หลังสงครามอ่าวสงบไม่กี่วันด้วยความพ่ายแพ้ของอิรัก ชนกลุ่มน้อยในประเทศ ได้แก่พวกชีอะห์และพวกเคิร์ดต่างลุกขึ้นมาต่อต้านซัดดัม เกิดเป็นเหตุการณ์ลุกฮือปี 1991
แม้รัฐบาลอิรักจะเพลี่ยงพล้ำในตอนแรกเนื่องจากยังเหนื่อยล้าในสงคราม แต่สุดท้ายก็พลิกกลับมาชนะ ทำให้ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ต้องอพยพหนี ถูกล่าล้างไปมากมาย
และนี่คือเรื่องราวของกลุ่มคนที่ชื่อว่า ชาวอาหรับบึง (Marsh Arabs) ซึ่งถูก “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” จากเหตุการณ์นี้…
ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำไทกริส - ยูเฟรติส ณ จุดที่จะออกไปยังอ่าวเปอร์เซียนั้น มีพื้นที่หนองบึงขนาดใหญ่เรียกว่าบึงกลาง (Central Marsh) ที่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง มีน้ำเยอะเป็นอย่างยิ่ง จนเวลาสัญจรต้องใช้เรือเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากบริเวณรอบๆ ที่เป็นทะเลทราย ณ ที่นี้มี "ชาวอาหรับบึง" (Marsh Arab) หรือที่เรียกว่าพวกมาดาน อาศัยอยู่มานับพันปี
ชาวอาหรับบึงมีวิถีชีวิตผูกพันกับสายน้ำ พวกเขาสร้างบ้านจากต้นกกอาศัยอยู่ใกล้ชิดแหล่งน้ำ เป็นสังคมการเกษตร ปลูกข้าว ธัญพืช เลี้ยงวัว แกะ ควาย (ไม่ได้อ่านผิดนะครับ มีควายเลี้ยงเพราะน้ำเยอะ) มีฤดูเก็บเกี่ยวตามการโคจรของดวงดาว
อารยธรรมของพวกเขาต่างกับชาวอาหรับอื่นๆ ในดินแดนทะเลทรายอย่างยิ่ง อาจเรียกได้ว่าคล้ายบ้านเรามากกว่าด้วยซ้ำ
บริเวณบึงกลางนี้ถูกใช้เป็นฐานของกลุ่มชีอะห์ที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านซัดดัมในการลุกฮือปี 1991 ...แน่นอนว่าพอชีอะห์แพ้ รัฐบาลอิรักก็เตรียมมาเช็คบิล และชาวอาหรับบึงพวกนี้ไม่โชคดีเท่าพวกเคิร์ดที่มีอเมริกาและชาติตะวันตกช่วยให้กลับมาตั้งตัวได้
...อย่างที่บอกในตอนต้นว่า นี่เป็นเรื่องของการสิ้นเผ่าพันธุ์...
