.
หนึ่งกับแสงระวีเป็นคู่รักคู่ฮ็อตที่ทุกคนรู้จักในหมู่เพื่อน ๆ ทั้งชั้นเรียน หนึ่งไม่เคยทำให้เสียใจ มีบ้างที่ทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน แต่หนึ่งก็ไม่เคยปล่อยมือจากไป และ เหมือนจะรักเพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย
หลังเลิกเรียนหนึ่งชวนไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะทุกวัน ตอนนี้เธอจะกลับบ้านเวลาไหนก็ได้ ถ้ามันไม่ดึกจนเกินไป ไม่ทำให้พ่อแม่เป็นห่วง พวกท่านอนุญาตให้พวกเธอไปไหนมาไหนด้วยกันมากขึ้น
แสงระวียอมไปบ้านหนึ่งบ่อยขึ้นเช่นกัน เริ่มสนิทและคุ้นเคยกับคนในครอบครัวของหนึ่ง รวมทั้งญาติคนอื่น ๆ ด้วย พวกท่านทั้งสองคนใจดีกว่าที่คิด มาถึงตอนนี้แสงระวีก็ยังไม่ยอมอยู่กับหนึ่งสองต่อสองเลยสักครั้ง
ทั้งสองขับรถมาที่สวนสาธารณะใกล้โรงเรียน จอดรถที่ริมขอบสระใต้ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา มีคนทยอยมาวิ่งออกกำลังกาย หนึ่งชอบชวนเธอมานั่งเล่นที่นี่ก่อนกลับบ้านเสมอ และ หนึ่งเองอาสาเป็นคนไปส่งเธอกลับบ้านทุกวัน
“จบ ม.6 หมั้นไว้ได้มั้ย” จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมา ดูเหมือนเป็นการพูดลอย ๆ แต่แววตาของเขาดูจริงจังมาก ๆ
“หนึ่งพูดจริงเหรอ ! “ ถามออกมาลอย ๆ เช่นกัน มองใบหน้าขาวสะอาดนั้น เธอยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยไม่เคยคิดด้วยซ้ำ และ พ่อแม่ของเธอคงไม่ยอมแน่ เธอเองรักหนึ่งมากไม่คิดที่จะมีใครอีกคนแน่นอน ไม่ต้องหมั้นตีตราจอง เธอก็ไม่คิดจะเอาใครมาแทนที่หนึ่งเด็ดขาด
“ก็อยากหมั้นไว้อ่ะกลัวมีคนอื่น” เขาเหลือบมองลงพื้น ดูเศร้าลงถนัดตา เขาเป็นอะไรกันแน่ มีเรื่องอะไร จะไปไหน จะทำอะไร ทำไมถึงพูดแบบนี้
มีผู้คนมาเดินเล่นประปราย บ้างพาสุนัขมาวิ่งเล่น บ้างพาลูก ๆ มาเดินเล่น และ บ้างก็มาวิ่งออกกำลังกาย ถัดไปจากพวกเธอเป็นนักเรียนที่มานั่งจีบกันเช่นกัน ดังนั้นที่พวกเธอมานั่งคุยกันสองคนจึงไม่เป็นจุดเด่นหรือจุดสนใจของผู้คนที่มาที่นี่ เป็นภาพคุ้นหูคุ้นตาของคนที่นี่ไปแล้ว
“วีจะมีคนอื่นไปทำไม วีรักหนึ่งคนเดียวนะ” เธอตอบ จ้องไปที่ใบหน้าของเขา เธอนั่งบนเบาะรถมอเตอร์ไซค์ ส่วนเขานั่งกับพื้นขอบสระหย่อนขาลงไปเหยียบพื้นชั้นล่าง
“ก็รู้ว่ารักคนเดียวแต่อยากหมั้นอ่ะ ไว้ใจวีแต่ไม่ไว้ใจคนอื่น” หนึ่งแหงนหน้ามองเธอ
“หนึ่งจะไปไหนเหรอ” แสงระวีพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ ทำไมถึงอยากจองไว้ รู้สึกตลกกับคำพูดของหนึ่งไว้ใจเธอแต่ไม่ไว้ใจคนอื่นอะไรกัน ตนเองไม่นอกใจไม่ปันใจให้คนอื่นแน่นอน รักมากขนาดนี้ “หนึ่งจะไปไหน แล้วไม่ไว้ใจคนอื่นอะไร ทำอย่างกับจะไม่เข้ามหาลัยเดียวกัน อีกอย่างหนึ่งไม่เชื่อใจวีเลยเหรอคบกันมาตั้งหลายปี” แสงระวีไม่รู้ว่าหนึ่งคิดอะไรอยู่ ไหนบอกจะเรียนที่เดียวกันตอนเรียนมหาลัย แล้วนี่มาพูดแบบนี้มันคืออะไร หรือจะไม่ขอเรียนที่เดียวกันแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้คงไม่ห้ามเพื่ออนาคต ไม่ต้องหมั้นกันไว้ก็ได้
