แก้ไขปัญหาครอบครัวแบบนี้ ฮาร์ดคอร์ไปมั้ยคะ (ปัญหาคือพ่อผู้ว่างงานแต่ต้องการเป็นผู้นำ)

ก่อนเข้าเรื่องขอไม่เอ่ยถึงความกตัญญูแบบถวายชีวิต แบบลูกเป็นสมบัติของพ่อแม่ ใครมาแนวนี้แนะนำอย่าอ่านนะคะ เพราะจขกท.เลือกแก้ปัญหาภายใต้แนวคิด พ่อแม่ก็คือมนุษย์คนนึงที่ควรต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่ใช่งอมืองอเท้าเกาะความกตัญญูลูกไปตลอดชีวิต 

เรื่องมีอยู่ว่า...

พ่อสามีเป็นคนมีปัญหาค่ะ ปัญหาของเค้าคือไม่สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ แม้กระทั่งพ่อแม่ตัวเอง หรือเมียตัวเองก็ตาม ไปอยู่ไหนก็มักจะสร้างปัญหาไว้ทุกที่ และนี่แหละค่ะคือที่มากระทู้นี้ทั้งหมด

เค้ามีลูกสามคนค่ะ สามีเราคนโต คนกลางปีสอง คนเล็กป.หก เค้าไม่มีอาชีพค่ะ ไม่มีงานทำ ไม่อยากทำงาน และพ่อแม่เค้าก็แก่มากค่ะ จะ 80 แล้ว อยู่บ้านกันสองคน เคยล้มสามวันนอนนิ่งขยับไม่ได้เลยจำเป็นต้องมีคนดูแล ซึ่งพ่อสามีรับหน้าที่นี้ค่ะ  แต่แล้วเค้าก็อยู่กันไมไ่ด้ ถึงขนาดที่ว่าพ่อเค้าโทรหามาสามีเราว่าเอาพ่อไปเถอะ ขอร้อง อย่าให้อยู่นี่เลย

ทีนี้เรากับสามีวางแผนสร้างครอบครัว มีเจ้าตัวเล็ก มันก็ต้องวางแผนยาวถึงเรื่องเงินและที่อยู่ด้วย ซึ่งเฉพาะเรามันลงตัวค่ะ แต่พอต้องคิดเรื่องพ่อสามีด้วยมันไม่ลงตัวค่ะ สามีมีบ้านหนึ่งหลังเค้าซื้อเอง แม่เค้าอยู่กับน้องคนเล็ก ส่วนน้องคนกลางอยู่หอ ส่วนเรากับสามียังไม่มีบ้านด้วยกันค่ะ กำลังจะมีภายในปีหน้าพร้อมเจ้าตัวเล็ก

สามีบอกพ่อเค้าว่าต้องหางานทำ เค้าก็หานะคะ แต่หาแบบขอไปที และให้เหตุผลร้อยแปดพันเก้า ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลูกเค้าอีกสองคนที่ยังเรียนอยู่ก็เป็นสามีรับผิดชอบค่ะ (อันนี้เราไม่ค้านนะคะ เพราะเค้าทำด้วยความเต็มใจ แต่ด่าพ่อสามีในใจตลอดค่ะว่าเป็นผู้ชายที่เฮงซวยไม่เอาอ่าวสุดๆ) สรุปเรื่องให้หางานทำก็ไปไม่รอดค่ะ จับช่ายสุด 

เรื่องที่อยู่ตัวสามีเราเองก็ไม่ต้องการอยู่กับพ่อเค้าค่ะ มันปวดหัว มีแต่ปัญหาทุกวัน เป็นประจุลบเคลื่อนที่ได้ค่ะ ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นยันหลับ เราก็อยู่ไม่ได้ค่ะ ขนาดคนในครอบครัวเค้ายังไปไม่รอด ตัวเราเองที่โตมาจากบ้านอื่นเพิ่งมาเจอเค้าตอนโตก็ไปไม่รอดเช่นกันค่ะ

เราเคยคิดกับสามีว่าจะแก้ปัญหาแบบนี้

1. เรื่องเงิน พ่อปกติ ไม่ได้ป่วย ไม่ได้พิการ แต่ไม่ยอมจริงจังกับการทำงานหาเงินเลี้ยงดูตัวเองและลูกที่ยังอยู่ในวัยเรียน ตัดปัญหาแบบขว้างงูไม่พ้นคอคือ ให้เงินเท่าที่สามีพอใจจะให้ (เบื้องต้นคือเดือนละ 2,000 เพราะสามีต้องเลี้ยงอีกหลายชีวิตในบ้านค่ะ ภาระเค้าเยอะมากจริงๆค่ะ เค้าไหวแค่นี้) และเด็ดขาดไม่ให้เพิ่มอีก ไม่ว่ากรณีใดๆ เจ็บป่วยก็คือตามฐานะของเค้าไม่ใช่ฐานะของลูกเค้า ไม่มีรพ.เอกชน ไม่มีคลีนิคเอกชน มีสิทธิอะไรก็ใช้ตามนั้น (สามีไม่ได้ถูกเลี้ยงโดยพ่อเค้าค่ะ แต่ถูกเลี้ยงโดยแม่คนเดียว เจอพ่อบ้างแค่ช่วงวันหยุด ไปกินข้าวกัน แค่นั้น เค้าเลยรักแม่มากกว่า) 

