ด่วน! โควิดวันนี้ สลด ติดเชื้อเสียชีวิต 87 ราย ป่วยใหม่พุ่ง 9,317 ราย
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6508127
โควิดวันนี้ ศบค. เผย สถานการณ์การแพร่รระบาด ป่วยใหม่พุ่ง 9,317 ราย ดันยอดสะสมระลอกเดือนเม.ย. 334,166 ราย สุดเศร้า เสียชีวิตเพิ่มอีก 87 ราย
เมื่อเวลา 07.50 น. วันที่ 14 ก.ค.2564 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ประจำวัน ระบุว่า เบื้องต้นมีผู้ป่วยใหม่ 9,317 ราย จำแนกเป็นผู้ติดเชื้อใหม่ 9,188 ราย, ติดเชื้อในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 129 ราย
หายป่วยกลับบ้าน 5,129 ราย หายป่วยสะสม 233,158 ราย ยอดผู้ป่วยสะสมระลอกเดือนเม.ย. จำนวน 334,166 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 87 ราย ทั้งนี้ ศบค.จะแถลงรายละเอียดให้ทราบอีกครั้งเวลาประมาณ 12.30 น.
ICU สมุทรสาคร วิกฤต คนไข้ล้นเตียง
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/948789
ห้องไอซียู เข้าสู่ขั้นวิกฤต คนไข้ล้นเตียง รพ.สมุทรสาครเร่งปรับแผนฉีดวัคซีน – บำบัดคนไข้กลุ่มสีเหลืองก่อนกลายเป็นสีแดง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาครเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 ณ ห้องประชุมพันท้ายนรสิงห์ ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งมีนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็นประธานในการประชุมนั้น ที่ประชุมได้มีการรายงานให้ทราบถึงสถานการณ์ของเตียงในโรงพยาบาลหลักทั้งของรัฐและเอกชน ตลอดจนเตียงสนามที่มีอยู่ในศูนย์ห่วงใยคนสาครทั้ง 7 แห่งว่า ขณะนี้สถานการณ์เตียงเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 นั้น ไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ เตียงผู้ป่วยในห้อง I.C.U. ที่เข้าสู่ขั้นวิกฤติแล้ว ด้วยจำนวนเตียงที่มีอยู่อย่างจำกัดแม้จะมีการขยายเต็มขีดความสามารถแล้วก็ตาม
ด้านนายแพทย์ธนพัฒน์ พวงเพชร นายแพทย์ชำนาญการ รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบบริการสุขภาพ โรงพยาบาลสมุทรสาคร ได้นำผู้สื่อข่าวขึ้นไปดูระบบห้อง I.C.U. ของโรงพยาบาลสมุทรสาคร ที่มีผู้ป่วยเกินจำนวนเตียงแล้ว จนต้องจัดให้มีส่วนพื้นที่พักคอยเพื่อรอนำส่งเข้ามาเมื่อเตียงว่างลง ส่วนคนที่จะต้องนำเข้าห้อง I.C.U. ก็เพราะอาการหนักนั้นก็มีหลายกลุ่มอายุ ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป จนถึงผู้สูงอายุ และคนที่โรคประจำตัว ทำให้แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ที่ประจำห้อง I.C.U. ต้องทำงานกันอย่างหนัก คอยเฝ้าติดตามอาการของผู้ป่วยทุกคนอย่างใกล้ชิด และรักษาทุกคนอย่างสุดกำลังความสามารถ แต่ผู้ป่วยบางรายที่อาการสาหัสมากเกินจะเยียวยาได้แล้วนั้น สุดท้ายก็ต้องเสียชีวิตลงอย่างที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นไม่ว่าจะทางแพทย์ พยาบาล หรือครอบครัวของผู้ป่วย
นายแพทย์ธนพัฒน์ฯ ยังกล่าวอีกว่า ผู้ป่วยโควิด 19 ที่เข้ารักษาตัวในห้อง I.C.U. แล้วเสียชีวิตเกือบทั้งหมดเป็นผู้ป่วยคนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ขณะที่ผู้ป่วยรายหนึ่งน้ำหนักประมาณ 140 กิโลกรัม ซึ่งถือเป็นเคสที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตมากกว่าคนไข้รายอื่นๆ แต่สุดท้ายคนไข้รายนี้ก็ปลอดภัยดี เมื่อนำมาศึกษาจึงพบว่า คนไข้รายนี้ที่น้ำหนัก 140 กิโลกรัม ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวคแล้ว 2 เข็ม ดังนั้นการฉีดวัคซีนยังคงมีความจำเป็นที่จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