หนึ่งลุกขึ้นมานั่งบนรถมอเตอไซค์กับเธอตรงด้านหน้าในตำแหน่งคนขับ จากที่นั่งอยู่พื้นปูนขอบสระ “เพราะรักวีไง รักมากด้วยถึงอยากหมั้นไว้ ไม่อยากให้ใครมองวีระหว่างที่หนึ่งไม่อยู่”
“ก็แล้วหนึ่งจะไปไหนล่ะ” แสงระวีถามโดยพลัน อยากรู้ว่าจะไปไหนหรือถึงต้องพูดแบบนี้ พร้อมขยับเข้าไปนั่งชิด ๆ หนึ่งอีก โน้มใบหน้าไปซบไหล่ข้างขวาของหนึ่ง
เธอไม่กลัวคนอื่นจะมองหรือคิดไม่ดี คนรักคู่ไหน ๆ เขาก็ทำกัน แม้จะมีสายตาของผู้มาวิ่งหรือมาเดินออกกำลังกายเมียงมองบ้างก็ไม่ใส่ใจ เวลานี้มันเป็นเวลาของพวกเธอ
“ไม่ใช่แค่หนึ่ง วีก็เหมือนกันไม่ยอมให้ใครมาคุยกับหนึ่งแน่นอนหรอก แสงระวีร้ายกาจนะจะบอกให้ อย่าหาว่าไม่เตือน” แกล้งทำหน้าดุค่อนขอดให้หนึ่ง ขู่เอาไว้ก่อน
“หนึ่งไม่เรียนต่อมหาลัยแล้วนะ หนึ่งจะสอบเข้าเรียนตำรวจ พ่อกับแม่ก็สนับสนุน” เขาหันมามองเธอพร้อมบอกความประสงค์
“แล้วไงคะคุณหนึ่ง ถึงไม่เรียนมหาลัยหนึ่งก็อยู่ในสายตาวีเหมือนเดิม แอบคุยกับผู้หญิงคนอื่นก็ลองดู” ขู่ไม่หยุด ทว่าใจหายนิดหน่อยที่หนึ่งจะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วยกัน ตนเองแอบคิดวาดฝันไปถึงตอนนั้น แต่ก็ไม่เป็นไรให้หนึ่งเดินตามความฝันตนเองให้เต็มที่เลย
“นี่ ๆ หนึ่งต่างหากที่ต้องจับตาดูวีอ่ะ เรียนมหาลัยหนุ่ม ๆ เยอะนะ หน้าตาดีก็แยะ ” หนึ่งคุยกับเธอ จังหวะริมฝีปากปะทะเข้ากับริมฝีปากของเธอเข้าอย่างจัง เธอรีบผละออก ไม่ใช่ตกใจแต่มันตั้งตัวไม่ทันต่างหาก “โทษ ๆ ไม่ได้ตั้งใจ” หนึ่งยิ้มแก้มปริ แทนที่เธอนะต้องเป็นฝ่ายหน้าแดง แต่หนึ่งกลับหน้าแดงเองซะอย่างนั้น หนึ่งเม้มปากยกมือขึ้นมาลูบริมฝีปากเบา ๆ
“เดี๋ยวเหอะตั้งใจก็บอก หลายครั้งแล้วนะไอ้เผลอทำไม่ได้ตั้งใจเนี่ย” แสงระวียกมือขึ้นมาลูบริมฝีปากตนเองเช่นกัน จะบอกว่าเขินก็คงจะเขิน มันไม่มีความรู้สึกอะไรเลย “จะจับตาดูเค้าอะไร ไม่เชื่อใจกันเลยเหรอ” แสงระวีจ้องไปที่หน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลานั้นตาไม่กะพริบ
“จับตาดิ ก็ถ้าสอบได้นายสิบต้องอยู่แต่ในค่าย มือถืออะไรก็ห้ามใช้ เขียนจดหมายได้อย่างเดียว กลับบ้านได้เดือนละครั้งมั้ง” หนึ่งพูดด้วยนัยน์ตาเศร้า
“แล้วหนึ่งอยากเรียนมั้ย” เธอถามจากใจจริง ถ้าหนึ่งไม่อยากเรียนจะได้ช่วยพูดกับพ่อแม่ให้อีกแรง กลัวว่าหนึ่งจะเหนื่อย จะลำบาก คนเราในเมื่อไม่รู้มันย่อมคิดและจินตนาการไปไกลเกินกว่าความเป็นจริง และเหนือกว่าความจริงมาก
“อือ” เขาพยักหน้าเป็นคำตอบ “อยากเรียน อยากเป็น แต่ระหว่างที่เรียนในค่ายอ่ะ” เขาหยุดพูดและเงียบไป แววตามีความกังวลและเศร้าปนกัน
