เสียงที่พ่อแม่ปิดหูไม่รับฟัง…

สวัสดี ฉันเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ตอนนี้ตอนนี้20ต้นๆแล้ว แม้แต่เล่นน้ำสงกรานต์กับเพื่อนแถวบ้านก็ยังไม่เคยเลยนะ พูดง่ายๆก็คือบรรลุนิติภาวะตามกฎหมายแล้ว แต่ฉันก็ยังคงถูกควบคุมตีกรอบ บังคับจิตใจ และต้องกล้ำกลืนฝืนทนให้ผ่านพ้นไปในแต่วัน .. ฉันอยากถ่ายทอดความรู้สึกและเรื่องราวคร่าวๆที่เกิดขึ้นในทุกคนฟัง 
     ฉันจำเรื่องราวในตอนเด็กไม่ค่อยได้มากนัก อาจเป็นเพราะมีแต่ความทรงจำแย่ๆ และในที่สุดฉันก็ลืมมันจนหมด ยกเว้นภาพบางภาพที่บาดตาบาดใจ ฉันมีแม่ที่เคร่งระเบียบมาก ฉันได้ค่าขนมวันละ 10 บาทไปโรงเรียนเอกชน ถูกบังคับให้ต้องเรียนให้ได้เกรดสวยๆ และฉันถูกด่าแรงมากว่ายิ่งเรียนยิ่งโง่ เมื่อเกรดฉันตกจาก 3.98 เป็น 3.97 ตอนฉันอยู่ม.1 แม่บอกว่าถ้ายิ่งโตยิ่งเหมือนควายแบบนี้ก็อย่าได้เลยโทรศัพท์ .. ใช่แล้ว ตอนนั้น BB กำลังดัง และฉันไม่มีโทรศัพเป็นของตัวเองแม้แต่เครื่องปุ่มกด ฉันขอเขาพวกทั้งๆที่ปกติไม่เคยขออะไรเลยแม้แต่ค่าขนม ฉันนั่งร้องไห้น้ำตาตกสะอื้นเหมือนว่าชั้นทำผิดมหันต์มาก ร้องไห้ตลอดระยะทางโรงเรียนกลับบ้าน 
     ตั้งแต่เรียนประถม ฉันต้องตื่นมา ตี5 ครึ่ง ต้องออกมาล้างจาน และเช็ดโต๊ะก่อนไปโรงเรียนทุกวัน นี่คือกฎเหล็กที่ถ้าไม่ทำก็จะถูกตีด้วยกิ่งไม้ไผ่ที่แม่มักจะตัดมากำรวมกันไว้ใช้ตีฉันโดยเฉพาะ กลับมาจากโรงเรียนต้องกวาดบ้านถูกบ้านทุกวัน ทำการบ้าน หลังจากนั้นก็ต้องนอนก่อนสามทุ่มทุกวัน และในทุกเสาร์อาทิตย์ฉันต้องกรอกน้ำประมาณ 50-100ขวดแลเวแต่สัปดาห์ (ขวดลิตรครึ่ง) เพราะที่บ้านฉันรองน้ำฝนกิน พ่อฉันเป็นคนโบราณ ก็เลยต้องทำแบบนี้ และฉันรีดเสื้อผ้าอีกหงายสิบตัว ทั้งของตัวเองและของพ่อแม่ แม้กระทั่งเสื้อยืด ก็ต้องรีดทั้งหมด 
     ครั้งนึงที่แม่ใช้ฉันพับผ้าแต่ฉันลืมทำ แม่โกรธมาก ใช้กิ่งไผ่แห้งตีฉันไม่ยั้งจนหลังแตก ฉันเจ็บมาก เอาแขนป้องหัวป้องหน้าไว้ แต่แล้วกิ่งไผ่ก็แตกเป็นเส้นๆ แม่หวดฉันจนเบือดซิบและเศษไผ่บาดมือฉันเลือดออก และฉันร้องไห้ทำแผลเอง 
     แม่มักจะชอบซื้อขนมและของเล่นให้เด็กชายลูกเพื่อนแม่ และมักจะขนข้าวของ ของกิน ไปนั่งกินอยู่ร้านเสริมสวย พูดง่ายๆคืออวดรวย หน้าใหญ่มาก ให้จนที่บ้านแทบไม่มีกิน ซึ่งตรงกันข้ามเมื่อฉันทวงเงินแม่ 10 บาทเพื่อหยอดกระปุก แม่อายว่าฉันทวงเงินต่อหน้าแม่ค้าร้านมินิมาร์ท พอกลับมาบ้านแม่ด่าฉันอย่างหยาบคายและตีฉันด้วยกิ่งไผ่เหมือนเคย