นายแพทย์ธนพัฒน์ พวงเพชร รอง ผอ.รพ.สมุทรสาคร กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า โดยในช่วงที่เตียง I.C.U. ไม่เพียงพอนั้น ทางโรงพยาบาลสมุทรสาครก็ต้องปรับระบบในโรงพยาบาลหลายส่วน และปรับห้องผู้ป่วยในแผนกอื่นๆ เพื่อทำเป็นห้อง I.C.U. โควิด -19 เพิ่มด้วย อีกทั้งทางโรงพยาบาลสมุทรสาครยังต้องปรับแผนการฉีดวัคซีนใหม่เพื่อลดผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง อันได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ป่วยติดเตียง และกลุ่มที่มีโรคเรื้อรัง ซึ่งกลุ่มเหล่านี้หากติดโควิด-19 จะเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงและเข้าห้องไอซียู จึงอยากให้คนกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนก่อน ส่วนประชาชนกลุ่มปกติที่ยังไม่ได้รับวัคซีน มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ก็ขอให้รักษามาตรการทุกอย่างให้เข้มข้น
ส่วนอีกหนึ่งอย่างที่จะช่วยลดผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองเข้มก่อนเป็นกลุ่มสีแดง จนต้องนำเข้ามารักษาตัวในห้อง I.C.U. ได้ ก็คือ เครื่องช่วยหายใจอัตราการไหลอากาศ (ไฮโฟลว์) ซึ่งตอนนี้ทางโรงพยาบาลสมุทรสาครต้องการอีกประมาณ 100 เครื่อง เพื่อช่วยรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีจำนวนมาก และอาการป่วยตอนนี้พบว่าเปลี่ยนระดับที่รวดเร็วมาก ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่ จึงต้องรักษาผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองเข้มนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นกลุ่มสีแดงนั่นเอง
‘พิธา’ ทวง สัญญาแอสตร้าฯ-รัฐบาลไทย ฉบับไม่ถมดำ เคลียร์ให้ชัด ‘ส่วนต่าง’ ราคาวัคซีน แพงโดด
https://www.matichon.co.th/politics/news_2827945
‘พิธา’ ทวง สัญญาแอสตร้าฯ-รัฐบาลไทย ฉบับไม่ถมดำ เคลียร์ให้ชัด ‘ส่วนต่าง’ ราคาวัคซีน แพงโดด จากที่ขายให้อียู ตกโดสละ 112 บาท ลั่น ปชช. มีสิทธิ์รู้การใช้จ่ายเงินภาษี เหน็บ วันนั้นคุยโว เป็นฮับส่งออก วันนี้รับบริจาค
วันที่ 13 กรกฎาคม 2564 ที่อาคารรัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กล่าวว่า ตนขอทวงถามสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยและบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า และสัญญาการจองวัคซีนล่วงหน้าฉบับเต็มโดยไม่มีการปกปิดข้อมูล เนื่องจากในฐานะผู้แทนราษฎรจำเป็นต้องได้ข้อมูลที่ครบถ้วนเพื่อสามารถตรวสอบข้อมูลแทนประชาชนชาวไทย และช่วยกันเสนอทางออกให้กับประเทศ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของประชาชน รวมทั้งจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพาประเทศไทยออกจากมหาวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วย