2. เรื่องที่อยู่ จะให้เค้ามาอยู่บ้านที่สามีซื้อ (สามีซื้อเพื่อให้แม่เค้าไว้เป็นเซฟเฮาส์จากผัวเค้าค่ะ) ส่วนเราที่อยู่บ้างไม่อยู่บ้าง ต้องลงทุนไปเช่าที่อื่น ไปอยู่ที่อื่นนั่นแหละค่ะ เพราะไม่งั้นดิฉันจะเครียดจนส่งผลกับสุขภาพที่เตรียมจะมีลูกแน่นอนค่ะ ไหนจะงานการอีก WFH ไม่เคยบรรลัยเท่านี้มาก่อนเลยค่ะตั้งแต่พ่อสามีก้าวมาจากที่ดิฉันหาเงินได้เดือนละ 6 หลัก ทุกวันนี้คือ 0 ค่ะ ทำงานไม่ได้เลย เราก็เครียดทั้งคู่แหละค่ะ เพราะที่ผ่านมาการเงินคือเราสองคนช่วยกันทำงานมาตลอด จากสองแรงเหลือสามีแรงเดียวใครจะไปแบกไหวล่ะค่ะ คิดซะว่าค่าเช่าช่วงโควิดมันถูกก็ซื้อสุขภาพเอา

แต่ๆๆ ประวัติคืออยู่กันไม่ได้ค่ะ แม่สามีเคยเก็บข้าวของหนีผัวเค้ามาก่อนค่ะ และรอบนี้คิดว่ายังไงก็อยู่ไม่ได้ เมียเค้าหนีอีกรอบแน่นอน (แม่สามีไม่เห็นแก่ลูกคนเล็กหรอกค่ะ เพราะไม่ใช่ลูกเค้า แต่สามีเค้าหอบหนีมากจากแม่จริงๆมาขอให้เลี้ยงให้) ก็เลยคิดว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก สามีจะหาเซฟเฮาส์ใหม่ให้แม่เค้าและขายบ้านทิ้งค่ะ ส่วนพ่อเค้าก็ต้องตามเวรตามกรรมตัวเองแล้วล่ะค่ะ สุดทางจริงๆก็คงต้องบ้านพักคนชรา แต่ก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้น (ยังไม่ 60) แต่เค้าก็มีบ้านพ่อบ้านแม่ของเค้าอยู่นะคะ คิดว่ายังไงปัญหาเรื่องที่อยู่ก็คงแก้ได้แบบไฟท์บังคับ คงไม่ต้องไปเป็นคนข้างถนนหรอกค่ะ อันนั้นก็มากเกินไป

ปรึกษาเท่านี้แหละค่ะ ใครเคยเจอปัญหาแบบนี้บ้างคะ ทางแก้ไขแบบนี้มัน

ปล. ขอมูลประกอบเพิ่มเติมมีเรากับสามีคบกันมาจะ 15 ปีแล้วค่ะ แอบจดทะเบียนสมรสแบบไม่ได้แต่งกันมา 3 ปี ไม่แต่งเพราะไม่มีเงินจัดงาน ไม่มีเงินค่าสินสอด พอหาได้ทั้งคู่ก็เสียดายเงินที่หามาค่ะ เรื่องนี้พ่อแม่เราไม่รู้ พ่อแม่สามีเพิ่งรู้ และเราไม่เปลี่ยนนามสกุล (พอพ่อสามีรู้ว่าเราไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุลก็ออกอาการจะเป็นจะตายค่ะ เราก็ยืนยันค่ะว่าไม่มีเหตุผลต้องเปลี่ยน งานก้มี เงินก็มี ดูแลตัวเองได้)

ปล. 2 เลิกกันไม่ใช่ทางออกค่ะ คบกันมาตั้งครึ่งชีวิต เจออะไรด้วยกันมาเยอะมาก เรื่องนี้ถ้าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่พ่อสามีก็จะง่ายกว่านี้เยอะมากเลยค่ะ 

ปล. 3 ปรึกษาคนใกล้ตัวไม่ได้เลยค่ะ มีแต่แนวคิดว่าลูกเป็นสมบัติของพ่อแม่ ยังไงก็ต้องเลี้ยง เราต้องปรับตัวเข้าหาเค้าเพราะเค้าให้กำเนิดเรามา บุญคุณท้วมหัว สำหรับเราคือความคิดเพ้อเจ้อค่ะ ใครหาเงินคนนั้นก็เป็นหัวหน้าครอบครัวค่ะ ถ้าอยากได้ตามความต้องการตัวเองก็ต้องไปหาเงินใช้เอง เพราะลูกไม่ใช่ตู้เอทีเอ็ม กดได้ตลอดเวลา มันเลยปรึกษาคนใกล้ตัวไม่ได้เลยค่ะ มันเหมือนเราคุยกันคนละเรื่องเดียวกัน

ถ้าท่านไหนมีทางออกที่ดีกว่านี้ แนะนำได้นะคะ แต่ขอล่ะค่ะ ถ้าจะบอกให้อดทนอันนี้พูดได้อย่างเดียวเลยค่ะ 
เค้าเป็นครอบครัวกันมากี่สิบปีเค้ายังทนกันเองไม่ได้เลยค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่