ในตอนนั้นรัฐบาลอิรักใช้วิธีสูบน้ำออกจากพื้นที่บึงกลาง โดยอ้างว่าจะนำไปทำเกษตรกรรมและต้องการลดจำนวนยุง โดยพวกเขาสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำไทกริส แล้วระบายน้ำไปยังคลองแห่งเกียรติยศ (Glory Canal) นอกจากนี้ยังขุดคลองใหม่ชื่อ คลองแห่งความเจริญ (Prosperity Canal) เพื่อกันไม่ให้น้ำไปถึงพื้นที่บึงกลางได้
...จนปลายยุค 90 บริเวณหนองบึงของอิรักอันเคยอุดมสมบูรณ์ก็แห้งผาก…
ภาพแนบ: แผนที่แสดงส่วนบึงที่แห้งไป (สีชมพู)
การกระทำครั้งนี้ ส่งผลเสียแก่ระบบนิเวศน์อย่างมหาศาล ในปี 2000 โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ประเมินว่า พื้นที่บึงราว 90% ได้หายไป ทำให้พื้นที่กว่า 19,000 ตารางกิโลเมตรกลายเป็นทะเลทราย ดินชุ่มน้ำกลายเป็นดินเค็ม เพราะเมื่อแม่น้ำไม่ไหลลงทะเล น้ำทะเลก็แทรกกลับขึ้นมา ส่งผลเสียให้ทางน้ำอื่นๆ สัตว์ที่เคยอาศัยพากันอพยพออกหมด พวกที่ไม่หนีก็ตาย และพืชพิเศษรวมทั้งกกบางชนิดถึงกับสูญพันธุ์
นอกจากนั้นยังมีการใช้กำลังขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่อย่างรุนแรง มีชาวมาดานหลายพันคนถูกฆ่า หลายคนต้องละทิ้งธรรมเนียมปฏิบัติของชนเผ่าเพื่อเอาชีวิตรอด

เรื่องเศร้าไปกว่านั้นคือ สหประชาชาติไม่สามารถลงโทษหรือเอาผิดทางกฎหมายตรงๆ กับอิรักในเรื่องการสูบน้ำได้ เพราะไม่มีบัญญัติเอาไว้ มีแต่ข้อกฎหมายใกล้เคียงอย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่ทำลายวิถีชีวิตของเผ่าหนึ่ง และกฎการศึกที่ห้ามทำร้ายฝ่ายตรงข้ามนอกจากเป็นกำลังทหารเท่านั้น สุดท้ายอิรักก็ไม่โดนอะไรเพิ่มเติมนอกจากการคว่ำบาตรตั้งแต่ตอนสงครามอ่าว
ประเมินกันว่า ในปี 2003 ชาวมาดานที่เคยมีจำนวนครึ่งล้านในอิรักนั้นเหลือเพียงสองหมื่น และมีเพียง 1,600 คนที่ยังคงวิถีชีวิตแบบเดิมได้ ซึ่งในปีเดียวกันนี้เองที่สหรัฐฯ เข้ามาทำศึกในอิรัก ซึ่งหลังวางระบบการปกครองใหม่ให้ประเทศ สหรัฐฯ ก็สั่งรื้อถอนที่กั้นทางน้ำออกไป ทำให้บึงกลางและส่วนอื่นๆ ที่เคยโดนสูบน้ำไปค่อยๆ กลับมามีโอกาสชุ่มชื่นได้อีกหน
แม้ช่วงแรกนั้นการฟื้นตัวของพื้นที่จะช้า แต่พอถึงปี 2004 ก็มีแหล่งน้ำปรากฏขึ้น แถมยังมีน้ำท่วมทางตอนใต้ของพื้นที่อีกด้วย พืชบางส่วนเริ่มงอกงาม ปลาและนกกลับมาอีกครั้ง และในปี 2008 พื้นที่บึงราว 75% ก็กลับคืนความอุดมสมบูรณ์
ถึงตัวเลขจะดูเยอะ แต่พื้นที่บึงขณะนั้นเหลือแค่ 58% จากของเดิมก่อนที่จะถูกสูบน้ำไป และในอนาคตอาจเหลือเพียง 50% เพราะตุรกีและอิหร่านสร้างเขื่อนในประเทศตัวเอง แถมน้ำที่กลับคืนมายังไม่สะอาดเท่าเก่า ทำให้การเลี้ยงปศุสัตว์หรือตกปลาที่เป็นเศรษฐกิจหลักในแถบนั้นได้รับผลกระทบ
ซ้ำร้าย พวกชาวอาหรับบึงยังได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน บางครั้งน้ำก็ร้อนเกินสำหรับสัตว์ บางหนก็เกิดภัยแล้ง ทำให้เวลาน้ำกลับมาก็กลายเป็นน้ำเค็มไปเสียอีก วัวควายจึงผลิตน้ำนมออกมาได้ไม่ดี เรียกว่าพอหมดภัยทางตรง ก็มาเจอภัยทางอ้อม จนผู้คนบริเวณนั้นจำนวนไม่น้อยถามตัวเองว่า จะย้ายไปใช้ชีวิตแบบอื่น หรือจะอยู่เพื่อสืบทอดวิถีชีวิตแบบที่คงอยู่มายาวนานต่อไปดี?
