้อมรับกับอากาศที่เย็นสบาย เปลวไฟในเตาให้ไออุ่นพอได้

                  “หนึ่งรอบหน้าเราไปเขาใหญ่กันมั้ย” แสงระวีกำลังย่างหมูสไลด์ติดมัน และ หมูสามชั้นอยู่ ใช้ตะเกียบพลิกไปพลิกมาเกรงว่าหมูจะไหม้ก่อนสุก “ไปกลางเต็นท์นอน เห็นพี่ที่ทำงานเค้าไปกัน ไปวังน้ำเขียวอ่ะ”

                  “ไปไหนก็ได้ แต่ต้องมีค่าจ้างด้วย” หนึ่งพูดพลางใช้มือจับตะเกียบคีบหมูสามชั้นจากกระทะมาใส่จานของตนเอง หมูสามชั้นกำลังเดือดหอมกรุ่นน่าทานมากจิ้มกับน้ำจิ้มกินอย่างน่าอร่อย

                  “ค่าจ้างอะไรอี๊ก” แสงระวีพูดเสียงสูง “ค่าจองที่พักเค้านะเป็นคนจอง นี่ ! เงินเดือนออกโอนมาให้หมดเลยนะ ให้ว่อง ๆ อย่าให้ต้องพูด” แสงระวีมองค้อนให้

                  หนึ่งหัวเราะ “ไม่น่าพูดถึงเลย อ่ะกินก่อน” เขาคีบเนื้อย่างที่สุกแล้วหอมกรุ่นจิ้มน้ำจิ้มยื่นมาป้อนให้เธอ

                  “ไม่” ปฏิเสธไป

                  “อ้าปาก ! อ้า.. จะกินไม่กิน” ออกคำสั่งเธอไปอีก

                  แสงระวีจำใจต้องยอมทำตาม ไม่อยากให้ทะเลาะหรืองอนกัน อายคนที่พักใกล้ ๆ กันด้วย “ค่าจ้างอะไรบอกมา”

                  “ก็ค่าจ้างให้พาไปไหนก็ได้ แต่ต้องยอมถ่ายรูปคู่กัน โอเคปะล๊า ! ” หนึ่งพูดจบและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนว่าเธอกำลังจ้องมองด้วยสายตาพิฆาตอยู่ “ไม่ลงหรอกน่า แค่ถ่ายรูปด้วยกันเฉย ๆ ไปเที่ยวด้วยกันก็ต้องถ่ายรูปด้วยกันดิ จริงมั้ยล่ะ” หนึ่งจ้องหน้าเธอคืนบ้างหลังพูดจบประโยค และ เงียบไป ตั้งหน้าตั้งตาย่างเนื้อหมูต่อ เหมือนรอฟังว่าเธอจะต่อว่าอะไรหรือเปล่า

                 เธอไม่ได้ตอบเขาแต่อย่างใด ต่างคนต่างเงียบ ปล่อยให้เวลาเดินไปเรื่อย ๆ ดูเหมือนท้องเริ่มจะอิ่ม ทานต่อไม่ไหวเธอจึงนั่งเล่นโทรศัพท์ ปล่อยให้เขาทานคนเดียว เธอนั่งทยอยลงรูปเรื่อย ๆ คอยเช็คอินว่ามีใครเข้ามาสงสัยอะไรหรือเปล่า

                  เป็นอย่างที่คิดมีคนแอบสงสัยในการมาเที่ยวของเธอครั้งนี้ อ่านข้อความไปหัวเราะไป มีเพื่อน ๆ มาคอมเม้นใต้รูปที่เธอนำมาลงเฟซบุ๊กอย่างตลก มีคนเข้ามาเม้นแซวบ้าง เธออ่านไปหัวเราะคนเดียวไป ไม่สนใจสายตาคู่หนึ่งที่กำลังจ้องอยู่

                  “หัวเราะอะไร อ่านอะไรอ่ะใครทักมา ผู้ชายทักมาเหรอไหนเอามาดูซิ !” หนึ่งมองเธอ จ้องหน้าเธอไม่ยิ้มไม่หัวเราะด้วย “เอาโทรศัพท์มานี่ใครทักมา” หนึ่งขอโทรศัพท์จากเธอ ยื่นมือมารอรับจะเอาให้ได้