สืบเนื่องจากที่นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก.ก. ได้ดำเนินตามขั้นตอนอย่างถูกต้องเพื่อขอดูสัญญาและเอกสารดังกล่าว ล่าสุดแม้ว่าจะได้สัญญาแล้ว แต่พอเปิดดูก็พบว่าเซนเซอร์คาดดำในเอกสารเต็มไปหมด ทั้งไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดจำนวนโดสการสั่งซื้อ-การส่งมอบ และราคาซื้อในสัญญา ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดข้อตกลงเรื่องระยะเวลาส่งมอบวัคซีน ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดกำลังการผลิตวัคซีนจากบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์
นาย
พิธา กล่าวว่า ตนขอเริ่มด้วยการส่งกำลังใจไปให้ข้าราชการทุกคนที่กระทรวงสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาสมัคร ด่านหน้าทุกท่าน ที่เสียสละเหน็ดเหนื่อยทำหน้าที่ ด้วยความปรารถนาดี
“ประเด็นที่ผมจะสอบถามเกี่ยวข้องกับสัญญาวัคซีนกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า และต่อเนื่องจากการแถลงของปลัดกระทรวงสาธารณสุขถึงปัญหาการกลายพันธุ์และการแพร่ระบาดของเชื้อกลายพันธุ์นี้ที่มีการระบาดถึง 50 % ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งการปรับแผนการใช้วัคซีนซีโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้าด้วย วันนี้ผมได้นำสัญญาวัคซีนที่ได้ส่งให้กับ ส.ส. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคก้าวไกล ซึ่งเมื่อเปิดดูก็พบว่าสัญญาที่ได้รับเป็นสัญญาตาบอดเพราะมีการเซนเซอร์และถมดำเต็มไปหมด รวมทั้งในสัญญาฉบับนี้ผมทราบว่าเป็นสัญญาที่มีการสั่งซื้อจำนวน 26 ล้านโดสเพราะในส่วนอื่นๆ ท่านถมดำไม่ให้เห็นข้อมูลจนเป็นสัญญาตาบอด แต่มีหนึ่งจุดที่ท่านไม่ได้ถมดำเอาไว้ ทำให้ทราบว่าเป็นสัญญาซื้อวัคซีนจำนวน 26 ล้านโดส” นาย
พิธากล่าว
นาย
พิธา กล่าวต่อไปว่า วัคซีนที่ไทยสั่งซื้อในกรณีซื้อจากแอสตร้าเซนเนก้านั้น มีจำนวนทั้งหมด 61 ล้านโดส ดังนั้นนอกจากสัญญาซื้อวัคซีน 26 ล้านโดสที่ได้รับมาแล้วแต่เป็นสัญญาตาบอดนั้น จึงจำเป็นต้องขอให้ส่งมาใหม่ และขอให้ส่งสัญญาที่สั่งซื้อวัคซีนอีกจำนวน 35 ล้านโดสมาด้วย แบบไม่มีการถมดำ
“ข้อมูลทุกอย่างที่เป็นเรื่องของความโปร่งใส เพื่อเอาไปใช้สำหรับวางแผนต่อ หรือทำให้ประชาชนไม่เกิดความสับสนในข่าวนั้น ข้อมูลเหล่านั้นถูกขีดฆ่าโดยการถมดำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจำนวน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระยะเวลาส่งมอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุน ไม่ว่าจะเป็นภาษี ฯลฯ ทำให้ผมไม่สามารถทำหน้าที่ติดตามและตรวจสอบได้ ในทางตรงกันข้าม ผมถือสัญญาอีกหนึ่งฉบับที่เป็นสัญญาระหว่างสหภาพยุโรปและแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งถูกเผยแพร่โดยสื่อมวลชนอิตาลีและสื่อมวลชนจากสหรัฐอเมริกา ในสัญญาอันนี้ได้บอกชัดเจนว่ามีข้อมูลอะไรบ้าง โดยมีข้อมูล เช่น เรื่องจำนวนที่ระบุไว้ว่ามีจำนวน 300 ล้านโดส ด้วยงบประมาณ 870 ล้านยูโร คิดเฉลี่ยต่อโดสเป็นจำนวนเงิน 2.9 ยูโรต่อโดสหรือคิดเป็นเงินไทยคือโดสละ 112 บาท ข้อมูลบอกทั้งหมดว่าจะชดใช้คืนเงินอุดหนุนที่สหภาพยุโรปจ่ายไป คืนมาในรูปแบบของวัคซีน โดยจำเป็นต้องจ่ายคืน 2 ใน 3 ภายใน 5 วันของการผลิต มีเรื่องของการคิดต้นทุน วิธีการคิดภาษี วิธีการคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ทั้งหมดนี้คือความโปร่งใสที่เกิดขึ้น แล้วทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความอุ่นใจ แล้วก็จะทำให้คนหลายๆ คนมาช่วยคิดกันได้” หัวหน้าพรรคก.ก. ระบุ