“หนึ่งวีสัญญานะ วีสัญญาว่าจะรักและมีหนึ่งคนเดียว ไม่ต้องคิดมาก สบายใจได้ เพื่ออนาคตไง” แสงระวีเปลี่ยนท่านั่งใหม่ เอื้อมมือสองข้างกอดเอวหนึ่งไว้ “วีสัญญาแล้วหนึ่งสบายใจได้ วีเขียนจดหมายหาหนึ่งทุกวันยังได้เลย ดูคลาสสิคดีออก อีกอย่างเป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นดีเลยว่าวีรักหนึ่ง วีรอหนึ่งได้นะ”
“สัญญาแล้วนะ แต่หนึ่งอยากหมั้นวีไว้นะวี หนึ่งขอทำแบบนี้ได้มั้ย ขอหมั้นไว้อ่ะ” หนึ่งยังไม่ลืมจุดประสงค์ของตัวเอง อยากหมั้นเธอไว้ มันทำให้อุ่นใจและสบายใจไปเปราะหนึ่ง
“วีตัดสินใจเองไม่ได้หรอก วีขอถามพ่อแม่ก่อน”
“ครับ ปะกลับเหอะ เดี๋ยวกลับค่ำเจอยายอีกนะ” หนึ่งหมายถึงคนที่เธอกับสองฝาแฝดเจอในป่าช้าเมื่อวันก่อน
“หนึ่ง ! วีลืมแล้วนะเรื่องนี้ทำไมต้องพูดให้จำได้ด้วย ไม่ต้องไปส่งวีเลย กลับเองได้” แสงระวีงอนหน้างอกับคำพูดของหนึ่งเมื่อสักครู่ จะพูดขึ้นมาทำไมลืมหน้ายายคนนั้นไปตั้งนานแล้ว หนึ่งกลับพูดขึ้นมาอีก รอยยิ้มชวนขนลุกนั่นผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
แสงระวีลงจากรถเพราะงอนที่หนึ่งล้อ ทำเดินหนีไป เดินไปด้วยแอบคิดในใจไปด้วยหนึ่งจะตามง้อไหม ใจคอจะให้ตนเองเดินไปถึงไหน เมื่อไหร่จะตามมา เดินออกมาไกลแล้วนะ ระหว่างเดินหนีหนึ่งเพราะงอนก็บ่นในใจไปด้วย
“วีเดี๋ยวไปส่ง ! มาขึ้นรถ ขึ้นรถ ! หนึ่ง.. สอง ! จะขึ้นรถมั้ย” หนึ่งขับรถตามหลังเธอมาติด ๆ ออกคำสั่งให้เธอขึ้นมานั่งซ้อนท้ายตัวเองเหมือนเดิม
แสงระวีเผยยิ้มก่อนจะรีบทำหน้าปกติเกรงว่าหนึ่งจะเห็นพร้อมถอนหายใจ ในที่สุดก็ง้อ นึกว่าหนึ่งจะยอมปล่อยให้เดินไปถึงท่ารถสองแถวกลับบ้านเองซะอีก “จะงอนอะไรเค้า ล้อเล่นเฉย ๆ เดี๋ยวหนึ่งไปส่ง แต่ว่ากลับไปที่บ้านก่อนนะ จะเอารถไปเปลี่ยนเก๋งแม่อ่ะ เดี๋ยวเจอยาย” หนึ่งหัวเราะเบา ๆ ชอบใจที่แกล้งแฟนสาวได้
“หนึ่ง ยังไม่จบใช่มั้ยเรื่องนี้” แสงระวีตีไปที่หัวไหล่ของเขาเบา ๆ พร้อมตีไปอีกครั้งลงน้ำหนักมือกว่าครั้งแรกโทษฐานปล่อยให้ตนเองเดินงอนมาตั้งไกล
“จบ ๆ เค ๆ ไม่พูดแล้วไม่แกล้งแล้ว”
ทั้งสองคนขับรถออกจากสวนสาธารณะ หนึ่งไปส่งแสงระวีที่บ้าน พ่อกับแม่ไม่ว่าอะไรแถมยังฝากของให้พ่อกับแม่หนึ่งกลับไปด้วย เป็นนิมิตหมายอันดีว่าท่านทั้งสองยอมรับหนึ่ง เชื่อใจหนึ่ง เปิดใจให้หนึ่งมากกว่าเดิม แสงระวีขอไปไหนมาไหนกับหนึ่งง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อน ขอไปกับหนึ่งสองต่อสองพ่อแม่ยังไม่ห้าม และหนึ่งก็ไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวังสักครั้ง
“หนึ่งวีว่าถึงเวลาให้พ่อแม่เราคุยกันเองดีกว่ามั้ย วีไม่กล้า” ห้าทุ่มของวันนี้เธอคุยโทรศัพท์กับหนึ่งในห้องนอนของตนเอง คุยให้เสียงเบาที่สุดสำหรับเรื่องนี้กลัวพ่อแม่จะได้ยิน
“หนึ่งไม่ได้ให้วีขอ หนึ่งถามวีว่าวีจะรับหมั้นหนึ่งมั้ยถ้าเรียนจบ ม.6 หนึ่งจะไปหมั้นไว้ จองไว้เดี๋ยวมีหมามาแย่งไป”
“หนึ่ง ! วีไม่ใช่กระดูกนะ” แสงระวีงอนกลอกตามองบนให้โทรศัพท์ ทำไมต้องเปรียบเป็นกระดูกด้วย แล้วใครจะมาแย่ง ใครเป็นหมา ทำไมหนึ่งไม่เชื่อใจกันเลย