     แม่ไม่ได้ทำงานหาเงินตั้งแต่ฉันอยู่ป.1 จึงมีพ่อคนเดียวที่ทำงาน แต่ฉันก็พอจะรู้ความได้ว่าฉันถูกใช้เป็นเครื่องมือหาเงินของแม่ ไม่ว่าจะเก็บเล็กเก็บน้อยขอเงินจากพ่อแล้วบอกว่าซื้อของให้ฉัน ก็ซื้อจริงบ้างแหละแต่ยอดราคาก็ไม่เท่าที่แม่เอาเงินมา ครั้งนึงไปร้านอาหารและแม่ก็พูดอวดคนอื่นว่าฉันร้องเพลงได้ และแม่ก็ยังคับให้ฉันขึ้นไปร้องเพลงที่ร้านอาหาร ฉันบอกแม่ว่าไม่อยากร้องเพลง แม่โกรธมาก รีบขึ้นรถและพ่อพ่อให้กลับบ้านทันที พอกลับถึงบ้านแม่ก็ใช้กิ่งไผ่ตีฉันรุนแรงเหมือนเดิม บอกว่าผิดมากที่อายไมรเข้าเรื่อง ทำกูอายขายขี้หน้า คำพูดหลายๆคำที่ฉันได้ยินมาตลอด ฉันไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลย...
     เหตุการณ์ทั้งหมดเรอลิ่มดีขึ้นเมื่อฉันขึ้นม.ปลายและย้ายโรงเรียนใหม่ ฉันโดนบังคับน้อยลง แต่ก็คาดหวังฉันมากขึ้นกว่าเดิม เป็นการกดดันที่ฉันรู้สึกได้ ฉันโดนบังคับให้เรียนสายวิทย์-คณิต เมื่อจบมาฉันต้องสอบเข้านิติศาสตร์ พวกเขาวางแผนตีกรอบฉัน เชิดฉันเหมือนเป็นหุ่นกระบอก จนตอนนี้ฉันเรียนจบมาแล้ว ปัญหาครอบครัวก็เริ่มหนักขึ้น พ่อเกลียดแม่และแม่เกลียดพ่อ แต่ด้วยคำโบราณว่าขาดพ่อเหมือถ่อหัก ขาดแม่เหมือนแพแตก พ่อเลทอกจะบังคับว่าต้องอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม แต่ด้วยความบาดหมางระหว่างคนสองคน ตอนนี้ฉันเป็นโรคซึมเศร้า ด้วยถ้อยคำเหล่านี้.ด่าฉันว่าอย่ามาทำนิสัยแบบนี้ กูเป็นแม่นะ ไม่ใช่แม่กู อย่ามาสอน กับเหตุการณ์ที่ฉันเริ่มอยากจะมีเสียงในบ้านบ้าง ฉันอยากอธิบายเหตุผลและบอกพวกเขาว่าตลอดมาตั้งแต่ม.6 ฉันเริ่มมีอาการซึมเศร้า จนฆ่าตัวตายหปแล้วหลายรอบก้วยการกินยาเกินขนาด ทั้งๆที่ฉันน็อคเข้าโรงพยาบาลถึง 2 รอบ แต่พอแม่ก็เฉยเหมือนว่าฉันป่วยธรรมดา พวกเขาไม่เคยถามไถ่อาการรู้ความรู้สึกของฉันว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งปัจจุบันนี้ พ่อฉันเริ่มเอาแต่ใจตัวเองตั้งตัวเองว่ากูใหญ่ที่สุดในบ้าน ถ้ากูสั่งทุกคนไม่ได้กูจะเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ยังไง พ่อฉันเริ่มใช้คำพูดแทงใจดำ เสียดแทง ด่าหยาบคาย ว่าฉันและแม่ไม่สนใจพ่อ ฉันและแม่ไม่ทำอะไรเลยวันๆเอาแต่นั่งนอนสบาย ซึ่งฉันฟังแล้วฉันก็ยิ่งท้อใจว่าที่ผ่านโดนบังคับให้ทำเพื่อพวกเขามาโดยตลอด ต้องทิ้งความฝันตัวเอง ความเป็นตัวของตัวเองฉันไม่หลือแล้ว ส่วนแม่ฉันไม่ยอมรับความจริงว่าทำไมครอบครัวแตกแยก และโทษว่าเพราะพ่อเปลี่ยนไป ส่วนพ่อก็โทษว่าที่ผ่านมาแม่ทำตัวแย่มาตลอด คิดแต่ว่าตัวเองไม่เคยทำผิดอะไร และพวกเขาห้ามฉันมีแฟนจนกว่าจะได้ทำงานการที่มั่นคง ซึ่งหมายถึงพวกเขาบังคับใหฉันสอบอัยการผู้พิพากษาให้ได้ก่อน ..