นาย
พิธา กล่าวต่อว่า ตกลงเงินภาษีของพี่น้องประชาชนที่เอาไปใช้ ทั้งในงบประมาณแล้วก็ พ.ร.ก. เงินกู้ฯ ที่ใช้ไปเกือบ 600 ล้านบาท ส่งให้กับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ มีสัญญาอะไรบ้าง ซึ่งเป็นความโปร่งใสที่ยังไม่มี ถ้าเปิดสัญญาทั้งหมดออกมาจะช่วยทำให้เกิดความโปร่งใส จะได้รู้ว่าจะส่งมอบวัคซีนได้เมื่อไหร่ และจะได้รู้ข้อมูลที่จำเป็นอื่นๆ ในการมาวางแผนทำงานต่อได้ โดยหากเปิดสัญญาออกมาทั้งหมดเหมือนที่กรณีสหภาพยุโรป แต่ในกรณีนี้สื่อมวลชนเป็นคนเปิดออกมา หรืออย่างในกรณีของประเทศบราซิล
“เป็นที่น่าสงสัยว่าเมื่อต้นปี มีความพยายามอยากจะไปให้ถึงการเป็นศูนย์กลางวัคซีนของประเทศแถบอาเซียนในการผลิตวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า แต่พอมาถึงวันนี้ประเทศไทยต้องรับการบริจาคจากประเทศญี่ปุ่น 1.05 ล้านโดส เลยทำให้เกิดข้อกังขาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และจากสัญญาที่เปิดเผยออกมาในกรณีของสหภาพยุโรปและของประเทศบราซิล ระบุว่าข้อมูลอะไรที่เป็นความลับที่เปิดเผยไม่ได้ ขณะเอกสารที่ท่านส่งมาให้กับ ส.ส. วิโรจน์นั้น ระบุไว้ว่า แอสตร้าเซนเนก้าขอสงวนสิทธิ์เพื่อรักษาความลับในเชิงธุรกิจ และในสัญญาก็พูดชัดว่าสัญญาในเชิงธุรกิจมีอะไรบ้าง ซึ่งก็คือสูตรการผลิตวัคซีน ไม่ได้เป็นเรื่องของราคา ไม่ได้เป็นเรื่องของจำนวน รวมทั้งเงื่อนไขอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความสนใจของสาธารณะอันนั้นเปิดเผยไม่ได้ แต่หากเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับสาธารณะ เขาก็ไม่ขัดข้อง ที่จะสามารถให้เปิดเผยได้” นาย
พิธากล่าว
นาย
พิธา กล่าวทิ้งท้ายว่า ตราบเท่าที่ไม่มีเปิดเผยราคาในสัญญา หากนำงบประมาณจัดซื้อวัคซีนหารด้วยจำนวนโดสแล้วก็จะเห็นว่า มีส่วนต่างราคาวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าของไทยกับราคาวัคซีนของสหภาพยุโรป ส่วนต่างราคาตรงนี้ อาจเป็นอัตราของค่าเงินก็ได้ อาจมาจากภาษีก็ได้ อาจจะเป็นต้นทุนบางอย่างในการนำเข้ามาก็ได้ ซึ่งตนไม่ได้ต้องการคิดในเชิงลบว่าส่วนต่างนั้น มีการหาผลประโยชน์จากซากศพของประชาชนหรือไม่ โดยถ้าเห็นข้อมูลทั้งหมดคงจะชัดเจนว่าราคาที่แตกต่างกันเป็นเพราะสาเหตุอะไรกันแน่
JJNY : สลด เสียชีวิต 87 ป่วยใหม่พุ่ง 9,317│ICUสมุทรสาครวิกฤต│‘พิธา’ทวงสัญญาแอสตร้าฯฉบับไม่ถมดำ│สวนเสือศรีราชาเลิกกิจการ
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6508127
โควิดวันนี้ ศบค. เผย สถานการณ์การแพร่รระบาด ป่วยใหม่พุ่ง 9,317 ราย ดันยอดสะสมระลอกเดือนเม.ย. 334,166 ราย สุดเศร้า เสียชีวิตเพิ่มอีก 87 ราย
เมื่อเวลา 07.50 น. วันที่ 14 ก.ค.2564 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ประจำวัน ระบุว่า เบื้องต้นมีผู้ป่วยใหม่ 9,317 ราย จำแนกเป็นผู้ติดเชื้อใหม่ 9,188 ราย, ติดเชื้อในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 129 ราย
หายป่วยกลับบ้าน 5,129 ราย หายป่วยสะสม 233,158 ราย ยอดผู้ป่วยสะสมระลอกเดือนเม.ย. จำนวน 334,166 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 87 ราย ทั้งนี้ ศบค.จะแถลงรายละเอียดให้ทราบอีกครั้งเวลาประมาณ 12.30 น.