“หนึ่งไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ขี้งอนจัง ! ก็ใครจะอยากให้ผู้ชายคนอื่นมายุ่งกับแฟนตัวเอง อะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอน” เขาอธิบาย
“ก็เมื่อกี้บอกว่ากลัวหมามาแย่ง ไม่ใช่กระดูกเหรอ” แสงระวีกระแทกเสียงประชดให้คนปลายสาย
“หนึ่งเชื่อแล้ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุย แสงระวีได้ยินเสียงหัวเราะเล็ดลอดผ่านทางโทรศัพท์ ตนเองกำลังงอนอยู่ยังจะมีหน้ามาขำอีก แทนที่จะง้อหน่อยก็ไม่มี กระฟัดกระเฟียดให้คนในโทรศัพท์เบา ๆ แถมยังเปลี่ยนเรื่องพูดกะทันหันอีก
“เชื่ออะไรล่ะ” ออกเสียงประชด และน้ำเสียงห้วน ๆ ให้ ด้วยความที่กำลังงอนอยู่
“ก็เชื่อว่าจะไม่มีคนมาแย่งวีไปจากหนึ่งระหว่างที่หนึ่งเรียนนายสิบ ก็ขี้งอนขี้เหวี่ยงขนาดนี้ ใครจะเอา”
“หนึ่ง ! “ กระแทรกเสียง ทว่าเม้มปากยิ้มให้กับคำพูดของเขาเมื่อครู่ “ขี้งอนแล้วรักมั้ยล่ะ”
“คร๊าบ” พอได้ยินแบบนี้จากที่งอนหน้างอก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกลั้วหัวเราะ ไม่เคยงอนหนึ่งได้สำเร็จสักที
..………………………….
แสงระวีกลับจากโรงเรียนเดินเข้ามาภายในบ้านเห็นพ่อแม่อยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากัน นี่มันวันพุธนะแม่ไม่ได้ไปทำงานหรือ บรรยากาศภายในบ้านมันเงียบพิลึกชอบกล แสงระวีไม่เคยสัมผัสความเงียบของบ้านแบบนี้มาก่อน แถมพ่อแม่ยังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีก
มันต้องมีเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน แล้วมันเรื่องอะไรล่ะถึงขนาดทำให้แม่ลางาน ที่แน่ ๆ มันต้องเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่ก็เรื่องสำคัญ โอ้ย ! อยากรู้ไม่อยากเดาอะไรแล้ว แต่ถึงอย่างไรแสงระวีก็ไม่กล้าถามแม่ออกไปตรง ๆ ต้องรอให้พ่อแม่เล่าให้ฟังเอง ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องของตัวเองสักนิด ระหว่างเดินเข้ามาในบ้านพูดกับตัวเองในใจ
“พ่อกับแม่วัสดีจ้ะ แม่ลางานเหรอ” แสงระวีทำตัวปกติ โยนหินถามทางไปก่อน คอยดูว่าพ่อกับแม่จะพูดอะไร หรือมีเรื่องอะไรกันแน่ มันต้องผิดปกติเพราะแม่ลางาน แม่สบายดีแม่ไม่ได้ป่วย ทักทายพ่อกับแม่ก่อนจะนำกระเป๋านักเรียนไปเก็บในห้องนอนของตน
เธอเดินผ่านทั้งสองคนขึ้นไปบนบ้าน รู้สึกเสียวสันหลังเย็นวาบ เมื่อเจอสายตาทั้งสองคู่ของพ่อกับแม่จับจ้องมองมาที่ตนเอง เธอยิ้มและรีบเดินผ่านไป รีบวิ่งขึ้นห้องของตนเองทันที และขังตนเองอยู่ในห้องไม่ยอมลงมา
“วี ทำอะไร” เสียงแม่เรียกมาจากหน้าห้อง เธอตกใจแม่เรียกเธอทำไม มันต้องมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับตนแน่ แม่ถึงได้ลางาน แถมบรรยากาศของบ้านก็แปลกไปกว่าทุกวันด้วย หรือจะเป็นเรื่องหนึ่ง
แสงระวี….บทที่ 19 (รีไรท์)
.