...นั่นเป็นคำถามที่ตอนนี้คงมีแต่พวกเขาเองที่ตอบได้…

อนึ่งชาวเคิร์ดเป็นชนกลุ่มน้อยในตะวันออกกลาง มีราว 30 ล้านคน หากไม่มีประเทศของตนเอง พวกเขาแตกเป็นหลายส่วนและถูกกดขี่อย่างหนัก แต่การถูกกดขี่เคี่ยวกรำนั้นกลับทำให้พวกเขากลายเป็นนักรบที่เก่งกาจอย่างยิ่ง
ชาวเคิร์ดมีส่วนร่วมในสงครามเหล่านี้ทั้งหมดในฐานะชนกลุ่มน้อยที่ไม่รวยแต่รบเก่ง พอมีคนมาติดอาวุธให้เลยมักกลายเป็นไพ่โจ๊กเกอร์ที่เปลี่ยนผลชี้ขาดของสงคราม
อย่างไรก็ตามศัตรูอันดับหนึ่งของชาวเคิร์ดคือเผด็จการซัดดัม ฮุสเซนนั้นก็โหดมาก โหดโคตรๆ ใครเคยอ่านพยัคฆ์ทมิฬสิ้นชาติ หรือเชือดเช็ดเชเชน ผมบอกได้ว่าไอ้นี่ก็โหดไม่แพ้กัน หรือเผลอๆ โหดกว่า ดังนั้นการต่อสู้ของชาวเคิร์ดมันจึงเป็นเรื่องที่หลอนและดุเดือดมากๆ
:: ::: :::
สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตามเพจ
https://www.facebook.com/pongsorn.bhumiwat/
กรุ๊ปประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ
https://www.facebook.com/groups/thewildchronicles/
กรุ๊ปท่องเที่ยว เที่ยวโหดเหมือนโกรธบ้าน
https://www.facebook.com/groups/wildchroniclestravel/
Line Square:
https://line.me/ti/g2/8pIcVHp3cc6-jyQJdzIFrg
และ youtube:
https://youtube.com/user/Apotalai
ชาวอาหรับบึง กับการสูบน้ำล้างเผ่าพันธุ์
แม้รัฐบาลอิรักจะเพลี่ยงพล้ำในตอนแรกเนื่องจากยังเหนื่อยล้าในสงคราม แต่สุดท้ายก็พลิกกลับมาชนะ ทำให้ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ต้องอพยพหนี ถูกล่าล้างไปมากมาย
และนี่คือเรื่องราวของกลุ่มคนที่ชื่อว่า ชาวอาหรับบึง (Marsh Arabs) ซึ่งถูก “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” จากเหตุการณ์นี้…
ในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำไทกริส - ยูเฟรติส ณ จุดที่จะออกไปยังอ่าวเปอร์เซียนั้น มีพื้นที่หนองบึงขนาดใหญ่เรียกว่าบึงกลาง (Central Marsh) ที่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง มีน้ำเยอะเป็นอย่างยิ่ง จนเวลาสัญจรต้องใช้เรือเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากบริเวณรอบๆ ที่เป็นทะเลทราย ณ ที่นี้มี "ชาวอาหรับบึง" (Marsh Arab) หรือที่เรียกว่าพวกมาดาน อาศัยอยู่มานับพันปี
ชาวอาหรับบึงมีวิถีชีวิตผูกพันกับสายน้ำ พวกเขาสร้างบ้านจากต้นกกอาศัยอยู่ใกล้ชิดแหล่งน้ำ เป็นสังคมการเกษตร ปลูกข้าว ธัญพืช เลี้ยงวัว แกะ ควาย (ไม่ได้อ่านผิดนะครับ มีควายเลี้ยงเพราะน้ำเยอะ) มีฤดูเก็บเกี่ยวตามการโคจรของดวงดาว
อารยธรรมของพวกเขาต่างกับชาวอาหรับอื่นๆ ในดินแดนทะเลทรายอย่างยิ่ง อาจเรียกได้ว่าคล้ายบ้านเรามากกว่าด้วยซ้ำ
บริเวณบึงกลางนี้ถูกใช้เป็นฐานของกลุ่มชีอะห์ที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านซัดดัมในการลุกฮือปี 1991 ...แน่นอนว่าพอชีอะห์แพ้ รัฐบาลอิรักก็เตรียมมาเช็คบิล และชาวอาหรับบึงพวกนี้ไม่โชคดีเท่าพวกเคิร์ดที่มีอเมริกาและชาติตะวันตกช่วยให้กลับมาตั้งตัวได้
...อย่างที่บอกในตอนต้นว่า นี่เป็นเรื่องของการสิ้นเผ่าพันธุ์...