ICU สมุทรสาคร วิกฤต คนไข้ล้นเตียง
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/948789
ห้องไอซียู เข้าสู่ขั้นวิกฤต คนไข้ล้นเตียง รพ.สมุทรสาครเร่งปรับแผนฉีดวัคซีน – บำบัดคนไข้กลุ่มสีเหลืองก่อนกลายเป็นสีแดง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาครเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2564 ณ ห้องประชุมพันท้ายนรสิงห์ ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งมีนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็นประธานในการประชุมนั้น ที่ประชุมได้มีการรายงานให้ทราบถึงสถานการณ์ของเตียงในโรงพยาบาลหลักทั้งของรัฐและเอกชน ตลอดจนเตียงสนามที่มีอยู่ในศูนย์ห่วงใยคนสาครทั้ง 7 แห่งว่า ขณะนี้สถานการณ์เตียงเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 นั้น ไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ เตียงผู้ป่วยในห้อง I.C.U. ที่เข้าสู่ขั้นวิกฤติแล้ว ด้วยจำนวนเตียงที่มีอยู่อย่างจำกัดแม้จะมีการขยายเต็มขีดความสามารถแล้วก็ตาม
ด้านนายแพทย์ธนพัฒน์ พวงเพชร นายแพทย์ชำนาญการ รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบบริการสุขภาพ โรงพยาบาลสมุทรสาคร ได้นำผู้สื่อข่าวขึ้นไปดูระบบห้อง I.C.U. ของโรงพยาบาลสมุทรสาคร ที่มีผู้ป่วยเกินจำนวนเตียงแล้ว จนต้องจัดให้มีส่วนพื้นที่พักคอยเพื่อรอนำส่งเข้ามาเมื่อเตียงว่างลง ส่วนคนที่จะต้องนำเข้าห้อง I.C.U. ก็เพราะอาการหนักนั้นก็มีหลายกลุ่มอายุ ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป จนถึงผู้สูงอายุ และคนที่โรคประจำตัว ทำให้แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ที่ประจำห้อง I.C.U. ต้องทำงานกันอย่างหนัก คอยเฝ้าติดตามอาการของผู้ป่วยทุกคนอย่างใกล้ชิด และรักษาทุกคนอย่างสุดกำลังความสามารถ แต่ผู้ป่วยบางรายที่อาการสาหัสมากเกินจะเยียวยาได้แล้วนั้น สุดท้ายก็ต้องเสียชีวิตลงอย่างที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นไม่ว่าจะทางแพทย์ พยาบาล หรือครอบครัวของผู้ป่วย
นายแพทย์ธนพัฒน์ฯ ยังกล่าวอีกว่า ผู้ป่วยโควิด 19 ที่เข้ารักษาตัวในห้อง I.C.U. แล้วเสียชีวิตเกือบทั้งหมดเป็นผู้ป่วยคนที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ขณะที่ผู้ป่วยรายหนึ่งน้ำหนักประมาณ 140 กิโลกรัม ซึ่งถือเป็นเคสที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตมากกว่าคนไข้รายอื่นๆ แต่สุดท้ายคนไข้รายนี้ก็ปลอดภัยดี เมื่อนำมาศึกษาจึงพบว่า คนไข้รายนี้ที่น้ำหนัก 140 กิโลกรัม ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวคแล้ว 2 เข็ม ดังนั้นการฉีดวัคซีนยังคงมีความจำเป็นที่จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้