หนึ่งกับแสงระวีเป็นคู่รักคู่ฮ็อตที่ทุกคนรู้จักในหมู่เพื่อน ๆ ทั้งชั้นเรียน หนึ่งไม่เคยทำให้เสียใจ มีบ้างที่ทะเลาะกัน ไม่เข้าใจกัน แต่หนึ่งก็ไม่เคยปล่อยมือจากไป และ เหมือนจะรักเพิ่มมากยิ่งขึ้นด้วย
หลังเลิกเรียนหนึ่งชวนไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะทุกวัน ตอนนี้เธอจะกลับบ้านเวลาไหนก็ได้ ถ้ามันไม่ดึกจนเกินไป ไม่ทำให้พ่อแม่เป็นห่วง พวกท่านอนุญาตให้พวกเธอไปไหนมาไหนด้วยกันมากขึ้น
แสงระวียอมไปบ้านหนึ่งบ่อยขึ้นเช่นกัน เริ่มสนิทและคุ้นเคยกับคนในครอบครัวของหนึ่ง รวมทั้งญาติคนอื่น ๆ ด้วย พวกท่านทั้งสองคนใจดีกว่าที่คิด มาถึงตอนนี้แสงระวีก็ยังไม่ยอมอยู่กับหนึ่งสองต่อสองเลยสักครั้ง
ทั้งสองขับรถมาที่สวนสาธารณะใกล้โรงเรียน จอดรถที่ริมขอบสระใต้ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา มีคนทยอยมาวิ่งออกกำลังกาย หนึ่งชอบชวนเธอมานั่งเล่นที่นี่ก่อนกลับบ้านเสมอ และ หนึ่งเองอาสาเป็นคนไปส่งเธอกลับบ้านทุกวัน
“จบ ม.6 หมั้นไว้ได้มั้ย” จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมา ดูเหมือนเป็นการพูดลอย ๆ แต่แววตาของเขาดูจริงจังมาก ๆ
“หนึ่งพูดจริงเหรอ ! “ ถามออกมาลอย ๆ เช่นกัน มองใบหน้าขาวสะอาดนั้น เธอยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยไม่เคยคิดด้วยซ้ำ และ พ่อแม่ของเธอคงไม่ยอมแน่ เธอเองรักหนึ่งมากไม่คิดที่จะมีใครอีกคนแน่นอน ไม่ต้องหมั้นตีตราจอง เธอก็ไม่คิดจะเอาใครมาแทนที่หนึ่งเด็ดขาด
“ก็อยากหมั้นไว้อ่ะกลัวมีคนอื่น” เขาเหลือบมองลงพื้น ดูเศร้าลงถนัดตา เขาเป็นอะไรกันแน่ มีเรื่องอะไร จะไปไหน จะทำอะไร ทำไมถึงพูดแบบนี้
มีผู้คนมาเดินเล่นประปราย บ้างพาสุนัขมาวิ่งเล่น บ้างพาลูก ๆ มาเดินเล่น และ บ้างก็มาวิ่งออกกำลังกาย ถัดไปจากพวกเธอเป็นนักเรียนที่มานั่งจีบกันเช่นกัน ดังนั้นที่พวกเธอมานั่งคุยกันสองคนจึงไม่เป็นจุดเด่นหรือจุดสนใจของผู้คนที่มาที่นี่ เป็นภาพคุ้นหูคุ้นตาของคนที่นี่ไปแล้ว
“วีจะมีคนอื่นไปทำไม วีรักหนึ่งคนเดียวนะ” เธอตอบ จ้องไปที่ใบหน้าของเขา เธอนั่งบนเบาะรถมอเตอร์ไซค์ ส่วนเขานั่งกับพื้นขอบสระหย่อนขาลงไปเหยียบพื้นชั้นล่าง
“ก็รู้ว่ารักคนเดียวแต่อยากหมั้นอ่ะ ไว้ใจวีแต่ไม่ไว้ใจคนอื่น” หนึ่งแหงนหน้ามองเธอ
“หนึ่งจะไปไหนเหรอ” แสงระวีพูดพร้อมหัวเราะเบา ๆ ทำไมถึงอยากจองไว้ รู้สึกตลกกับคำพูดของหนึ่งไว้ใจเธอแต่ไม่ไว้ใจคนอื่นอะไรกัน ตนเองไม่นอกใจไม่ปันใจให้คนอื่นแน่นอน รักมากขนาดนี้ “หนึ่งจะไปไหน แล้วไม่ไว้ใจคนอื่นอะไร ทำอย่างกับจะไม่เข้ามหาลัยเดียวกัน อีกอย่างหนึ่งไม่เชื่อใจวีเลยเหรอคบกันมาตั้งหลายปี” แสงระวีไม่รู้ว่าหนึ่งคิดอะไรอยู่ ไหนบอกจะเรียนที่เดียวกันตอนเรียนมหาลัย แล้วนี่มาพูดแบบนี้มันคืออะไร หรือจะไม่ขอเรียนที่เดียวกันแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้คงไม่ห้ามเพื่ออนาคต ไม่ต้องหมั้นกันไว้ก็ได้