     ตอนนี้ความรู้สึกฉันพังมาก เหมือนฉันขาดความอบอุ่นและดิ้นรนมาตลอดชีวิตไม่เคยได้รับความรักความเข้าใจแบบที่ครอบครัวเพื่อนๆของฉันมี ได้แต่อิจฉาและบอกตัวเองว่ามันเป็นเวรกรรมของฉัน พ่อที่หัวโบราณและเชื่อมั่นในตัวเองสูงมากแทบไม่เคยฟังใครเลยนอกจากตัวเขาเอง แม่ที่เข้มงวดและพร่ำสอนให้ฉันต้องทำงานบ้านทุกอย่างงานหนักงานเบาที่ญาติผู้ใหญ่ที่เคนเห็นฉันทำงานถึงกลับร้องว่าทำไมฉันต้องทำงานหนักขนาดนี้ ทั้งๆที่แม่เองก็ไม่ทำมันด้วยซ้ำ แต่ฉันจะก้มหน้ารับกรรมให้หมดเพื่อวันนึงในอนาคตของฉันจะสดใสขึ้น แน่นอนฉันมีแฟนแล้ว (พ่อและแม่ไม่รู้) ฉันเล่อกไม่พูดถึงเรื่องนี้ให้ใครรู้เพราะมันจะไม่ก่อปัญหาให้ฉันเครียดอีก ซึ่งอย่างน้อยฉันก็โชคดีที่แฟนและครอบครัวของแฟนเข้าใจฉันและซัพพอร์ตฉัน ให้ความอบอุ่นฉันมาตลอด ทำให้ฉันคนนี้ คนที่ไม่เชื่อว่ารักมีอยู่จริง ไม่เชื่อว่าการมีครอบครัวเป็นสิ่งที่ดี ต้องเปลี่ยนความคิดและมองเห็นว่าครอบครัวแฟนฉับอบอุ่นมากขนาดไหน พวกเขาให้กำลังใจและอยู่ข้างๆฉันเสมอจนอาการโรคซึมเศร้าฉันดีขึ้น ฉันพยามหยุดกินยาแล้ว เพื่อลดค่าใช้จ่ายและฉันไม่พร้อมไปหาหมอต่อเนื่องจากเรียนจบป.ตรีแล้วฉันต้องกลับมาอยู่ย้าน และพ่อแม่ฉันไม่เชื่อว่าฉันเป็นโรคซึมเศร้า พวกเขาควไม่เข้าใจแม้ฉันจะบอกพวกเขาไปแล้วก็ตาม 
     การสอนลูก คือการด่า พ่อเชื่อว่าการด่าจะทำให้ลูกได้ดี ด่าแรงๆบ่นแล้วบ่นอีกด่าแล้วด่าอีก ใส่อารมณ์ตลาดใส่หน้า บางทีก็หบายคายจนฟังไม่ได้ ต้องร้องไห้ออกมา พ่อภูมิใจเขาไม่เคยตีฉันเลยตั้งแต่เกิดมา เขาแค่ด่า ทำไมฉันต้องเครียดด้วย ต่างกับแม่ที่เขื่อเชื่อรักวัวให้ผู้ชกรักลูกให้ตี แต่การตีและการสั่งสอนของเขาไม่มีแบบอย่างที่ดีให้เห็น อะไรที่ฉันทำไม่ถูกใจแม่ หรือบืมทำไป ก็จะถูกตีจนช้ำจนเขียว จนเลือด แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นหยิบถุงผิดขนาด หยิบชามผิดลายผิดขนาด ก็จะด่าหยาบคายว่าทำไมโง่แบบนี้ จะทำมาหา-อะไรได้ .. บางทีก็ชอบพูดว่าทำหมายนี้ พูดแบบนี้หมายควาย .."หมายควาย" ว่าไง นี่หรือคำพูดกับลูกที่ไม่รู้ประสา หยิบของผิดหรือพูดความเห็น อธิบายเหตุผล ก็จะด่าว่า "กูเป็นแม่มีงนะ นี่เป็นแม่กูหรอถึงมาสอนกู" ฉันฟังแล้วก็น้ำตาตกใน ..