นายแพทย์ธนพัฒน์ พวงเพชร รอง ผอ.รพ.สมุทรสาคร กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า โดยในช่วงที่เตียง I.C.U. ไม่เพียงพอนั้น ทางโรงพยาบาลสมุทรสาครก็ต้องปรับระบบในโรงพยาบาลหลายส่วน และปรับห้องผู้ป่วยในแผนกอื่นๆ เพื่อทำเป็นห้อง I.C.U. โควิด -19 เพิ่มด้วย อีกทั้งทางโรงพยาบาลสมุทรสาครยังต้องปรับแผนการฉีดวัคซีนใหม่เพื่อลดผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง อันได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้ป่วยติดเตียง และกลุ่มที่มีโรคเรื้อรัง ซึ่งกลุ่มเหล่านี้หากติดโควิด-19 จะเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงและเข้าห้องไอซียู จึงอยากให้คนกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนก่อน ส่วนประชาชนกลุ่มปกติที่ยังไม่ได้รับวัคซีน มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ก็ขอให้รักษามาตรการทุกอย่างให้เข้มข้น
ส่วนอีกหนึ่งอย่างที่จะช่วยลดผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองเข้มก่อนเป็นกลุ่มสีแดง จนต้องนำเข้ามารักษาตัวในห้อง I.C.U. ได้ ก็คือ เครื่องช่วยหายใจอัตราการไหลอากาศ (ไฮโฟลว์) ซึ่งตอนนี้ทางโรงพยาบาลสมุทรสาครต้องการอีกประมาณ 100 เครื่อง เพื่อช่วยรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีจำนวนมาก และอาการป่วยตอนนี้พบว่าเปลี่ยนระดับที่รวดเร็วมาก ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่ จึงต้องรักษาผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองเข้มนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นกลุ่มสีแดงนั่นเอง
‘พิธา’ ทวง สัญญาแอสตร้าฯ-รัฐบาลไทย ฉบับไม่ถมดำ เคลียร์ให้ชัด ‘ส่วนต่าง’ ราคาวัคซีน แพงโดด
https://www.matichon.co.th/politics/news_2827945
‘พิธา’ ทวง สัญญาแอสตร้าฯ-รัฐบาลไทย ฉบับไม่ถมดำ เคลียร์ให้ชัด ‘ส่วนต่าง’ ราคาวัคซีน แพงโดด จากที่ขายให้อียู ตกโดสละ 112 บาท ลั่น ปชช. มีสิทธิ์รู้การใช้จ่ายเงินภาษี เหน็บ วันนั้นคุยโว เป็นฮับส่งออก วันนี้รับบริจาค
วันที่ 13 กรกฎาคม 2564 ที่อาคารรัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กล่าวว่า ตนขอทวงถามสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยและบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า และสัญญาการจองวัคซีนล่วงหน้าฉบับเต็มโดยไม่มีการปกปิดข้อมูล เนื่องจากในฐานะผู้แทนราษฎรจำเป็นต้องได้ข้อมูลที่ครบถ้วนเพื่อสามารถตรวสอบข้อมูลแทนประชาชนชาวไทย และช่วยกันเสนอทางออกให้กับประเทศ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของประชาชน รวมทั้งจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพาประเทศไทยออกจากมหาวิกฤตครั้งนี้ไปได้ด้วย