หนึ่งลุกขึ้นมานั่งบนรถมอเตอไซค์กับเธอตรงด้านหน้าในตำแหน่งคนขับ จากที่นั่งอยู่พื้นปูนขอบสระ “เพราะรักวีไง รักมากด้วยถึงอยากหมั้นไว้ ไม่อยากให้ใครมองวีระหว่างที่หนึ่งไม่อยู่”
“ก็แล้วหนึ่งจะไปไหนล่ะ” แสงระวีถามโดยพลัน อยากรู้ว่าจะไปไหนหรือถึงต้องพูดแบบนี้ พร้อมขยับเข้าไปนั่งชิด ๆ หนึ่งอีก โน้มใบหน้าไปซบไหล่ข้างขวาของหนึ่ง
เธอไม่กลัวคนอื่นจะมองหรือคิดไม่ดี คนรักคู่ไหน ๆ เขาก็ทำกัน แม้จะมีสายตาของผู้มาวิ่งหรือมาเดินออกกำลังกายเมียงมองบ้างก็ไม่ใส่ใจ เวลานี้มันเป็นเวลาของพวกเธอ
“ไม่ใช่แค่หนึ่ง วีก็เหมือนกันไม่ยอมให้ใครมาคุยกับหนึ่งแน่นอนหรอก แสงระวีร้ายกาจนะจะบอกให้ อย่าหาว่าไม่เตือน” แกล้งทำหน้าดุค่อนขอดให้หนึ่ง ขู่เอาไว้ก่อน
“หนึ่งไม่เรียนต่อมหาลัยแล้วนะ หนึ่งจะสอบเข้าเรียนตำรวจ พ่อกับแม่ก็สนับสนุน” เขาหันมามองเธอพร้อมบอกความประสงค์
“แล้วไงคะคุณหนึ่ง ถึงไม่เรียนมหาลัยหนึ่งก็อยู่ในสายตาวีเหมือนเดิม แอบคุยกับผู้หญิงคนอื่นก็ลองดู” ขู่ไม่หยุด ทว่าใจหายนิดหน่อยที่หนึ่งจะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วยกัน ตนเองแอบคิดวาดฝันไปถึงตอนนั้น แต่ก็ไม่เป็นไรให้หนึ่งเดินตามความฝันตนเองให้เต็มที่เลย
“นี่ ๆ หนึ่งต่างหากที่ต้องจับตาดูวีอ่ะ เรียนมหาลัยหนุ่ม ๆ เยอะนะ หน้าตาดีก็แยะ ” หนึ่งคุยกับเธอ จังหวะริมฝีปากปะทะเข้ากับริมฝีปากของเธอเข้าอย่างจัง เธอรีบผละออก ไม่ใช่ตกใจแต่มันตั้งตัวไม่ทันต่างหาก “โทษ ๆ ไม่ได้ตั้งใจ” หนึ่งยิ้มแก้มปริ แทนที่เธอนะต้องเป็นฝ่ายหน้าแดง แต่หนึ่งกลับหน้าแดงเองซะอย่างนั้น หนึ่งเม้มปากยกมือขึ้นมาลูบริมฝีปากเบา ๆ
“เดี๋ยวเหอะตั้งใจก็บอก หลายครั้งแล้วนะไอ้เผลอทำไม่ได้ตั้งใจเนี่ย” แสงระวียกมือขึ้นมาลูบริมฝีปากตนเองเช่นกัน จะบอกว่าเขินก็คงจะเขิน มันไม่มีความรู้สึกอะไรเลย “จะจับตาดูเค้าอะไร ไม่เชื่อใจกันเลยเหรอ” แสงระวีจ้องไปที่หน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลานั้นตาไม่กะพริบ
“จับตาดิ ก็ถ้าสอบได้นายสิบต้องอยู่แต่ในค่าย มือถืออะไรก็ห้ามใช้ เขียนจดหมายได้อย่างเดียว กลับบ้านได้เดือนละครั้งมั้ง” หนึ่งพูดด้วยนัยน์ตาเศร้า
“แล้วหนึ่งอยากเรียนมั้ย” เธอถามจากใจจริง ถ้าหนึ่งไม่อยากเรียนจะได้ช่วยพูดกับพ่อแม่ให้อีกแรง กลัวว่าหนึ่งจะเหนื่อย จะลำบาก คนเราในเมื่อไม่รู้มันย่อมคิดและจินตนาการไปไกลเกินกว่าความเป็นจริง และเหนือกว่าความจริงมาก
“อือ” เขาพยักหน้าเป็นคำตอบ “อยากเรียน อยากเป็น แต่ระหว่างที่เรียนในค่ายอ่ะ” เขาหยุดพูดและเงียบไป แววตามีความกังวลและเศร้าปนกัน