ในตอนนั้นรัฐบาลอิรักใช้วิธีสูบน้ำออกจากพื้นที่บึงกลาง โดยอ้างว่าจะนำไปทำเกษตรกรรมและต้องการลดจำนวนยุง โดยพวกเขาสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำไทกริส แล้วระบายน้ำไปยังคลองแห่งเกียรติยศ (Glory Canal) นอกจากนี้ยังขุดคลองใหม่ชื่อ คลองแห่งความเจริญ (Prosperity Canal) เพื่อกันไม่ให้น้ำไปถึงพื้นที่บึงกลางได้
...จนปลายยุค 90 บริเวณหนองบึงของอิรักอันเคยอุดมสมบูรณ์ก็แห้งผาก…
ภาพแนบ: แผนที่แสดงส่วนบึงที่แห้งไป (สีชมพู)
การกระทำครั้งนี้ ส่งผลเสียแก่ระบบนิเวศน์อย่างมหาศาล ในปี 2000 โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ประเมินว่า พื้นที่บึงราว 90% ได้หายไป ทำให้พื้นที่กว่า 19,000 ตารางกิโลเมตรกลายเป็นทะเลทราย ดินชุ่มน้ำกลายเป็นดินเค็ม เพราะเมื่อแม่น้ำไม่ไหลลงทะเล น้ำทะเลก็แทรกกลับขึ้นมา ส่งผลเสียให้ทางน้ำอื่นๆ สัตว์ที่เคยอาศัยพากันอพยพออกหมด พวกที่ไม่หนีก็ตาย และพืชพิเศษรวมทั้งกกบางชนิดถึงกับสูญพันธุ์
นอกจากนั้นยังมีการใช้กำลังขับไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่อย่างรุนแรง มีชาวมาดานหลายพันคนถูกฆ่า หลายคนต้องละทิ้งธรรมเนียมปฏิบัติของชนเผ่าเพื่อเอาชีวิตรอด
เรื่องเศร้าไปกว่านั้นคือ สหประชาชาติไม่สามารถลงโทษหรือเอาผิดทางกฎหมายตรงๆ กับอิรักในเรื่องการสูบน้ำได้ เพราะไม่มีบัญญัติเอาไว้ มีแต่ข้อกฎหมายใกล้เคียงอย่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ที่ทำลายวิถีชีวิตของเผ่าหนึ่ง และกฎการศึกที่ห้ามทำร้ายฝ่ายตรงข้ามนอกจากเป็นกำลังทหารเท่านั้น สุดท้ายอิรักก็ไม่โดนอะไรเพิ่มเติมนอกจากการคว่ำบาตรตั้งแต่ตอนสงครามอ่าว
ประเมินกันว่า ในปี 2003 ชาวมาดานที่เคยมีจำนวนครึ่งล้านในอิรักนั้นเหลือเพียงสองหมื่น และมีเพียง 1,600 คนที่ยังคงวิถีชีวิตแบบเดิมได้ ซึ่งในปีเดียวกันนี้เองที่สหรัฐฯ เข้ามาทำศึกในอิรัก ซึ่งหลังวางระบบการปกครองใหม่ให้ประเทศ สหรัฐฯ ก็สั่งรื้อถอนที่กั้นทางน้ำออกไป ทำให้บึงกลางและส่วนอื่นๆ ที่เคยโดนสูบน้ำไปค่อยๆ กลับมามีโอกาสชุ่มชื่นได้อีกหน