สืบเนื่องจากที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก.ก. ได้ดำเนินตามขั้นตอนอย่างถูกต้องเพื่อขอดูสัญญาและเอกสารดังกล่าว ล่าสุดแม้ว่าจะได้สัญญาแล้ว แต่พอเปิดดูก็พบว่าเซนเซอร์คาดดำในเอกสารเต็มไปหมด ทั้งไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดจำนวนโดสการสั่งซื้อ-การส่งมอบ และราคาซื้อในสัญญา ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดข้อตกลงเรื่องระยะเวลาส่งมอบวัคซีน ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดกำลังการผลิตวัคซีนจากบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์
นายพิธา กล่าวว่า ตนขอเริ่มด้วยการส่งกำลังใจไปให้ข้าราชการทุกคนที่กระทรวงสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข อาสาสมัคร ด่านหน้าทุกท่าน ที่เสียสละเหน็ดเหนื่อยทำหน้าที่ ด้วยความปรารถนาดี
“ประเด็นที่ผมจะสอบถามเกี่ยวข้องกับสัญญาวัคซีนกับบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า และต่อเนื่องจากการแถลงของปลัดกระทรวงสาธารณสุขถึงปัญหาการกลายพันธุ์และการแพร่ระบาดของเชื้อกลายพันธุ์นี้ที่มีการระบาดถึง 50 % ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งการปรับแผนการใช้วัคซีนซีโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้าด้วย วันนี้ผมได้นำสัญญาวัคซีนที่ได้ส่งให้กับ ส.ส. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคก้าวไกล ซึ่งเมื่อเปิดดูก็พบว่าสัญญาที่ได้รับเป็นสัญญาตาบอดเพราะมีการเซนเซอร์และถมดำเต็มไปหมด รวมทั้งในสัญญาฉบับนี้ผมทราบว่าเป็นสัญญาที่มีการสั่งซื้อจำนวน 26 ล้านโดสเพราะในส่วนอื่นๆ ท่านถมดำไม่ให้เห็นข้อมูลจนเป็นสัญญาตาบอด แต่มีหนึ่งจุดที่ท่านไม่ได้ถมดำเอาไว้ ทำให้ทราบว่าเป็นสัญญาซื้อวัคซีนจำนวน 26 ล้านโดส” นายพิธากล่าว
นายพิธา กล่าวต่อไปว่า วัคซีนที่ไทยสั่งซื้อในกรณีซื้อจากแอสตร้าเซนเนก้านั้น มีจำนวนทั้งหมด 61 ล้านโดส ดังนั้นนอกจากสัญญาซื้อวัคซีน 26 ล้านโดสที่ได้รับมาแล้วแต่เป็นสัญญาตาบอดนั้น จึงจำเป็นต้องขอให้ส่งมาใหม่ และขอให้ส่งสัญญาที่สั่งซื้อวัคซีนอีกจำนวน 35 ล้านโดสมาด้วย แบบไม่มีการถมดำ
“ข้อมูลทุกอย่างที่เป็นเรื่องของความโปร่งใส เพื่อเอาไปใช้สำหรับวางแผนต่อ หรือทำให้ประชาชนไม่เกิดความสับสนในข่าวนั้น ข้อมูลเหล่านั้นถูกขีดฆ่าโดยการถมดำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจำนวน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของระยะเวลาส่งมอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุน ไม่ว่าจะเป็นภาษี ฯลฯ ทำให้ผมไม่สามารถทำหน้าที่ติดตามและตรวจสอบได้ ในทางตรงกันข้าม ผมถือสัญญาอีกหนึ่งฉบับที่เป็นสัญญาระหว่างสหภาพยุโรปและแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งถูกเผยแพร่โดยสื่อมวลชนอิตาลีและสื่อมวลชนจากสหรัฐอเมริกา ในสัญญาอันนี้ได้บอกชัดเจนว่ามีข้อมูลอะไรบ้าง โดยมีข้อมูล เช่น เรื่องจำนวนที่ระบุไว้ว่ามีจำนวน 300 ล้านโดส ด้วยงบประมาณ 870 