“หนึ่งวีสัญญานะ วีสัญญาว่าจะรักและมีหนึ่งคนเดียว ไม่ต้องคิดมาก สบายใจได้ เพื่ออนาคตไง” แสงระวีเปลี่ยนท่านั่งใหม่ เอื้อมมือสองข้างกอดเอวหนึ่งไว้ “วีสัญญาแล้วหนึ่งสบายใจได้ วีเขียนจดหมายหาหนึ่งทุกวันยังได้เลย ดูคลาสสิคดีออก อีกอย่างเป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นดีเลยว่าวีรักหนึ่ง วีรอหนึ่งได้นะ”
“สัญญาแล้วนะ แต่หนึ่งอยากหมั้นวีไว้นะวี หนึ่งขอทำแบบนี้ได้มั้ย ขอหมั้นไว้อ่ะ” หนึ่งยังไม่ลืมจุดประสงค์ของตัวเอง อยากหมั้นเธอไว้ มันทำให้อุ่นใจและสบายใจไปเปราะหนึ่ง
“วีตัดสินใจเองไม่ได้หรอก วีขอถามพ่อแม่ก่อน”
“ครับ ปะกลับเหอะ เดี๋ยวกลับค่ำเจอยายอีกนะ” หนึ่งหมายถึงคนที่เธอกับสองฝาแฝดเจอในป่าช้าเมื่อวันก่อน
“หนึ่ง ! วีลืมแล้วนะเรื่องนี้ทำไมต้องพูดให้จำได้ด้วย ไม่ต้องไปส่งวีเลย กลับเองได้” แสงระวีงอนหน้างอกับคำพูดของหนึ่งเมื่อสักครู่ จะพูดขึ้นมาทำไมลืมหน้ายายคนนั้นไปตั้งนานแล้ว หนึ่งกลับพูดขึ้นมาอีก รอยยิ้มชวนขนลุกนั่นผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
แสงระวีลงจากรถเพราะงอนที่หนึ่งล้อ ทำเดินหนีไป เดินไปด้วยแอบคิดในใจไปด้วยหนึ่งจะตามง้อไหม ใจคอจะให้ตนเองเดินไปถึงไหน เมื่อไหร่จะตามมา เดินออกมาไกลแล้วนะ ระหว่างเดินหนีหนึ่งเพราะงอนก็บ่นในใจไปด้วย
“วีเดี๋ยวไปส่ง ! มาขึ้นรถ ขึ้นรถ ! หนึ่ง.. สอง ! จะขึ้นรถมั้ย” หนึ่งขับรถตามหลังเธอมาติด ๆ ออกคำสั่งให้เธอขึ้นมานั่งซ้อนท้ายตัวเองเหมือนเดิม
แสงระวีเผยยิ้มก่อนจะรีบทำหน้าปกติเกรงว่าหนึ่งจะเห็นพร้อมถอนหายใจ ในที่สุดก็ง้อ นึกว่าหนึ่งจะยอมปล่อยให้เดินไปถึงท่ารถสองแถวกลับบ้านเองซะอีก “จะงอนอะไรเค้า ล้อเล่นเฉย ๆ เดี๋ยวหนึ่งไปส่ง แต่ว่ากลับไปที่บ้านก่อนนะ จะเอารถไปเปลี่ยนเก๋งแม่อ่ะ เดี๋ยวเจอยาย” หนึ่งหัวเราะเบา ๆ ชอบใจที่แกล้งแฟนสาวได้
“หนึ่ง ยังไม่จบใช่มั้ยเรื่องนี้” แสงระวีตีไปที่หัวไหล่ของเขาเบา ๆ พร้อมตีไปอีกครั้งลงน้ำหนักมือกว่าครั้งแรกโทษฐานปล่อยให้ตนเองเดินงอนมาตั้งไกล
“จบ ๆ เค ๆ ไม่พูดแล้วไม่แกล้งแล้ว”
ทั้งสองคนขับรถออกจากสวนสาธารณะ หนึ่งไปส่งแสงระวีที่บ้าน พ่อกับแม่ไม่ว่าอะไรแถมยังฝากของให้พ่อกับแม่หนึ่งกลับไปด้วย เป็นนิมิตหมายอันดีว่าท่านทั้งสองยอมรับหนึ่ง เชื่อใจหนึ่ง เปิดใจให้หนึ่งมากกว่าเดิม แสงระวีขอไปไหนมาไหนกับหนึ่งง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อน ขอไปกับหนึ่งสองต่อสองพ่อแม่ยังไม่ห้าม และหนึ่งก็ไม่เคยทำให้พ่อแม่ผิดหวังสักครั้ง
“หนึ่งวีว่าถึงเวลาให้พ่อแม่เราคุยกันเองดีกว่ามั้ย วีไม่กล้า” ห้าทุ่มของวันนี้เธอคุยโทรศัพท์กับหนึ่งในห้องนอนของตนเอง คุยให้เสียงเบาที่สุดสำหรับเรื่องนี้กลัวพ่อแม่จะได้ยิน
“หนึ่งไม่ได้ให้วีขอ หนึ่งถามวีว่าวีจะรับหมั้นหนึ่งมั้ยถ้าเรียนจบ ม.6 หนึ่งจะไปหมั้นไว้ จองไว้เดี๋ยวมีหมามาแย่งไป”