แม้ช่วงแรกนั้นการฟื้นตัวของพื้นที่จะช้า แต่พอถึงปี 2004 ก็มีแหล่งน้ำปรากฏขึ้น แถมยังมีน้ำท่วมทางตอนใต้ของพื้นที่อีกด้วย พืชบางส่วนเริ่มงอกงาม ปลาและนกกลับมาอีกครั้ง และในปี 2008 พื้นที่บึงราว 75% ก็กลับคืนความอุดมสมบูรณ์
ถึงตัวเลขจะดูเยอะ แต่พื้นที่บึงขณะนั้นเหลือแค่ 58% จากของเดิมก่อนที่จะถูกสูบน้ำไป และในอนาคตอาจเหลือเพียง 50% เพราะตุรกีและอิหร่านสร้างเขื่อนในประเทศตัวเอง แถมน้ำที่กลับคืนมายังไม่สะอาดเท่าเก่า ทำให้การเลี้ยงปศุสัตว์หรือตกปลาที่เป็นเศรษฐกิจหลักในแถบนั้นได้รับผลกระทบ
ซ้ำร้าย พวกชาวอาหรับบึงยังได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน บางครั้งน้ำก็ร้อนเกินสำหรับสัตว์ บางหนก็เกิดภัยแล้ง ทำให้เวลาน้ำกลับมาก็กลายเป็นน้ำเค็มไปเสียอีก วัวควายจึงผลิตน้ำนมออกมาได้ไม่ดี เรียกว่าพอหมดภัยทางตรง ก็มาเจอภัยทางอ้อม จนผู้คนบริเวณนั้นจำนวนไม่น้อยถามตัวเองว่า จะย้ายไปใช้ชีวิตแบบอื่น หรือจะอยู่เพื่อสืบทอดวิถีชีวิตแบบที่คงอยู่มายาวนานต่อไปดี?
...นั่นเป็นคำถามที่ตอนนี้คงมีแต่พวกเขาเองที่ตอบได้…
อนึ่งชาวเคิร์ดเป็นชนกลุ่มน้อยในตะวันออกกลาง มีราว 30 ล้านคน หากไม่มีประเทศของตนเอง พวกเขาแตกเป็นหลายส่วนและถูกกดขี่อย่างหนัก แต่การถูกกดขี่เคี่ยวกรำนั้นกลับทำให้พวกเขากลายเป็นนักรบที่เก่งกาจอย่างยิ่ง
ชาวเคิร์ดมีส่วนร่วมในสงครามเหล่านี้ทั้งหมดในฐานะชนกลุ่มน้อยที่ไม่รวยแต่รบเก่ง พอมีคนมาติดอาวุธให้เลยมักกลายเป็นไพ่โจ๊กเกอร์ที่เปลี่ยนผลชี้ขาดของสงคราม
อย่างไรก็ตามศัตรูอันดับหนึ่งของชาวเคิร์ดคือเผด็จการซัดดัม ฮุสเซนนั้นก็โหดมาก โหดโคตรๆ ใครเคยอ่านพยัคฆ์ทมิฬสิ้นชาติ หรือเชือดเช็ดเชเชน ผมบอกได้ว่าไอ้นี่ก็โหดไม่แพ้กัน หรือเผลอๆ โหดกว่า ดังนั้นการต่อสู้ของชาวเคิร์ดมันจึงเป็นเรื่องที่หลอนและดุเดือดมากๆ
:: ::: :::
สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตามเพจ https://www.facebook.com/pongsorn.bhumiwat/
กรุ๊ปประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ https://www.facebook.com/groups/thewildchronicles/
กรุ๊ปท่องเที่ยว เที่ยวโหดเหมือนโกรธบ้าน https://www.facebook.com/groups/wildchroniclestravel/
Line Square: https://line.me/ti/g2/8pIcVHp3cc6-jyQJdzIFrg
และ youtube: https://youtube.com/user/Apotalai