ล้านยูโร คิดเฉลี่ยต่อโดสเป็นจำนวนเงิน 2.9 ยูโรต่อโดสหรือคิดเป็นเงินไทยคือโดสละ 112 บาท ข้อมูลบอกทั้งหมดว่าจะชดใช้คืนเงินอุดหนุนที่สหภาพยุโรปจ่ายไป คืนมาในรูปแบบของวัคซีน โดยจำเป็นต้องจ่ายคืน 2 ใน 3 ภายใน 5 วันของการผลิต มีเรื่องของการคิดต้นทุน วิธีการคิดภาษี วิธีการคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ทั้งหมดนี้คือความโปร่งใสที่เกิดขึ้น แล้วทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความอุ่นใจ แล้วก็จะทำให้คนหลายๆ คนมาช่วยคิดกันได้” หัวหน้าพรรคก.ก. ระบุ
นายพิธา กล่าวต่อว่า ตกลงเงินภาษีของพี่น้องประชาชนที่เอาไปใช้ ทั้งในงบประมาณแล้วก็ พ.ร.ก. เงินกู้ฯ ที่ใช้ไปเกือบ 600 ล้านบาท ส่งให้กับบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ มีสัญญาอะไรบ้าง ซึ่งเป็นความโปร่งใสที่ยังไม่มี ถ้าเปิดสัญญาทั้งหมดออกมาจะช่วยทำให้เกิดความโปร่งใส จะได้รู้ว่าจะส่งมอบวัคซีนได้เมื่อไหร่ และจะได้รู้ข้อมูลที่จำเป็นอื่นๆ ในการมาวางแผนทำงานต่อได้ โดยหากเปิดสัญญาออกมาทั้งหมดเหมือนที่กรณีสหภาพยุโรป แต่ในกรณีนี้สื่อมวลชนเป็นคนเปิดออกมา หรืออย่างในกรณีของประเทศบราซิล
“เป็นที่น่าสงสัยว่าเมื่อต้นปี มีความพยายามอยากจะไปให้ถึงการเป็นศูนย์กลางวัคซีนของประเทศแถบอาเซียนในการผลิตวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า แต่พอมาถึงวันนี้ประเทศไทยต้องรับการบริจาคจากประเทศญี่ปุ่น 1.05 ล้านโดส เลยทำให้เกิดข้อกังขาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และจากสัญญาที่เปิดเผยออกมาในกรณีของสหภาพยุโรปและของประเทศบราซิล ระบุว่าข้อมูลอะไรที่เป็นความลับที่เปิดเผยไม่ได้ ขณะเอกสารที่ท่านส่งมาให้กับ ส.ส. วิโรจน์นั้น ระบุไว้ว่า แอสตร้าเซนเนก้าขอสงวนสิทธิ์เพื่อรักษาความลับในเชิงธุรกิจ และในสัญญาก็พูดชัดว่าสัญญาในเชิงธุรกิจมีอะไรบ้าง ซึ่งก็คือสูตรการผลิตวัคซีน ไม่ได้เป็นเรื่องของราคา ไม่ได้เป็นเรื่องของจำนวน รวมทั้งเงื่อนไขอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความสนใจของสาธารณะอันนั้นเปิดเผยไม่ได้ แต่หากเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับสาธารณะ เขาก็ไม่ขัดข้อง ที่จะสามารถให้เปิดเผยได้” นายพิธากล่าว
นายพิธา กล่าวทิ้งท้ายว่า ตราบเท่าที่ไม่มีเปิดเผยราคาในสัญญา หากนำงบประมาณจัดซื้อวัคซีนหารด้วยจำนวนโดสแล้วก็จะเห็นว่า มีส่วนต่างราคาวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าของไทยกับราคาวัคซีนของสหภาพยุโรป ส่วนต่างราคาตรงนี้ อาจเป็นอัตราของค่าเงินก็ได้ อาจมาจากภาษีก็ได้ อาจจะเป็นต้นทุนบางอย่างในการนำเข้ามาก็ได้ ซึ่งตนไม่ได้ต้องการคิดในเชิงลบว่าส่วนต่างนั้น มีการหาผลประโยชน์จากซากศพของประชาชนหรือไม่ โดยถ้าเห็นข้อมูลทั้งหมดคงจะชัดเจนว่าราคาที่แตกต่างกันเป็นเพราะสาเหตุอะไรกันแน่