“หนึ่ง ! วีไม่ใช่กระดูกนะ” แสงระวีงอนกลอกตามองบนให้โทรศัพท์ ทำไมต้องเปรียบเป็นกระดูกด้วย แล้วใครจะมาแย่ง ใครเป็นหมา ทำไมหนึ่งไม่เชื่อใจกันเลย
“หนึ่งไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ขี้งอนจัง ! ก็ใครจะอยากให้ผู้ชายคนอื่นมายุ่งกับแฟนตัวเอง อะไรมันก็ไม่แน่ไม่นอน” เขาอธิบาย
“ก็เมื่อกี้บอกว่ากลัวหมามาแย่ง ไม่ใช่กระดูกเหรอ” แสงระวีกระแทกเสียงประชดให้คนปลายสาย
“หนึ่งเชื่อแล้ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุย แสงระวีได้ยินเสียงหัวเราะเล็ดลอดผ่านทางโทรศัพท์ ตนเองกำลังงอนอยู่ยังจะมีหน้ามาขำอีก แทนที่จะง้อหน่อยก็ไม่มี กระฟัดกระเฟียดให้คนในโทรศัพท์เบา ๆ แถมยังเปลี่ยนเรื่องพูดกะทันหันอีก
“เชื่ออะไรล่ะ” ออกเสียงประชด และน้ำเสียงห้วน ๆ ให้ ด้วยความที่กำลังงอนอยู่
“ก็เชื่อว่าจะไม่มีคนมาแย่งวีไปจากหนึ่งระหว่างที่หนึ่งเรียนนายสิบ ก็ขี้งอนขี้เหวี่ยงขนาดนี้ ใครจะเอา”
“หนึ่ง ! “ กระแทรกเสียง ทว่าเม้มปากยิ้มให้กับคำพูดของเขาเมื่อครู่ “ขี้งอนแล้วรักมั้ยล่ะ”
“คร๊าบ” พอได้ยินแบบนี้จากที่งอนหน้างอก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกลั้วหัวเราะ ไม่เคยงอนหนึ่งได้สำเร็จสักที
..………………………….
แสงระวีกลับจากโรงเรียนเดินเข้ามาภายในบ้านเห็นพ่อแม่อยู่บ้านพร้อมหน้าพร้อมตากัน นี่มันวันพุธนะแม่ไม่ได้ไปทำงานหรือ บรรยากาศภายในบ้านมันเงียบพิลึกชอบกล แสงระวีไม่เคยสัมผัสความเงียบของบ้านแบบนี้มาก่อน แถมพ่อแม่ยังอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีก
มันต้องมีเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน แล้วมันเรื่องอะไรล่ะถึงขนาดทำให้แม่ลางาน ที่แน่ ๆ มันต้องเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่ก็เรื่องสำคัญ โอ้ย ! อยากรู้ไม่อยากเดาอะไรแล้ว แต่ถึงอย่างไรแสงระวีก็ไม่กล้าถามแม่ออกไปตรง ๆ ต้องรอให้พ่อแม่เล่าให้ฟังเอง ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องของตัวเองสักนิด ระหว่างเดินเข้ามาในบ้านพูดกับตัวเองในใจ
“พ่อกับแม่วัสดีจ้ะ แม่ลางานเหรอ” แสงระวีทำตัวปกติ โยนหินถามทางไปก่อน คอยดูว่าพ่อกับแม่จะพูดอะไร หรือมีเรื่องอะไรกันแน่ มันต้องผิดปกติเพราะแม่ลางาน แม่สบายดีแม่ไม่ได้ป่วย ทักทายพ่อกับแม่ก่อนจะนำกระเป๋านักเรียนไปเก็บในห้องนอนของตน
เธอเดินผ่านทั้งสองคนขึ้นไปบนบ้าน รู้สึกเสียวสันหลังเย็นวาบ เมื่อเจอสายตาทั้งสองคู่ของพ่อกับแม่จับจ้องมองมาที่ตนเอง เธอยิ้มและรีบเดินผ่านไป รีบวิ่งขึ้นห้องของตนเองทันที และขังตนเองอยู่ในห้องไม่ยอมลงมา
“วี ทำอะไร” เสียงแม่เรียกมาจากหน้าห้อง เธอตกใจแม่เรียกเธอทำไม มันต้องมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับตนแน่ แม่ถึงได้ลางาน แถมบรรยากาศของบ้านก็แปลกไปกว่าทุกวันด้วย หรือจะเป็นเรื่องหนึ่ง