                  แสงระวีไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก รู้สึกว่ามันจะมากเกินไปแล้วที่ทำแบบนี้ ตอนนี้มันไม่ใช่เมื่อก่อนที่เขาจะเที่ยวหึงหวงออกคำสั่งอย่างไรก็ได้ มันคนละเวลาและความรู้สึกกันแล้ว ปรายตามองคนตรงหน้าทว่าก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร

                  “ไม่ให้ ! หัวเราะน้องวามันถามว่าเค้าไปกับใคร” แสงระวีไม่ยอมส่งมือถือให้หนึ่ง แต่ยอมบอกว่าหัวเราะเรื่องอะไร “สงสัยเอาไปให้แม่ดูแล้วมั่ง”

                  “ไม่เชื่อไหนเอามาดูดิ๊ วี ! ถ้าเป็นน้องวาจริงก็เอามาให้หนึ่งดู” สุดท้ายเธอก็ต้องส่งโทรศัพท์ให้ด้วยความจำใจ หนึ่งเขี่ยหน้าจอโทรศัพท์เลื่อนอ่านข้อความ ไม่ใช่แค่นั้นเธอรู้สึกว่าหนึ่งจะดูที่แชทด้วย ไม่เป็นไรอยู่แล้ว เธอสบายใจเพราะไม่เคยคิดจะนอกใจแม้แต่นาทีเดียว

                  เวลาล่วงเลยมาเกือบสามทุ่ม ทั้งคู่เริ่มอิ่มมากแล้วจึงพากันเรียกให้พนักงานมาเก็บเตาให้เรียบร้อย พวกเธอจะเข้าไปพักผ่อน เพลียมาทั้งวัน หนึ่งไม่อยากนอนในห้องพักอยากนอนเต็นท์แสงระวีตามใจ ตนก็อยากนอนในเต็นท์เหมือนกัน มาเที่ยวแบบนี้นอนในเต็นท์มันจะได้บรรยากาศมากกว่านอนบนเตียงในห้องพัก

                  “วีย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพได้มั้ย” หนึ่งนอนตะแคงหันหน้ามาถามเธอ หนุนแขนตัวเองอีกข้าง ส่วนอีกข้างกอดเธอเอาไว้ ส่วนตัวเธอเองนอนหงายเล่นโทรศัพท์อยู่

                  “จะขอมากไปแล้วนะหนึ่ง เงินเดือนวีแค่นี้ไม่พอใช้หรอก ไหนจะค่าห้อง วีต้องส่งรายเดือนให้แม่ด้วยนะไม่ใช่ไม่ส่ง ค่าเดินทางอีก เงินเดือนวีแค่นี้ไม่เหลือหรอก ค่าห้องเช่าก็แพงจะให้วีอยู่ห้องเปล่า ๆ ที่ไม่มีอะไรก่อนเหรอ ขนาดไม่มีอะไรก็ยังแพง” ถอนหายใจพร้อมบ่นไปชุดใหญ่ เธอไม่ได้คิดว่าจะไปอยู่กับเขาด้วยซ้ำ มือก็ยังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อย สายตาก็ยังจับจ้องไปที่หน้าจอไม่สนใจเขา “แค่ถ่ายรูปคู่ด้วยก็มากพอแล้วนะ”

                  “มากอะไรผัวเมียคนอื่นเค้าก็ถ่ายรูปคู่กันเยอะแยะ” เหมือนหนึ่งไม่ค่อยพอใจกับคำพูดประโยคสุดท้ายของเธอ แต่มือก็ยังกอดเธอไว้ไม่ยอมปล่อย แถมยังยกขาขึ้นมาพาดก่ายลำตัวของเธออีก

                  “คิดว่าหนักมั้ยเนี่ย ! “ ชี้ไปที่ขาของเขาขณะนี้มันอยู่บนลำตัวของเธอ “ก็นั่นคนอื่นแต่นี่วี ก็เคยตกลงกันแล้ว ลืมไปแล้วเหรอ”  ถอนหายใจ อยากทำตามใจเขา อยากทำตามใจตัวเองเหมือนกัน แต่มีความรู้สึกบางอย่างมันสั่งไม่ให้ทำแบบนั้น

                  “ไม่ลืมหรอกจำได้ตลอดแหละ แล้วไอ้หอพักน่ะถ้าเกิดย้ายจะเช่าอีกทำไม ห้องก็มีจะเช่าทำไมให้เปลืองตังค์ ก็เข้าไปอยู่ด้วยกัน” เขาหมายถึงห้องตัวเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่