     ตอนนี้ฉันได้แต่เฝ้าฝันว่าวันนึงถ้าฉันหมดหน้าที่ทางพ่อแม่ฉันแล้ว ฉันจะออกไปทำความฝันของฉัน เปิดร้านอาหารขายอาหารขายขนมแบบที่ฉันชอบ เพราะฉันขาดความรักความอบอุ่น ความสุขของตัวเอง ความสุขตามวัยที่ฉัยควรจะมีตั้งแต่เด็กๆ มันหายไป มันไม่เคยเกิดขึ้นเพราะการถูกตีกรอบจากพ่อแม่ คนที่ใครๆก็มองว่าเป็นคนที่รักและเข้าใจเรามากที่สุด ความจริงแล้วโลกมันโหดร้ายกว่านั้น คำพูดพวกนั้นมีจริงและไม่มีจริง เพราะพวกเขาชไม่เคยเช้าใจและไม่เคยฟังความคิดของฉันเลย ฉันมันก็แค่ คนไร้เสียง..

ฉันแค่อยากมาระบายอารมณ์และความรู้สึก อยากเล่าอุทาหรณ์ อยากให้ครอบครัวอื่นมีความสุขและเข้าใจลูกให้มากๆ ถึงแม้จะเป็นเด็ก แต่เขาก็เครียด เหนื่อย และมีความรู้สึก คำโบราณมันก็ดีอย่างเสียอย่าง คุณต้องปรับตัวให้ทันยุคสมัย ไม่ฉะนั้นครอบครัวอาจจะไม่เป็นครอบครัวแบบที่ฉันเป็นอยู่ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะพ่อกลัวเสียหน้าเสียภาพพจน์ที่สร้างสมมานาน ตอนนี้ฉันโตแล้ว ฉันไม่สนิทกับพ่อแม่เลย และฉันไม่เล่าไม่แสดงความรู้สึกให้พวกเขารู้ ฉันพยามปิดบังความเป็นส่วนตัวของฉันไม่อยากให้พวกเขาเข้ามายุ่ง เพราะอย่างน้อยฉันก็อยากมีโลกของฉัน ความสุขกับการคุยกับก้อนดินก้อนทราย

ก่อนจะจบกระทู้นี้ฉันอยากให้กำลังใจทุกคน คนที่ครอบครัวมีมีปัญหาคล้ายฉัน คุณไม่ได้เศร้าคนเดียวในโลก ยังมีฉันอยู่ที่ขาดความสุขความอบอุ่นในครอบครัวมาตลอด 20 กว่าปี แต่ฉันก็พยามสร้างกำลังใจให้ตัวเอง ถึงแม้ตอนแรกจะมืดมนหนทาง ฆ่าตัวตายและ ทำแล้วทำอีกแต่มันไม่ตาย บาปแล้วบาปอีก แต่ฉันแค่อยากจะหายไป เจอโลกอื่น อย่างน่อยก็ไม่ต้องลืมตานมาเจอกับความจริงแบบนี้ เพราะมันหนีมันทิ้งไปไหนไม่ได้ คำว่าพ่อแม่มันค้ำคออยู่ อย่างไรก็คงต้องอยู่ไปแบบนี้ จนกว่าที่ฉันจะหมดหน้าที่ตรงนี้และได้มีอิสระเป็นของตัวเองซักที ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่